พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภถึง การประเล้าประโลมของปุราณทุติยิกา จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า อุทฺทยฺหเต ชนปโท ดังนี้เป็นต้น.
ก็พระศาสดา เมื่อจะตรัสจึงถามภิกษุนั้นว่า เธอถูกใครทำให้เบื่อหน่าย? เมื่อภิกษุกราบทูลว่า ถูกภริยาเก่าเป็นผู้ทำให้เบื่อหน่าย ดังนี้ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงคนนี้แลเป็นผู้ทำความพินาศให้แก่เธอ (ในบัดนี้เท่านั้น หามิได้) แม้ในกาลก่อน เธออาศัยผู้หญิงคนนี้แล้ว เสื่อมจากฌาน เป็นผู้ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง ดังนี้
จึงทรงนำอดีตนิทานมาว่า ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ชื่อว่าอุทิจจะ พอเจริญวัยแล้วได้ศึกษาเล่าเรียนศิลปะจนจบแล้ว บวชเป็นฤาษีทำฌานและอภิญญาให้บังเกิดขึ้นแล้ว ก็สำเร็จการอยู่อาศัยในหิมวันตประเทศ.
เพราะอาศัยเหตุนั้น โดยนัยดังที่ได้กล่าวมาแล้วในอุททาลกชาดก นั้นนั่นแล นางเนื้อตัวหนึ่งจึงตั้งท้องแล้วคลอดลูก. เขาได้มีชื่อว่าอิสิสิงโค เทียว.
ต่อมา บิดาได้ให้เขาผู้เจริญวัยแล้วบวช ศึกษาเล่าเรียนการบริกรรมกสิณ. มิช้ามินานนัก เขาก็ทำฌานและอภิญญาให้บังเกิดขึ้นได้ จึงได้เล่นอยู่ด้วยความสุขอันเกิดแต่ฌาน ได้เป็นผู้มีตบะกล้าแข็ง มีตบะอย่างยอดเยี่ยม มีอินทรีย์อันชนะอย่างดียิ่ง.
เพราะเดชแห่งศีลของดาบสนั้น ภพท้าวสักกเทวราชจึงหวั่นไหว ท้าวสักกเทวราชทรงใคร่ครวญดูก็ทราบถึงเหตุ คิดว่า เราจักใช้อุบายทำลายศีลของดาบสนี้ให้ได้ จึงห้ามฝนไม่ให้ตก ในกาสิกรัฐทั้งหมดตลอด ๓ ปี. แว่นแคว้นได้เป็นราวกะว่าถูกไฟแผดเผาแล้ว. เมื่อข้าวกล้าไม่สมบูรณ์ พวกมนุษย์ถูกทุพภิกขภัยเบียดเบียน จึงเรียกกันมาประชุมที่พระลานหลวง.
ลำดับนั้น พระราชาประทับยืนอยู่ที่ช่องพระแกล ตรัสถามคนเหล่านั้นว่า นั่นอะไรกัน?
พวกมนุษย์ผู้ได้รับความทุกข์ พากันกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เมื่อฝนไม่ตกตลอด ๓ ปี แว่นแคว้นทั้งสิ้นก็เร่าร้อน แล้วกราบทูลอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงให้ฝนตกเถิด.
พระราชา แม้จะสมาทานศีล เข้าจำอุโบสถ ก็ไม่ทรงสามารถจะให้ฝนตกลงมาได้ ในกาลนั้น ท้าวสักกะเสด็จเข้าไปยังห้องอันประกอบด้วยพระสิริของพระราชาพระองค์นั้น ในเวลาเที่ยงคืน ทรงทำแสงสว่างครั้งหนึ่งแล้ว ได้ประทับยืนที่กลางเวหาส.
พระราชาทอดพระเนตรเห็นแสงสว่างนั้นแล้ว ตรัสถามว่า ท่านเป็นใครกัน?
ท้าวสักกะตรัสตอบว่า เราเป็นท้าวสักกะ
พระราชาตรัสถามว่า พระองค์เสด็จมาประสงค์อะไรหรือ?
ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า มหาราชเจ้าเอย! ฝนในแว่นแคว้นของพระองค์ตกบ้างไหม?
พระราชาตรัสว่า ไม่ตกเลย.
ท้าวสักกะตรัสถามว่า ก็พระองค์ทรงทราบเหตุที่ฝนไม่ตกหรือเปล่า?
พระราชาตรัสว่า ไม่ทราบเลย.
ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสชี้แจงว่า มหาราช! ในหิมวันตประเทศมีดาบสชื่อว่า อิสิสิงคะ อาศัยอยู่ พระดาบสนั้นมีตบะกล้าแข็ง มีอินทรีย์อันชนะอย่างดียิ่ง เมื่อฝนตกลงมาเป็นนิตย์ ท่านโกรธแล้วเพ่งดูอากาศ เพราะฉะนั้น ฝนจึงไม่ตก.
พระราชาตรัสถามว่า บัดนี้ จะพึงทำอย่างไรดีในเรื่องนี้ ?
ท้าวสักกะตรัสว่า เมื่อทำลายตบะของพระดาบสนั้นได้ ฝนก็จักตก.
พระราชาตรัสถามว่า ก็ใครเล่าจะสามารถทำลายตบะของพระดาบสนั้นได้.
ท้าวสักกะตรัสชี้แจงว่า มหาราช ก็พระราชธิดาพระนามว่า นฬินิกา ของพระองค์นี้แหละ จะเป็นผู้สามารถ พระองค์จงให้คนเรียกเธอมาแล้วสั่งว่า ลูกจงไปยังสถานที่ชื่อโน้นแล้ว จงทำลายตบะของพระดาบสให้จงได้. ท้าวสักกเทวราชสั่งสอนพระราชาอย่างนั้นแล้ว ก็ได้เสด็จไปยังที่อยู่ของพระองค์ตามเดิม
ในวันรุ่งขึ้น พระราชาทรงปรึกษากับพวกอำมาตย์แล้ว ตรัสสั่งให้เรียกพระราชธิดามาแล้ว
ตรัสพระคาถาแรก ว่า
ชนบทเร่าร้อนอยู่ แม้รัฐก็จะพินาศ ดูก่อนลูกนฬินิกา มานี่เถิด เจ้าจงไปนำพราหมณ์ผู้นั้นมาให้เรา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ เม ความว่า เจ้าจงนำพราหมณ์ผู้ทำความพินาศให้แก่เราคนนั้นมา ไว้ในอำนาจของตน คือจงทำลายศีลของดาบสนั้น ด้วยวิธีให้ยินดีในกิเลสเถิด.
พระราชธิดานั้นสดับคาถานั้นแล้ว จึงตรัสคาถาที่ ๒ ตอบว่า ข้าแต่พระราชบิดา หม่อมฉันทนความลำบากไม่ได้ ทั้งไม่รู้จักหนทาง จะไปยังป่าที่ช้างอยู่อาศัย ได้อย่างไรเล่า เพคะ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขกฺขมา ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า หม่อมฉันเป็นผู้อดทนต่อความทุกข์ไม่ได้ ทั้งหม่อมฉันก็ไม่รู้จักหนทาง หม่อมฉันนั้นจักไปได้อย่างไรเล่า เพคะ.
ลำดับนั้น พระราชาจึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถาว่า ดูก่อนลูกนฬินิกา เจ้าจงไปอยู่ชนบทที่เจริญด้วยช้าง ด้วยรถ ด้วยยานที่ต่อด้วยไม้ เจ้าจงไปด้วยอาการอย่างนี้เถิดลูก เจ้าจงพากองช้าง กองม้า กองรถ กองพลราบไปแล้ว จักนำพราหมณ์ผู้นั้นมาสู่อำนาจได้ ด้วยผิวพรรณ และรูปสมบัติของเจ้า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทารุสงฺฆาฏยาเนน ความว่า แม่นฬินิกา เจ้าจักไม่ต้องเดินไป แต่ว่า เจ้าไปสู่ชนบทที่เจริญ มีภิกษาหาได้ง่าย อันเกษมของตนด้วยพาหนะช้าง ด้วยพาหนะรถทั้งหลายแล้ว ต่อจากสถานที่นั้นไปในที่โล่งแจ้ง จงไปด้วยยวดยานที่ปกปิดแล้วเป็นต้น ในทางน้ำ จงไปด้วยเรือและแพ ด้วยยานที่ต่อทำด้วยไม้เถิด.
บทว่า วณฺณรูเปน ความว่า เจ้าไม่ต้องลำบากอย่างนั้น พอไปแล้ว ก็จักนำพราหมณ์นั้นมาสู่อำนาจของตนได้ ด้วยผิวพรรณและด้วยรูปสมบัติของเจ้า.
พระราชาพระองค์นั้นตรัส พระดำรัสที่ไม่ควรจะตรัสกับพระราชธิดาอย่างนั้น ก็เพราะมุ่งอาศัยการที่จะรักษาแว่นแคว้น. แม้พระราชธิดานั้น ก็ทูลรับสนองว่า ดีละ.
ลำดับนั้น พระราชาได้ทรงพระราชทานสิ่งของที่ควร พระราชทานทั้งหมดแก่อำมาตย์แล้ว ทรงส่งพระราชธิดาไปกับพวกอำมาตย์. อำมาตย์ทั้งหลาย พาพระราชธิดาไปถึงปัจจันตชนบทแล้ว ให้ตั้งค่ายพักแรมในชนบทนั้น ให้ยกพระราชธิดาขึ้นแล้ว เข้าไปยังหิมวันตประเทศ โดยหนทางที่พรานป่าชี้บอก ในเวลาเช้า ก็ถึงที่ใกล้อาศรมบทของดาบสนั้น.
ในขณะนั้น พระโพธิสัตว์ให้บุตรเฝ้าอยู่ที่อาศรมบท ตนเองเข้าไปสู่ป่าเพื่อผลไม้น้อยใหญ่. พวกพรานป่าไม่ไปยังอาศรมบทเอง แต่ยืนอยู่ที่ที่อยู่ของดาบสนั้น
เมื่อจะแสดงที่อยู่นั้นแก่พระนางนฬินิกา จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
อาศรมของอิสิสิงคดาบสนั้น ปรากฏด้วยธง คือ
ต้นกล้วย แวดล้อมด้วยต้นสมอ เป็นที่น่ารื่นรมย์
นั่นคือแสงไฟ นั่นคือควันเห็นปรากฏอยู่
อิสิสิงคดาบส ผู้มีฤทธิ์มาก เห็นจะไม่ทำให้ไฟเสื่อม.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กทลิธชปญฺญาโณ มีวิเคราะห์ว่า ชื่อว่า กทลิธชปัญญาณะ เพราะอรรถว่า มีธงคือต้นกล้วยปรากฏอยู่.
บทว่า อาภุชิปริวาริโต ได้แก่ แวดล้อมด้วยป่าไม้สมอ.
บทว่า สงฺขาโต ความว่า นั่นคือแสงไฟลุกโพลงประจักษ์อยู่ ด้วยฌานของอิสิสิงคดาบสนั้น.
บทว่า มญฺเญ โน อคฺคึ ความว่า เราย่อมสำคัญว่า อิสิสิงคดาบสจะไม่ทำไฟของพวกเราให้เสื่อม คือให้ลุกโพลง บำเรออยู่.
ฝ่ายพวกอำมาตย์พากันแวดล้อมอาศรม ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เข้าไปสู่ป่าทันที ก็พากันตั้งกองอารักขา ให้พระราชธิดาถือเพศเป็นฤาษี เอาผ้าใยไม้สีทองชนิดบางทำเป็นผ้านุ่งผ้าห่ม ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพแล้ว ให้พระราชธิดาถือเอาลูกข่างอันวิจิตรผูกด้วยเส้นด้าย ส่งเข้าไปยังอาศรมบท พวกตนเองพากันยืนอารักขาอยู่ภายนอก. พระราชธิดานั้นเล่นลูกข่างนั้นพลาง ก็ล่วงล้ำถึงที่สุดจงกรม.
ในขณะนั้น อิสิสิงคดาบสกำลังนั่งอยู่แล้ว บนแผ่นหินที่ใกล้ซุ้มประตูบรรณศาลา พระดาบสนั้นมองเห็นหญิงนั้นกำลังเดินมา ตกใจกลัว ลุกขึ้นแล้วเข้าไปยังบรรณศาลา หยุดยืนอยู่. แม้พระราชธิดานั้น ก็ไปยังประตูบรรณศาลาของพระดาบสนั้นแล้ว ก็เล่น (ลูกข่าง) ต่อไปอีก.
ก็พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้นให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก
จึงได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถาว่า
อิสิสิงคดาบสเห็นพระราชธิดา ผู้สวมใส่กุณฑล แก้วมณี เสด็จมาอยู่ กลัวแล้ว เข้าไปสู่อาศรมที่มุงด้วยใบไม้
ส่วนพระราชธิดาแสดงอวัยวะที่ซ่อนเร้น และอวัยวะที่ปรากฏ เล่นลูกข่างอยู่ที่ประตูอาศรมของดาบสนั้น
ฝ่ายดาบสผู้อยู่ในบรรณศาลา เห็นพระนางกำลังเล่นลูกข่างอยู่ จึงออกจากอาศรม แล้วได้กล่าวคำนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เคณฺฑุเกนสฺส ความว่า เล่นลูกข่างอยู่ที่ประตูอาศรมของอิสิสิงคดาบสนั้น.
บทว่า วิทํสยนฺตี แปลว่า แสดงอยู่.
บทว่า คุยฺหํ ปกาสิตานิ จ ได้แก่ ประกาศแสดงอวัยวะที่ลับ และองคชาตของลับ และประกาศแสดงอวัยวะที่ปรากฏ มีใบหน้าและมือเป็นต้น.
บทว่า อพรวิ ความว่า เล่ากันว่า พระดาบสนั้น ยืนอยู่ในบรรณศาลาแล้ว คิดว่า ถ้าว่าคนคนนี้ จะพึงเป็นยักษ์ไซร้ ก็จะพึงเข้ามายังบรรณศาลาแล้ว ฉีกเนื้อเราเคี้ยวกิน ผู้นี้เห็นจักไม่ใช่ยักษ์ คงเป็นดาบสแน่.
เพราะฉะนั้น จึงเล่าว่า อิสิสิงคดาบสออก(จากอาศรม) แล้วกล่าวคำนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ต้นไม้ของท่านที่มีผลเป็นไปอย่างนี้ มีชื่อว่าอะไร แม้ท่านขว้างไปไกลก็กลับมา มิได้ละท่านไปเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส เตวํ คตํ ความว่า ต้นไม้ชนิดใดของท่าน ช่างมีผลอันน่าพึงใจเป็นไปอย่างนี้ ต้นไม้ชนิดนั้นชื่อว่าอะไรหนอ คือ พระดาบสสำคัญลูกข่างอันวิจิตร ที่ตนเองไม่ได้เคยเห็นมาแล้วในกาลก่อนว่า ลูกข่างนั้น พึงเป็นผลแห่งต้นไม้ จึงได้ถามอย่างนั้น.
ลำดับนั้น พระราชธิดานั้น เมื่อจะบอกจึงได้ตรัสคาถานี้แก่พระดาบสนั้นว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ต้นไม้ที่มีผลเป็นไปอย่างนี้นั้น มีอยู่มากที่ภูเขาคันธมาทน์ ณ ที่ใกล้อาศรมของข้าพเจ้า ผลไม้นั้น แม้ข้าพเจ้าขว้างไปไกลก็กลับมา ไม่ละข้าพเจ้าไปเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมีเป คนฺธมาทเน ได้แก่ ที่ภูเขาคันธมาทน์ ณ ที่ใกล้อาศรมของข้าพเจ้า.
บทว่า ยสฺส เตวํ คตํ ได้แก่ ต้นไม้ที่มีผลเป็นอย่างนี้. ต อักษร กระทำการเชื่อมบทพยัญชนะ.
พระราชธิดานั้นได้กล่าวมุสาวาท ดังนี้แล. ฝ่ายพระดาบสเชื่อแล้ว เมื่อจะทำการต้อนรับ ด้วยสำคัญว่า ท่านผู้นั้นเป็นพระดาบส
จึงกล่าวคาถานี้ว่า
เชิญท่านผู้เจริญ จงเข้ามาสู่อาศรมนี้
จงบริโภค จงรับน้ำมันและภักษา เราจักให้
นี้อาสนะ เชิญท่านนั่งบนอาสนะนี้
เชิญบริโภคเหง้ามันและผลไม้แต่ที่นี้เถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสมิมํ ความว่า เชิญท่านผู้เจริญ จงเข้ามาสู่อาศรมนี้เถิด.
บทว่า อเทตุ ความว่า เชิญท่านบริโภคอาหารตามที่เราได้ตระเตรียมไว้แล้วเถิด.
บทว่า ปชชํ ได้แก่ น้ำมันสำหรับทาเท้า.
บทว่า ภกฺขํ ได้แก่ ผลไม้น้อยใหญ่อันมีรสอร่อย.
บทว่า ปฏิจฺฉ แปลว่า จงรับ.
บทว่า อิทมาสนํ ความว่า พระดาบสกล่าวแล้วอย่างนั้น ในเวลาที่พระราชธิดาเข้าไปแล้ว.
บทว่า กินฺเต อิทํ ความว่า เมื่อพระราชธิดาพระองค์นั้น เข้าไปยังบรรณศาลา นั่งบนระหว่างไม้ เมื่อผ้าใยไม้ชนิดบางสีทอง แตกกลางเป็น ๒ แฉก สรีระที่ปกปิดก็เปิดเผย.
พระดาบสพอเห็น อวัยวะส่วนที่ปกปิดแห่งสรีระของมาตุคาม เพราะค่าที่ตนไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน จึงสำคัญว่า นั่นเป็นแผล แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
ในระหว่างขาอ่อนทั้งสองของท่าน นี้เป็นอะไร
มีสัณฐานเรียบร้อย ปรากฏดุจสีดำ เราถามท่านแล้ว
ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้า
อวัยวะส่วนยาวของท่าน เข้าไปอยู่ในฝักหรือหนอ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุปิจฺฉิตํ ความว่า สัณฐานปากแผล อันมีศิลปะถูกสัมผัสด้วยดี ในเวลาประชิดขาอ่อน ๒ ข้างเข้ากัน. จริงอยู่ ที่ตรงนั้นได้กลายเป็นหลุมบ่อ เพราะไม่ประกอบด้วยลักษณะที่งดงาม และมีสัณฐานปากแผล อันมีศิลปะนูนขึ้นชัด เพราะประกอบด้วยลักษณะที่งดงาม
บทว่า กณฺหรีวปฺปกาสติ ความว่า ปรากฏดุจสีดำที่ข้างทั้ง ๒.
บทว่า โกเส นุ เต อุตฺตมงฺคํ ปวิฏฺฐํ ความว่า อวัยวะส่วนยาว คือสัณฐานแห่งเพศของท่าน ย่อมไม่ปรากฏ คือพระดาบสถามว่า อวัยวะส่วนยาว เข้าไปอยู่ในฝัก คือสรีระของท่านหรือหนอ?
ลำดับนั้น พระราชธิดานั้น เมื่อจะหลอกลวงพระดาบสนั้น จึงตรัสคาถา ๒ คาถาว่า
ข้าพเจ้านี้ เที่ยวแสวงหามูลผลาหารในป่า
ได้พบหมีมีรูปร่างน่ากลัวยิ่งนัก มันวิ่งไล่ข้าพเจ้ามาโดยเร็ว
มาทันเข้าแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าล้มลงแล้ว
มันกัดอวัยวะส่วนยาวของข้าพเจ้าเสีย
แผลนั้นก็เหวอะหวะ และเกิดคันขึ้น
ข้าพเจ้าไม่ได้ความสบายตลอดกาลทั้งปวง
ท่านคงสามารถกำจัดความคันนี้ได้ ข้าพเจ้าวิงวอนแล้ว
ขอท่านได้โปรดกระทำประโยชน์ให้แก่ข้าพเจ้า ผู้เป็นพราหมณ์เถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสาทยึ ความว่า พบหมีกำลังวิ่งมา จึงพยายามเอาก้อนดินขว้างปามัน.
บทว่า ปติตฺวา แปลว่า วิ่งไล่มา.
บทว่า สหสชฺฌปฺปตฺโต ได้แก่ ถึงคือทันตัวข้าพเจ้าโดยเร็ว.
บทว่า ปนุชฺช ได้แก่ ทำให้ข้าพเจ้าล้มลงแล้ว.
บทว่า อพฺพหิ ความว่า มันใช้ปากกัดอวัยวะส่วนยาวของข้าพเจ้าแล้ว ก็หลีกหนีไป จำเดิมแต่นั้นมา ในที่ตรงนี้แหละ จึงกลายเป็นแผล.
บทว่า สฺวายํ ความว่า จำเดิมแต่กาลนั้นมา แผลของข้าพเจ้านี้นั้น จึงเหวอะหวะ และต้องทำการเกาเสมอ เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแล ข้าพเจ้าจึงไม่ได้รับความสุขทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ตลอดกาลทั้งปวง.
บทว่า ปโห แปลว่า สามารถ.
บทว่า พฺราหฺมณตฺถํ ความว่า พระราชธิดากล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าวิงวอนแล้ว กรุณาช่วยทำประโยชน์นี้แก่ข้าพเจ้า ผู้เป็นพราหมณ์เถิด คือความทุกข์นี้ จักได้ไม่มีแก่ข้าพเจ้า ได้แก่ จงช่วยนำไปเสีย.
พระดาบสนั้นเชื่อคำมุสาวาทของพระราชธิดานั้นว่า เป็นจริง จึงคิดว่า ถ้าความสุขอย่างนั้นจะมีแก่ท่านไซร้ ข้าพเจ้าก็จักทำให้ดังนี้แล้ว ก็มองดูส่วนตรงนั้นแล้ว กล่าวคาถาถัดไปว่า
แผลของท่านลึก มีสีแดง ไม่เน่าเปื่อย
มีกลิ่นเหม็น และเป็นแผลใหญ่
เราจะประกอบกระสายยาหน่อยหนึ่งให้ท่าน
ตามที่ท่านจะพึงมีความสุขอย่างยิ่ง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สโลหิโต ได้แก่ มีสีแดง.
บทว่า อปูติโก ได้แก่ เว้นจากเนื้อเน่า.
บทว่า ปกฺกคนฺโธ ได้แก่ มีกลิ่นเหม็นนิดหน่อย.
บทว่า กสายโยคํ ความว่า ข้าพเจ้าจักถือเอาน้ำฝาด จากต้นไม้บางชนิดแล้ว ทำน้ำฝาดนั้นประกอบเป็น ยาสมานแผลแก่ท่าน.
ลำดับนั้น พระนางนฬินิกา จึงตรัสคาถาว่า
ดูก่อนท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ การประกอบมนต์ก็ดี
การประกอบกระสายยาก็ดี โอสถก็ดี ย่อมแก้ไม่ได้
ขอท่านจงเอาองคชาตอันอ่อนนุ่มของท่าน เสียดสีกำจัดความคัน
ตามที่ข้าพเจ้าจะพึงมีความสุขอย่างยิ่งเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กมนฺติ ความว่า ดูก่อนท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ผู้เจริญ การประกอบมนต์ก็ดี การประกอบกระสายยาก็ดี โอสถมี ดอกและผลเป็นต้นก็ดี ที่แผลของข้าพเจ้านี้ ย่อมแก้ไม่ได้เลย คือการประกอบมนต์เป็นต้นเหล่านั้น ถึงจะทำแล้วหลายๆ ครั้ง ก็ไม่เป็นความผาสุกสบายแก่แผลนั้นเลย แต่เมื่อท่านใช้องคชาตอันอ่อนนุ่มของท่านนั้น เสียดสีไปมาเท่านั้น ความคันก็จะไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ขอท่านช่วยเอาองคชาตนั้น กำจัดความคันให้ทีเถอะ.
พระดาบสนั้นกำหนดว่าคนคนนั้นพูดจริง ไม่รู้เลยว่า ศีลจะขาด ฌานจะเสื่อม ด้วยเมถุนสังสัคคะ เมื่อพระราชธิดานั้นกล่าวว่า เภสัช ดังนี้ เพราะความไม่รู้จักเมถุนธรรม เหตุที่ตนไม่เคยเห็นมาตุคามมาก่อน จึงเสพเมถุนธรรม ในทันทีนั้น ศีลของดาบสนั้นก็ขาด ฌานก็เสื่อม. ดาบสนั้นกระทำการร่วมสังวาส ๒-๓ ครั้ง ก็เหนื่อยอ่อน จึงออกไปลงสู่สระอาบน้ำ ระงับดับความกระวนกระวายแล้ว กลับมานั่ง ณ บรรณศาลา ถึงขนาดนั้นก็ยังสำคัญคนคนนั้นว่า เป็นดาบสอยู่อีก
เมื่อจะถามถึงที่อยู่ จึงกล่าวคาถาว่า อาศรมของท่านอยู่ทางทิศไหน แต่ที่นี้หนอ ท่านย่อมรื่นรมย์อยู่ในป่าแลหรือ มูลผลาหารของท่านมีเพียงพอแลหรือ สัตว์ร้ายไม่เบียดเบียนท่านแลหรือ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตเมน ได้แก่ อาศรมของท่านผู้เจริญอยู่ทางทิศไหน แต่ที่นี้.
บทว่า ภวํ นี้ เป็นอาลปนะ.
ลำดับนั้น พระนางนฬินิกาได้ตรัสคาถา ๔ คาถาว่า
แม่น้ำชื่อเขมาย่อมปรากฏแต่ป่าหิมพานต์
ในทิศเหนือตรงไปแต่ที่นี้
อาศรมอันน่ารื่นรมย์ของข้าพเจ้าอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำนั้น
ท่านควรไปดูอาศรมของข้าพเจ้าบ้าง
ต้นมะม่วง ต้นรัง ต้นหมากเม่า ต้นหว้า
ต้นราชพฤกษ์ ต้นแคฝอย มีดอกบานสะพรั่ง
ท่านควรไปดูอาศรมของข้าพเจ้า
ซึ่งมีกินนรขับร้องอยู่โดยรอบ ต้นตาล มูลมัน
ผลไม้ที่อาศรมของเรานั้น มีผลประกอบด้วยสีและกลิ่น
ท่านควรไปดูอาศรมของข้าพเจ้า
อันประกอบด้วยภูมิภาคสวยงามนั้นบ้าง ผลไม้
เหง้าไม้ที่อาศรมของข้าพเจ้ามีมาก ประกอบด้วยสี กลิ่น และรส พวกพรานย่อมมาสู่ประเทศนั้น อย่าได้มาลักมูล ผลาหารไปจากอาศรมของข้าพเจ้านั้นเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุตฺตรายํ ได้แก่ ทิศเหนือ.
บทว่า เขมา ได้แก่ แม่น้ำที่มีชื่ออย่างนั้น.
บทว่า หิมวนฺตา ปภาติ ความว่า ย่อมไหลมาแต่ป่าหิมพานต์.
บทว่า อโห เป็นนิบาต ใช้ในอรรถแห่งความอ้อนวอน.
บทว่า อุทฺทาลกา ได้แก่ ต้นไม้ที่ป้องกันลม.
บทว่า กึปูริสาภิคีตํ ได้แก่ ซึ่งมีพวกกินนรพากันแวดล้อมโดยรอบแล้ว ขับร้องอยู่ด้วยเสียงอันไพเราะ.
บทว่า ตาลา จ มูลา จ ผลา จ เมตฺถ ความว่า ต้นตาลอันน่ารัก โคนของต้นไม้เหล่านั้นนั่นแหละ มีลำต้นสมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นเป็นต้น และผลของต้นไม้เหล่านั้นที่อาศรมของเรานั่น.
บทว่า ปหูตเมตฺถ ได้แก่ ผลไม้นานาชนิด เถาและเหง้าของต้นไม้ที่อาศรมของข้าพเจ้านั่นมีมาก.
บทว่า มา เม ตโต ความว่า พวกพรานจำนวนมาก ย่อมพากันมายังอาศรมของข้าพเจ้านั้น ก็มูลผลาหารที่มีรสอร่อยมากมาย ที่ข้าพเจ้านำมาวางไว้ในที่นี้ ก็มีอยู่ เมื่อข้าพเจ้ามัวแต่ชักช้า พวกพรานเหล่านั้นก็จะพึงลักเอามูลผลาหารไปเสีย ขอพวกพรานอย่าได้มาลักมูลผลาหารของข้าพเจ้าไปจากที่นั้นเลย เพราะฉะนั้น พระราชธิดาจึงตรัสว่า แม้ถ้าท่านมีความประสงค์จะไปกับเราก็เชิญ หากไม่มีความประสงค์จะไปไซร้ เราก็จักไปละ.
ดาบสได้สดับดังนั้นแล้ว เพื่อจะยับยั้งพระราชธิดาไว้ จนกว่าบิดาตนจะกลับมา
จึงกล่าวคาถาว่า
บิดาของเราไปแสวงหามูลผลาหาร จะกลับมาในเย็นวันนี้ เราทั้งสองจะไปสู่อาศรมนั้นได้ ก็ต่อเมื่อ บิดากลับมาจากการแสวงหามูลผลาหาร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุโภว คจฺฉามเส ความว่า เราทั้งสองคนแจ้งให้บิดาเราได้ทราบแล้ว จึงจักไปได้.
ลำดับนั้น พระราชธิดานั้นคิดแล้วว่า ดาบสนี้ไม่รู้ว่าเราเป็นหญิง เพราะค่าที่ท่านเจริญเติบโตมาในป่าเท่านั้น ตั้งแต่แรก แต่บิดาของดาบสนั้น พอเห็นเราเข้าก็รู้ทันที คงถามว่า เจ้ามาทำอะไรในที่นี้? แล้วคงจะเอาปลายไม้คานตีเรา แม้ศีรษะของเราก็ต้องแตก เราควรจะไปเสีย ในเวลาที่บิดาของเขายังไม่มาดีกว่า ถึงหน้าที่ในการมาของเรา ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว.
พระราชธิดานั้น เมื่อจะบอกอุบายแห่งการมาแก่ดาบสนั้น จึงกล่าวคาถานอกนี้ว่า พราหมณ์ ฤาษี และราชฤาษี ผู้มีรูปสวยเหล่าอื่นเป็นอันมาก ย่อมอยู่ใกล้ทางโดยลำดับ ท่านพึงถามถึงอาศรมของข้าพเจ้ากะท่านพวกนั้นเถิด ท่านพวกนั้นจะพาท่านไปในสำนักของข้าพเจ้า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชีสโย ความว่า สหายเอย! เราไม่สามารถจะชักช้าอยู่ได้ เพราะพวกพราหมณ์ ฤาษี และพวกราชฤาษี ผู้มีรูปร่างสวยงามเหล่าอื่น ย่อมอยู่ใกล้ทางโดยลำดับ คืออยู่ใกล้ทางไปอาศรมของเรา เราบอกแก่เขาเหล่านั้นแล้วจักไป ท่านพึงถามเขาเหล่านั้นเถิด เขาเหล่านั้นจักนำท่านไปสู่สำนักเราเอง.
พระราชธิดานั้นกระทำอุบาย สำหรับที่ตนจะหนีไปอย่างนั้นแล้ว ออกจากบรรณศาลาแล้ว กล่าวกะดาบส ผู้กำลังมองดูอยู่นั่นแหละว่า ท่านกลับไปเถอะ แล้วได้ไปยังสำนักของพวกอำมาตย์ โดยหนทางที่มานั่นแล. พวกอำมาตย์เหล่านั้นได้พาพระราชธิดานั้นไปยังค่ายพักแรมแล้ว ก็ไปถึงกรุงพาราณสีโดยลำดับ.
ในวันนั้นนั่นเอง แม้ท้าวสักกเทวราชก็ทรงดีใจ ยังฝนให้ตกชุ่มฉ่ำทั่วแว่นแคว้น. ต่อแต่นั้นมา ชนบทก็ได้มีภิกษาสมบูรณ์. พอพระราชธิดานั้นกลับไปแล้วเท่านั้น ความเร่าร้อนก็เกิดขึ้นในร่างกายแม้ของอิสิสิงคดาบส. ดาบสนั้นหวั่นไหวใจ เข้าไปยังบรรณศาลา เอาผ้าป่านคลุมร่าง นอนเศร้าโศกอยู่แล้ว.
ในเวลาเย็น พระโพธิสัตว์กลับมามองไม่เห็นบุตร จึงคิดว่า เขาไปเสียในที่ไหนหนอ แล้ววางหาบเข้าไปยังบรรณศาลา มองเห็นเขานอน จึงลูบหลังพลางถามว่า ลูกเอ๋ย! เจ้าทำอะไร
แล้วได้กล่าวคาถา ๓ คาถาว่า
ฟืนเจ้าก็ไม่หัก น้ำเจ้าก็ไม่ตัก แม้ไฟเจ้าก็ไม่ติด
เจ้าอ่อนใจซบเซาอยู่ทำไมหนอ ดูก่อนเจ้าผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อก่อนฟืนเจ้าก็หัก ไฟเจ้าก็ติด แม้ไฟสำหรับผิงเจ้าก็จัดได้
ตั่งเจ้าก็ตั้ง น้ำเจ้าก็ตักไว้ให้เรา วันอื่นๆ เจ้าเป็นผู้ประเสริฐดีอยู่ วันนี้เจ้าไม่หักฟืน ไม่ตักน้ำ ไม่ติดไฟ ไม่จัดเครื่องบริโภคไว้ ไม่ทักทายเรา ของอะไรของเจ้าหายไปหรือ หรือว่าเจ้ามีทุกข์ในใจอะไร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อินฺนานิ ได้แก่ ฟืนที่นำมาจากป่า เจ้าก็ไม่หัก.
บทว่า น หาสิโต ได้แก่ แม้ไฟเจ้าก็ไม่ให้ลุกโพลง.
บทว่า ภินฺทานิ ความว่า เมื่อก่อนเวลาที่เรามา เจ้าก็ได้หักฟืนไว้เรียบร้อยแล้ว.
บทว่า หุโต จ อคฺคิ ความว่า ไฟสำหรับบูชาเจ้าก็ติด.
บทว่า ตปนี ความว่า แม้ไฟลุ่นๆ คือไฟสำหรับผิง เจ้าเองก็ตระเตรียมจัดแจงไว้.
บทว่า ปิฐํ ความว่า และตั่งประจำสำหรับที่อยู่ของเรา เจ้าก็จัดตั้งไว้แล้วทีเดียว.
บทว่า อุทกญฺจ ความว่า แม้น้ำสำหรับล้างเท้า เจ้าก็ตักตั้งไว้เหมือนกัน.
บทว่า พฺรหฺมภูโต ความว่า ในวันอื่นจากวันนี้ แม้เจ้าเป็นผู้ประเสริฐรื่นรมย์อยู่ในอาศรมนี้.
บทว่า อภินฺนกฏฺโฐสิ ได้แก่ วันนี้เจ้าไม่หักฟืน.
บทว่า อสิทฺธโภชโน ความว่า หัวเผือกหัวมัน หรือใบไม้อะไรๆ ที่เจ้าจะนึ่งไว้สำหรับเราไม่มีเลย.
บทว่า มมชฺช ความว่า ลูกเอ๋ย! วันนี้เจ้าไม่ยอมทักทายพ่อเลย.
บทว่า นฏฺฐํ นุ กึ นี้ พระโพธิสัตว์ถามลูกดาบสว่า ของอะไรของลูกหายไปหรือ หรือว่า ลูกมีความทุกข์ในใจอะไรอยู่ รีบบอกเหตุแห่งการนอนซบเซา มาให้พ่อทราบบ้างเถอะ.
ดาบสนั้นฟังคำของบิดาแล้ว เมื่อจะเล่าถึงเหตุการณ์นั้นให้ทราบ จึงเรียนว่า
ชฎิลผู้ประพฤติพรหมจรรย์มาในอาศรมนี้ มีรูปร่างน่าดู น่าชม เอวเล็กเอวบาง ไม่สูงนัก ไม่ต่ำนัก รัศมีสวยงาม มีศีรษะปกคลุมด้วยผมอันดำเป็นเงางาม ไม่มีหนวด บวชไม่นาน มีเครื่องประดับเป็นรูปเชิงบาตรอยู่ที่คอ มีปุ่มสองปุ่มงามเปล่งปลั่งดังก้อนทองคำ เกิดดีแล้วที่อก หน้าของชฎิลนั้นน่าดูยิ่งนัก มีกรรเจียกจอนห้อยอยู่ที่หูทั้งสองข้าง กรรเจียกเหล่านั้น ย่อมแวววาว
เมื่อชฏิลนั้นเดินไปมา สายพันชฎาก็งาม แพรวพราว เครื่องประดับเหล่าอื่นอีกสี่อย่างของชฎิลนั้น มีสีเขียว เหลือง แดง และขาว เมื่อชฎิลนั้นเดินไปมา เครื่องประดับเหล่านั้นย่อมดังกริ่งกร่าง เหมือนฝูงนกติริฏิร้องในเวลาฝนตก ฉะนั้น ชฎิลนั้นไม่ได้คาดเครื่องรัดเอวที่ทำด้วยหญ้าปล้อง ไม่ได้นุ่งผ้าที่ทำด้วยเปลือกไม้ เหมือนของพวกเรา ผ้าเหล่านั้นพันอยู่ที่ระหว่างแข้งงามโชติช่วง ปลิวสะบัดดังสายฟ้าแลบอยู่ในอากาศ
ข้าแต่ท่านพ่อ ชฎิลนั้นมีผลไม้ไม่สุก ไม่มีขั้ว ติดอยู่ที่สะเอวภายใต้นาภี ไม่กระทบกัน กระดูกเล่นอยู่เป็นนิตย์ อนึ่ง ชฎิลนั้นมีชฎาน่าดูยิ่งนัก มีปลายงอนมากกว่าร้อย มีกลิ่นหอม
มีศีรษะอันแบ่งด้วยดีเป็นสองส่วน โอ ขอให้ชฎาของเรา จงเป็นเช่นนั้นเถิดหนอ และในคราวใด ชฎิลนั้นขยายชฎาอันประกอบด้วยสีและกลิ่น ในคราวนั้น อาศรมก็หอมฟุ้งไป เหมือนดอกอุบลเขียวที่ถูกลมรำเพยพัด ฉะนั้น
ผิวพรรณของชฎิลนั้นน่าดูยิ่งนัก ไม่เป็นเช่นกับผิวพรรณที่กายของข้าพเจ้า ผิวกายของชฎิลนั้น ถูกลมรำเพยพัดแล้วย่อมหอมฟุ้งไป ดุจป่าไม้ อันมีดอกบานในฤดูร้อน ฉะนั้น
ชฎิลนั้นตีผลไม้อันวิจิตรงามน่าดูลงบนพื้นดิน และผลไม้ที่ขว้างไปแล้ว ย่อมกลับมาสู่มือของเขาอีก ข้าแต่ท่านพ่อ ผลไม้นั้นชื่อผลอะไรหนอ
อนึ่ง ฟันของชฎิลนั้นน่าดูยิ่งนัก ขาวสะอาด เรียบเสมอกันดังสังข์อันขัดดีแล้ว เมื่อชฎิลเปิดปากอยู่ ย่อมยังใจให้ผ่องใส ชฎิลนั้นคงไม่ได้เคี้ยวผักด้วยฟันเหล่านั้นเป็นแน่
คำพูดของเขาไม่หยาบคาย ไม่เคลื่อนคลาด ไพเราะ อ่อนหวาน ตรง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คลอนแคลน เสียงของเขาเป็นเครื่องฟูใจ จับใจดังเสียงนกการเวก นำใจของข้าพเจ้าให้กำหนัดยิ่งนัก เสียงของเขาหยดย้อย เป็นถ้อยคำไม่สะบัดสะบิ้ง ไม่ประกอบด้วยเสียงพึมพำ
ข้าพเจ้าปรารถนาจะได้เห็นเขาอีก เพราะชฎิลนั้นเป็นมิตรของข้าพเจ้ามาก่อน แผลที่ต่อสนิทดี เกลี้ยงเกลาในที่ทั้งปวงใหญ่ เกิดดีแล้วคล้ายกับกลีบบัว ชฎิลนั้นให้ข้าพเจ้าคร่อมตรงแผลนั้น แหวกขาเอาแข้งบีบไว้ รัศมีซ่านออกจากกายของชฎิลนั้น ย่อมเปล่งปลั่งสว่างไสวรุ่งเรือง ดังสายฟ้าอันแลบแปลบปลาบอยู่ในอากาศ ฉะนั้น
อนึ่ง แขนทั้งสองของชฎิลนั้นอ่อนนุ่ม มีขนเหมือนขนดอกอัญชัน แม้มือทั้งสองของชฎิลนั้น ก็ประกอบด้วยนิ้วมืออันเรียววิจิตรงดงาม ชฎิลนั้นมีอวัยวะไม่ระคาย มีขนไม่ยาว เล็บยาว ปลายเป็นสีแดง ชฎิลนั้นมีรูปงาม กอดรัดข้าพเจ้าด้วยแขนทั้งสองอันอ่อนนุ่ม บำเรอให้รื่นรมย์
ข้าแต่ท่านพ่อ มือทั้งสองของชฎิลนั้นอ่อนนุ่มคล้ายสำลี งามเปล่งปลั่ง พื้นฝ่ามือเกลี้ยงเกลา เหมือนแว่นทอง ชฎิลนั้นกอดรัดข้าพเจ้า ด้วยมือทั้งสองนั้นแล้ว ไปจากที่นี้ ย่อมทำให้ข้าพเจ้าเร่าร้อนด้วยสัมผัสนั้น ชฎิลนั้นมิได้นำหาบมา มิได้หักฟืนเอง มิได้ฟันต้นไม้ด้วยขวาน แม้มือทั้งสองของชฎิลนั้นก็ไม่มีความกระด้าง หมีได้กัดชฎิลนั้นเป็นแผล เธอจึงกล่าวกะข้าพเจ้าว่า ขอท่านช่วยทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขเถิด ข้าพเจ้าจึงช่วยทำให้เธอมีความสุข และความสุข ก็เกิดมีแก่ข้าพเจ้าด้วย
ข้าแต่ท่านผู้เป็นพรหม เธอได้บอกข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้ามีความสุขแล้ว ก็ที่อันปูลาดด้วยใบเถาย่างทรายของท่านนี้ กระจุยกระจายแล้ว เพราะข้าพเจ้าและชฎิลนั้น เราทั้งสองเหน็ดเหนื่อยแล้ว ก็รื่นรมย์กันในน้ำ แล้วเข้าสู่กุฏิอันมุงบังด้วยใบไม้บ่อยๆ
ข้าแต่ท่านพ่อ วันนี้ มนต์ทั้งหลายย่อมไม่แจ่มแจ้งแก่ข้าพเจ้าเลย การบูชาไฟข้าพเจ้าไม่ชอบใจเลย แม้การบูชายัญ ในที่นั้นข้าพเจ้าก็ไม่ชอบใจ ตราบใดที่ข้าพเจ้า ยังมิได้พบเห็นชฎิล ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ข้าพเจ้าจะไม่บริโภคมูลผลาหารของท่านพ่อเลย
ข้าแต่ท่านพ่อ แม้ท่านพ่อย่อมรู้เป็นแน่แท้ว่า ชฎิลผู้ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ทิศใด ขอท่านพ่อจงพาข้าพเจ้าไปให้ถึงทิศนั้นโดยเร็วเถิด ข้าพเจ้าอย่าได้ตายเสียในอาศรมของท่านเลย
ข้าแต่ท่านพ่อ ข้าพเจ้าได้ฟังถึงป่าไม้อันวิจิตรมีดอกบาน กึกก้องไปด้วยเสียงนกร้อง มีฝูงนกอาศัยอยู่ ขอท่านพ่อช่วยพาข้าพเจ้าไปให้ถึงป่าไม้นั้น โดยเร็วเถิด ข้าพเจ้าจะต้องละชีวิตเสียก่อนในอาศรมของท่านพ่อเป็นแน่.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธาคมา ได้แก่ ข้าแต่ท่านพ่อ ชฎิลผู้ประพฤติพรหมจรรย์มายังอาศรมนี้.
บทว่า สุทสฺสเนยฺโย ได้แก่ มีรูปร่างควรดูด้วยดี.
บทว่า สุตนู ได้แก่ มีรูปร่างบางกำลังดี ไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก.
บทว่า วิเนติ ความว่า ย่อมยังอาศรมให้ถึง คือให้เต็มเปี่ยมด้วยรัศมีกายของตน คล้ายกับว่าอาศรมมีแต่รัศมีอย่างเดียว.
บทว่า สุกณฺหกณฺหจฺฉทเนหิ โภโต ความว่า ข้าแต่ท่านพ่อ ศีรษะของท่านผู้เจริญนั้น มีสีดำสนิทด้วยเส้นผมที่มีสีคล้ายแมลงภู่ เพราะปกคลุมด้วยสีดำเป็นเงางามย่อมปรากฏ คล้ายทำด้วยแก้วมณีที่ขัดสีดีแล้ว ฉะนั้น.
บทว่า อมสฺสุชาโต ได้แก่ ชฎิลนั้นยังเป็นหนุ่มแน่น หนวดของเขาจึงยังไม่ปรากฏก่อน.
บทว่า อปุราณวณฺณี ได้แก่ ยังบวชไม่นานนัก.
บทว่า อาธารรูปญฺจ ปนสฺส กณฺเฐ นี้ ท่านกล่าวหมายถึงแก้วมุกดาหารว่า ก็ชฎิลนั้นมีเครื่องประดับคล้ายกับรูปเชิงบาตร สำหรับใช้วางภาชนะภิกษาของพวกเราอยู่ที่คอ.
บทว่า คณฺฑา นี้ ท่านกล่าวหมายถึงนมทั้งสองข้าง.
บทว่า อุเร สุชาตา ได้แก่ เกิดดีแล้วที่อก. ปาฐะว่า อุรโต ดังนี้ก็มี.
บทว่า ปภสฺสรา ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยรัศมี. ปาฐะว่า ปภาสเร ดังนี้ก็มี ความว่า ย่อมส่องสว่าง.
บทว่า ภุสทสฺสเนยฺยํ แปลว่า น่าดูยิ่งนัก.
บทว่า กุญฺจิตคฺคา นี้ ท่านกล่าวหมายถึงกรรเจียกจอน.
บทว่า สุตฺตญฺจ ความว่า สายพันที่ชฎาของชฎิลนั้น ย่อมส่องแสงแพรวพราว.
ด้วยบทว่า สํยมานิ จตสฺโส นี้ ท่านแสดงถึงเครื่องประดับ ๔ อย่างที่ทำด้วยแก้วมณี ทองคำ แก้วประพาฬและเงิน.
บทว่า ตา สํสเร ความว่า เครื่องประดับเหล่านั้นย่อมดังกริ่งกร่าง เหมือนฝูงนกติริฏิร้องในเวลาที่ฝนตก ฉะนั้น.
บทว่า เมขลํ แปลว่า สายรัดเอวสำหรับผู้หญิง. ปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. คำนี้ท่านกล่าวหมายถึงผ้าใยไม้ชนิดบางสำหรับนุ่ง.
บทว่า น สนฺถเร ได้แก่ ไม่ใช่ผ้าเปลือกไม้. มีคำที่ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ข้าแต่ท่านพ่อ ชฎิลนั้นมิได้ใช้ผ้าที่ทำด้วยหญ้าปล้อง หรือที่ทำด้วยเปลือกไม้ เหมือนของพวกเราเลย แต่ชฎิลนั้นใช้ผ้าใยไม้ชนิดบางสีทอง.
บทว่า อขิลกานิ ได้แก่ ไม่สุก ไม่มีขั้ว.
บทว่า กฏิสโมหิตานิ ได้แก่ ผูกติดอยู่ที่สะเอว.
บทว่า นิจฺจกีฬํ กโรนฺติ ความว่า แม้จะไม่กระทบกัน แต่ก็กระดกเล่นอยู่เป็นนิตย์.
บทว่า หนฺตาต แปลว่า ข้าแต่ท่านพ่อผู้เจริญ.
บทว่า กึ รุกฺขผลานิ ตานิ นี้ ท่านกล่าว หมายถึง แก้วมณีและผ้าพาดว่า ผลไม้เหล่านั้น เป็นผลไม้ชนิดไหน ที่ผูกด้ายเป็นปมติดอยู่ที่สะเอวของมาณพนั้น.
บทว่า ชฎา ท่านกล่าวหมายถึงมวยผมที่แซมเสียบติดด้วยรัตนะ โดยเป็นระเบียบวงรอบชฎา.
บทว่า เวลฺลิตคฺคา แปลว่า มีปลายงอนขึ้น.
บทว่า เทฺวธาสิโร ได้แก่ ศีรษะของชฎิลนั้น มีชฎาที่ผูกแบ่งด้วยดีเป็นสองส่วน.
บทว่า ตถา ความว่า ดาบสปรารถนาว่า ชฎาของผม ท่านพ่อมิได้ผูกให้เหมือนชฎาของมาณพนั้นเลย โอ หนอ ขอให้ชฎาแม้ของผมจงเป็นเช่นนั้นเถิด ดังนี้ จึงได้กล่าวไว้แล้ว.
บทว่า อุเปตรูปา ได้แก่ ชฎามีสภาวะอันประกอบแล้ว.
บทว่า วาตสเมริตํว ความว่า กลิ่นหอมย่อมฟุ้งขจรไป ในอาศรมไพรสณฑ์นี้ เหมือนดอกอุบลเขียวที่ถูกลมรำเพยพัดฟุ้งไป ฉะนั้น.
บทว่า เนตาทิโส ความว่า ข้าแต่ท่านพ่อ ผิวพรรณที่สรีระของชฎิลนั้นทั้งน่าดูยิ่งนัก ทั้งมีกลิ่นหอมด้วย ไม่เป็นเช่นกับผิวพรรณที่กายของข้าพเจ้าเลย.
บทว่า อคฺคคิมฺเห ได้แก่ ในสมัยต้นฤดูฝน.
บทว่า นิหนฺติ แปลว่า ย่อมตี.
บทว่า กึ รุกฺขผลํ นุโข ตํ ได้แก่ ผลไม้นั้นเป็นผลของต้นไม้อะไรหนอ.
บทว่า สงฺขวรูปปนฺนา ได้แก่ มีส่วนเปรียบเสมอด้วยสังข์อันขัดดีแล้ว.
บทว่า น นูน โส สากมขาทิ ความว่า มาณพนั้นไม่ได้เคี้ยวผัก หัวมันและผลไม้ด้วยฟันเหล่านั้น เหมือนอย่างพวกเราเป็นแน่. ดาบสนั้นย่อมแสดงว่า เพราะเมื่อพวกเราพากันเคี้ยวผลไม้เหล่านั้นอยู่ ฟันจึงมีสีเปลือกตมจับสนิท.
บทว่า อกกฺกสํ ความว่า ข้าแต่ท่านพ่อ คำพูดของดาบสนั้น แม้จะพูดอยู่บ่อยๆ ก็ไม่หยาบคาย ไม่เคลื่อนคลาด อ่อนหวานเพราะไพเราะหวานสนิท เป็นคำตรงเพราะไม่หลงลืม เป็นคำสงบ เรียบเพราะไม่ฟุ้งซ่าน เป็นคำไม่คลอนแคลน เพราะเป็นคำมั่นคงหลักฐาน.
บทว่า รุทํ ความว่า แม้เสียงร้องคือเสียงของเขาผู้พูดอยู่ ย่อมจับใจ เป็นเสียงดี ไพเราะหวาน ดุจเสียงนกการเวก ฉะนั้น.
บทว่า รญฺชยเตว ความว่า ใจของข้าพเจ้าย่อมกำหนัดยิ่งนัก.
บทว่า พินฺทุสฺสโร ได้แก่ เสียงของเขาหยดย้อย.
บทว่า มาณวาหุ ความว่า เพราะมาณพนั้นได้เป็นมิตรของข้าพเจ้ามาก่อน.
บทว่า สุสนฺธิ สพฺพตฺถ วีมฏฐิมํ วณํ ความว่า ข้าแต่ท่านพ่อ แผลแผลหนึ่ง มีอยู่ที่ระหว่างขาอ่อนของมาณพนั้น แผลนั้นมีรอยต่อสนิทดี สัมผัสดี เกลี้ยงเกลาในที่ทั้งปวง คือ เกลี้ยงเกลาโดยรอบ คล้ายกับปากแผลที่มีศิลปะ.
บทว่า ปุถุ ได้แก่ ใหญ่. บทว่า สุชาตํ ได้แก่ ดำรงอยู่เหมาะดี.
บทว่า ขรปตฺตสนฺนิภํ แปลว่า คล้ายกับกลีบดอกบัว.
บทว่า อุตฺตริยาน ได้แก่ คร่อม คือทับลง. บทว่า ปิฬยิ แปลว่า บีบไว้.
บทว่า ตปนฺติ ความว่า รัศมีมีสีดุจทองคำแผ่ซ่านออกจากสรีระของมาณพนั้น ย่อมเปล่งปลั่งสว่างไสวและรุ่งเรือง.
บทว่า พาหา ได้แก่ แม้แขนทั้ง ๒ ข้างของชฎิลนั้นก็อ่อนนุ่ม.
บทว่า อญฺชนโลมสทิสา ได้แก่ ประกอบพร้อมด้วยขนทั้งหลาย เช่นกับขนดอกอัญชัน.
บทว่า วิจิตฺรวฏฺฏงฺคุลิกสฺส โสภเร ความว่า แม้มือทั้งสองข้างของชฎิลนั้น ก็ประกอบด้วยนิ้วมืออันเรียวงดงาม มีลักษณะอันวิจิตร เช่นกับยอดผ้าขนสัตว์.
บทว่า อกกฺกสงฺโค ได้แก่ มีอวัยวะน้อยใหญ่ปราศจากโรคภัย มีโรคหิดที่เบียดเบียนเป็นต้น.
บทว่า รมยํ อุปฏฺฐหิ ความว่า บำรุง บำเรอให้ข้าพเจ้ารื่นรมย์.
บทว่า ตูลูปนิภา ได้แก่ เป็นข้ออุปมาถึงความอ่อนนุ่ม.
บทว่า สุวณฺณกมฺพูตลวฏฺฏสุจฺฉวี ได้แก่ พื้นฝ่ามือกลมเกลี้ยง และมีผิวพรรณดี คล้ายพื้นแว่นทองคำ. อธิบายว่า มีพื้นกลมเกลี้ยง และมีผิวพรรณงดงาม.
บทว่า สํผุสิตฺวา ได้แก่ สัมผัสด้วยดี คือใช้มือทั้งสองของตนสัมผัส ทำให้สรีระของข้าพเจ้าซาบซ่าน.
บทว่า อิโต คโต ได้แก่ ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่นั่นแหละ เธอก็จากที่นี้ไปเสียแล้ว.
บทว่า เตน มํ ทหนฺติ ความว่า ด้วยการกอดรัดสัมผัสนั้นของเขา ทำให้ข้าพเจ้าเร่าร้อนอยู่จนถึงบัดนี้แหละ อธิบายว่า ก็จำเดิมแต่กาลที่ชฎิลนั้นจากไปแล้วอย่างนั้น ความเร่าร้อนก็บังเกิดขึ้นในสรีระของข้าพเจ้า ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงถึงความโทมนัสนอนซมอยู่แล้ว.
บทว่า ขาริวิธํ ความว่า ข้าแต่ท่านพ่อ มาณพนั้นมิได้ยกหาบเที่ยวไปเป็นแน่.
บทว่า ขีฬานิ ได้แก่ สิ้นความกระด้าง. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน.
บทว่า สุขฺยํ ได้แก่ ความสุข. บทว่า สนฺถตา ได้แก่ อันปูลาด.
บทว่า วิกิณฺณรูปา จ ความว่า ข้าแต่ท่านพ่อ ที่อันปูลาดด้วยใบเถาย่างทรายของท่านนี้ กลายเป็นที่เปรอะเปื้อนอากูล ด้วยอำนาจการที่ข้าพเจ้าและชฎิลนั้นลูบคลำ สัมผัสทางเพศกันและกัน ในวันนี้ คล้ายกระจุยกระจาย ด้วยการนอนพลิกไปพลิกมา ฉะนั้น.
บทว่า ปุนปฺปุนํ ปณฺณกุฏึ วชาม ความว่า ชฎิลนั้นพูดว่า ข้าแต่ท่านพ่อ ข้าพเจ้าและชฎิลนั้นอภิรมย์กันแล้ว ก็เหน็ดเหนื่อย ออกจากบรรณศาลา พากันไปยังแม่น้ำ รื่นรมย์แล้ว พอปราศจากความกระวนกระวายแล้วก็กลับเข้าไปยังกุฎีนี้นั่นแหละบ่อยๆ.
บทว่า มนฺตา ความว่า วันนี้ คือตั้งแต่กาลที่ชฎิลนั้นจากข้าพเจ้าไปแล้ว มนต์ทั้งหลายย่อมไม่แจ่มแจ้ง คือย่อมไม่ปรากฏ ได้แก่ย่อมไม่ชอบใจข้าพเจ้าเลย.
บทว่า น อคฺคิหุตฺตํ นปิ ยญฺญ ตตฺร ความว่า แม้กิริยาของยัญมีจุดไฟ (สุมไฟ) ในการสังเวยเป็นต้น ที่ควรทำเพื่อต้องการอ้อนวอนท้าวมหาพรหม ย่อมไม่แจ่มแจ้งแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจเลย.
บทว่า น จาปิ เต ความว่า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมบริโภค แม้ซึ่งมูลผลาหารที่ท่านพ่อนำมาแล้ว.
บทว่า ยสฺสํ ทิสํ แปลว่า ในทิศใด.
บทว่า วนํ ได้แก่ ป่าไม้ที่เกิดอยู่แวดล้อมอาศรมของมาณพนั้น.
เมื่อดาบสนั้นกำลังพร่ำเพ้ออยู่นั่นเอง พระมหาโพธิสัตว์ได้ฟังคำพร่ำเพ้อนั้นแล้ว ก็ทราบว่า ศีลของดาบสนี้ เห็นทีจักถูกผู้หญิงคนหนึ่งทำลายให้ขาดเสียแล้วเป็นแน่ ดังนี้
เมื่อจะกล่าวสอนดาบสนั้น จึงกล่าวคาถา ๖ คาถา ความว่า เราไม่ควรให้เจ้าผู้ยังเป็นเด็กเช่นนี้ ถึงความกระสันในป่าโชติรส ที่หมู่คนธรรพ์และเทพอัปสรซ่องเสพ เป็นที่อยู่อาศัยแห่งฤาษีทั้งหลาย ในกาลก่อน พวกมิตรย่อมมีบ้าง ไม่มีบ้าง ชนทั้งหลาย ย่อมทำความรักในพวกญาติและพวกมิตร กุมารใดย่อมไม่รู้ว่า เราเป็นผู้มาแต่ไหน กุมารนี้เป็นผู้ลามก อยู่ในกลางวัน เพราะเหตุอะไร
มิตรสหายย่อมสนิทกันบ่อยๆ เพราะความอยู่ร่วมกัน มิตรนั้นนั่นแหละย่อมเสื่อมไป เพราะความไม่อยู่ร่วมของบุรุษที่ไม่สมาคม
ถ้าเจ้าได้เห็นพรหมจารี ได้พูดกับพรหมจารี เจ้าจักละคุณคือตปธรรมนี้เร็วไว ดุจข้าวกล้าที่สมบูรณ์แล้ว เสียไปเพราะน้ำมาก ฉะนั้น
หากเจ้าได้เห็นพรหมจารีอีก ได้พูดกับพรหมจารีอีก เจ้าจักละสมณเดชนี้เร็วไว ดุจข้าวกล้าที่สมบูรณ์แล้ว เสียไปเพราะน้ำมาก ฉะนั้น
ดูก่อนลูกรัก พวกยักษ์นั้นย่อมเที่ยวไปในมนุษยโลก โดยรูปแปลกๆ นรชนผู้มีปัญญา ไม่พึงคบพวกยักษ์นั้น พรหมจารีย่อมฉิบหายไป เพราะความเกาะเกี่ยวกัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิมสฺมา ได้แก่ อิมสฺมึ แปลว่า (ในป่าอันเป็นโชติรส) นี้.
คำว่า หิ เป็นเพียงนิบาต.
บทว่า ได้แก่ ในป่าอันมีรัศมีโชติช่วงสว่างไสวปกคลุมทั่ว.
บทว่า สนนฺตนมฺหิ แปลว่า ในกาลก่อน.
บทว่า ปาปุเณถ แปลว่า (ไม่)ควรให้ถึง.
มีคำอธิบายที่ท่านกล่าวไว้ว่า ลูกเอ๋ย! กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตอยู่ในป่าเห็นปานนี้ ไม่ควรให้เจ้าผู้ยังเป็นเด็กเช่นนี้ ถึงความกระสันเลย. อธิบายว่า ไม่ควรให้ถึง.
บทว่า ภวนฺติ ความว่า พระมหาโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้ เฉพาะคนที่อยู่ภายในเท่านั้น.
ความในคาถานั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้
ธรรมดาว่า หมู่มิตรของปวงสัตว์ในโลก ย่อมมีบ้าง ไม่มีบ้าง ในบรรดาคนเหล่านั้น พวกที่เป็นมิตร ย่อมทำความรักในพวกญาติและพวกมิตรของตน.
บทว่า อยญฺจ ชมฺโม ได้แก่ (กุมารนี้) เป็นมิคสิงคะ ผู้ลามก.
บทว่า กิสฺส ทิวา นิวิฏฺโฐ ความว่า เพราะค่าที่ตนเกิดในท้องของมิคีแล้วเติบโตในป่า ด้วยเหตุอะไร กุมารนั้นจึงอยู่กับมาตุคาม โดยสำคัญว่าเป็นมิตรเล่า
บทว่า กุโตมฺหิ อาคโต ความว่า กุมารนั้นย่อมไม่รู้ว่าตนมีฐานะมาอย่างไร จะป่วยกล่าวไปไยถึงหมู่ญาติและมิตรเล่า.
บทว่า ปุนปฺปุนํ ความว่า ลูกเอ๋ย! ธรรมดาว่า หมู่มิตรย่อมสนิทสนมกัน ติดต่อกันบ่อยๆ เพราะการอยู่ร่วมกัน คือคบหากัน.
บทว่า เสฺวว มิตฺโต ความว่า มิตรนั้นนั่นแหละ ย่อมเสื่อมไป คือย่อมพินาศไป เพราะการไม่อยู่ร่วมกล่าว คือการไม่สมาคมกันนั้นของบุรุษผู้ที่ไม่สมาคม.
คำว่า สเจ ความว่า เพราะฉะนั้น ลูกเอ๋ย! ถ้าเจ้าได้เห็นพรหมจารีนั้นซ้ำอีก หรือว่าได้พูดกับพรหมจารีนั้น เจ้าก็จักละ จักทำให้คุณ คือตปธรรมของตนนี้ เสื่อมไปเร็วไว ดุจข้าวกล้าที่เผล็ดผล สมบูรณ์ดีแล้ว เสียไปเพราะน้ำมาก ฉะนั้น.
บทว่า อุสฺมาคตํ แปลว่า สมณเดช.
บทว่า วิรูปรูเปน แปลว่า โดยรูปแปลกๆ.
มีคำที่ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า
พระโพธิสัตว์กล่าวสอนแล้วซึ่งบุตรอย่างนี้ว่า ดูก่อนลูกรัก ก็ภูต คือพวกยักษ์เหล่านี้ ย่อมเที่ยวไปในมนุษยโลก โดยรูปร่างของตนปกปิดรูปแปลกๆ ไว้ ก็เพื่อเคี้ยวกินพวกคนที่ตกไปสู่อำนาจของตน นรชนผู้มีปัญญา ไม่พึงคบหาพวกภูตคือยักษ์เหล่านั้น เพราะถึงความเกาะเกี่ยวกันเช่นนั้น การประพฤติพรหมจรรย์ย่อมฉิบหายไป เจ้าถูกนางยักษิณีนั้นพบเห็นแล้ว แต่ยังไม่ถูกเคี้ยวกิน.
ดาบสนั้นได้ฟังถ้อยคำของบิดาแล้ว เกิดความกลัวขึ้นว่า เพิ่งทราบว่า หญิงคนนั้นคือนางยักษิณี จึงกลับใจแล้ว ขอขมาคุณพ่อว่า คุณพ่อครับ ผมจักไม่ขอไปจากที่นี้ พ่อยกโทษให้ผมเถอะ. แม้พระโพธิสัตว์นั้นปลอบใจให้ลูกสบายใจแล้ว จึงบอกถึงวิธีการเจริญพรหมวิหารว่า มาณพน้อยเอ๋ย! เจ้ามานี่ซิ เจ้าจงเจริญเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขาเถิด.
ดาบสนั้นปฏิบัติตามอย่างนั้นแล้ว ก็ทำฌานและอภิญญาให้บังเกิดขึ้นได้อีก.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งหลายแล้ว ทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ อุกกัณฐิตภิกษุ ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
พระราชธิดานฬินิกา ในกาลนั้น ได้เป็น ปุราณทุติยิกา.
อิสิสิงคดาบส ได้เป็น อุกกัณฐิตภิกษุ
ส่วนพระโพธิสัตว์ผู้เป็นบิดา ก็คือ เรา นั่นเอง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น