Translate

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

อรรถกถา ๒/๑๐ มหาเวสสันตรชาดก ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี

ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี  จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา  หน้าต่างที่ [ ๑ ] [ ๒. ] [ ๓ ] [ ๔ ] [ ๕ ] [ ๖ ] [ ๗ ] [ ๘ ] 
 นายนักการนั้นไป ณ ที่นั้นได้กราบทูลพระเวสสันดร ผู้รื่นรมย์อยู่ว่า ข้าแต่พระจอมพล ข้าพระบาทจักทูลความทุกข์ของพระองค์ ขอพระองค์อย่ากริ้วข้าพระบาท นักการนั้นถวายบังคมแล้วร้องไห้ กราบทูลพระเวสสันดรว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เป็นผู้ชุบเลี้ยงข้าพระบาท เป็นผู้นำมาซึ่งรส คือความใคร่ทั้งปวง ข้าพระบาทจักกราบทูลความทุกข์ของพระองค์ เมื่อข่าวแสดงความทุกข์ อันข้าพระบาทกราบทูลแล้ว ขอฝ่าพระบาททรงยังข้าพระบาทให้ยินดี. 
 ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ชาวสีพีและชาวนิคมขัดเคืองพระองค์ มาประชุมกัน พวกคนที่มีชื่อเสียง และพระราชบุตรทั้งหลาย และพวกพ่อค้าทั้งหลาย พราหมณ์ทั้งหลาย ทั้งกองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ ชาวนิคม ชาวสีพีทั้งสิ้น ประชุมกันแล้ว ในเมื่อราตรีนี้สว่างแล้ว ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ชาวสีพีทั้งหลาย พร้อมกันขับพระองค์จากแว่นแคว้น. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุมารํ ได้แก่ พระราชาที่นับว่าเป็นกุมาร เพราะยังมีพระมารดาและพระบิดา. บทว่า รมฺมานํ ได้แก่ ผู้ประทับนั่งตรัสสรรเสริญ ทานที่พระองค์ให้แล้ว มีความโสมนัส. บทว่า อมจฺเจหิ ได้แก่ แวดล้อมไปด้วยเหล่าอำมาตย์ ผู้สหชาติประมาณหกหมื่นคน ประทับนั่งเหนือพระราชอาสน์ ภายใต้เศวตฉัตรที่ยกขึ้นแล้ว. บทว่า เวทยิสฺสามิ ได้แก่ จักกราบทูล. บทว่า ตตฺถ อสฺสายนฺตุ มํ ความว่า ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อข่าวแสดงความทุกข์นั้น อันข้าพระบาทกราบทูลแล้ว ขอฝ่าพระบาทโปรดยังข้าพระองค์ให้ยินดี คือขอพระองค์โปรดตรัสกะข้าพระบาทว่า เจ้าจงกล่าวตามสบายเถิด. นักการกล่าวอย่างนั้น ด้วยความประสงค์ดังนี้. 
               พระมหาสัตว์ตรัสว่า 
               ชาวสีพีขัดเคืองเราผู้ไม่เห็นความผิด ในเพราะอะไร แน่ะนักการ ท่านจงแจ้งความผิดนั้นแก่เรา ชาวเมืองทั้งหลายจะขับไล่เรา เพราะเหตุไร. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิสฺมิ ได้แก่ ในเพราะเหตุอะไร. บทว่า วิยาจิกฺข ความว่า จงกล่าวโดยพิสดาร. 
               นักการกราบทูลว่า 
               พวกคนที่มีชื่อเสียงและพระราชบุตรทั้งหลาย พ่อค้าทั้งหลาย พราหมณ์ทั้งหลาย ทั้งกองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ ขัดเคืองพระองค์ เพราะพระราชทานคชสารตัวประเสริฐ ฉะนั้น พวกเขาจึงขับพระองค์เสีย. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขียนฺติ แปลว่า ขัดเคือง. 
 พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงโสมนัส ตรัสว่า ดวงหทัยหรือจักษุ เราก็ให้ได้ จะอะไรกะทรัพย์นอกกายของเรา คือ เงิน ทอง มุกดา ไพฑูรย์หรือแก้วมณี ในเมื่อยาจกมาแล้ว เราได้เห็นเขาแล้ว พึงให้พาหาเบื้องขวาเบื้องซ้ายก็ได้ เราไม่พึงหวั่นไหว เพราะใจของเรายินดีในการบริจาค ปวงชาวสีพีจงขับไล่ หรือฆ่าเราเสียก็ตาม พวกเขาจะตัดเราเสียเป็น ๗ ท่อนก็ตามเถิด เราจักไม่งดเว้นจากการบริจาค เป็นอันขาด. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาจกมาคเต ความว่า เมื่อยาจกมาแล้ว ได้เห็นยาจกนั้น. บทว่า เนว ทานา วิรมิสฺสํ ความว่า จักไม่งดเว้นจากการบริจาค เป็นอันขาด. 
 นักการได้ฟังดังนั้น เมื่อจะกราบทูลข่าวอย่างอื่นตามมติของตน ซึ่งพระเจ้าสญชัยหรือชาวเมือง มิได้ให้ทูลเลย จึงกราบทูลว่า ชาวสีพีและชาวนิคมประชุมกัน กล่าวอย่างนี้ว่า พระเวสสันดรผู้มีวัตรอันงาม จงเสด็จไปสู่ภูผาอันชื่อว่า อารัญชรคีรี ตามฝั่งแห่งแม่น้ำโกนติมารา ตามทางที่พระราชาผู้ถูกขับไล่ เสด็จไปนั้นเถิด.
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกนฺติมาราย ได้แก่ ตามฝั่งแห่งแม่น้ำชื่อว่าโกนติมารา. บทว่า คิริมารญฺชรํ ปติ ความว่า เป็นผู้มุ่งตรงภูผาชื่อว่าอารัญชร. บทว่า เยน ความว่า นักการกราบทูลว่า ชาวสีพีทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า พระราชาทั้งหลายผู้บวชแล้ว ย่อมไปจากแว่นแคว้นโดยทางใด แม้พระเวสสันดรผู้มีวัตรงดงาม ก็จงเสด็จไปทางนั้น ได้ยินว่า นักการนั้นถูกเทวดาดลใจ จึงกล่าวคำนี้.
 พระโพธิสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้น จึงมีพระราชดำรัสว่า สาธุ เราจักไปโดยมรรคาที่เสด็จไปแห่ง พระราชาทั้งหลายผู้รับโทษ ก็แต่ชาวเมืองทั้งหลายมิได้ขับไล่เราด้วยโทษอื่น ขับไล่เราเพราะเราให้คชสารเป็นทาน เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจักบริจาคสัตตสดกมหาทาน สักหนึ่งวัน ชาวเมืองจงให้โอกาส เพื่อเราได้ให้ทาน สักหนึ่งวัน รุ่งขึ้น เราให้ทานแล้วจักไปในวันที่ ๓ 
               ตรัสฉะนี้ แล้วตรัสว่า 
               เราจักไปโดยมรรคาที่พระราชาทั้งหลายผู้ต้องโทษ เสด็จไป ท่านทั้งหลายงดโทษให้เราสักคืนกับวันหนึ่ง จนกว่าเราจะได้บริจาคทานก่อนเถิด. 
               นักการได้ฟังดังนั้นแล้วกราบทูลว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า ข้าพระบาทจักแจ้งความนั้นแก่ ชาวพระนครและแด่พระราชา ทูลฉะนี้ แล้วหลีกไป. 
 พระมหาสัตว์ส่งนักการนั้นไปแล้ว จึงให้เรียกมหาเสนาคุตมาเฝ้า. ดำรัสให้จัดสัตตสดกมหาทานว่า พรุ่งนี้เราจักบริจาคสัตตสดกมหาทาน ท่านจงจัดช้าง ๗๐๐ เชือก. ม้า ๗๐๐ ตัว. รถ ๗๐๐ คัน. สตรี ๗๐๐ คน. โคนม ๗๐๐ ตัว. ทาส ๗๐๐ คน. ทาสี ๗๐๐ คน. จงตั้งไว้ซึ่งข้าวน้ำ เป็นต้นมีประการต่างๆ สิ่งทั้งปวงโดยที่สุด แม้สุราซึ่งเป็นสิ่งไม่ควรให้ แล้วส่งอำมาตย์ทั้งหลายให้กลับ แล้วเสด็จไปที่ประทับพระนางมัทรีแต่พระองค์เดียว ประทับนั่งข้างพระยี่ภู่อันเป็นสิริ ตรัสกับพระนางนั้น. 
 พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า พระเวสสันดรบรมกษัตริย์ตรัสเรียก พระนางมัทรีผู้งามทั่วสรรพางค์นั้นมาว่า พัสดุอันใดอันหนึ่งที่ฉันให้เธอ ทั้งทรัพย์อันประกอบด้วยสิริ เงิน ทอง มุกดา ไพฑูรย์มีอยู่มาก และสิ่งใดที่เธอนำมาแต่พระชนกของเธอ เธอจงเก็บสิ่งนั้นไว้ทั้งหมด.
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิทเหยฺยาสิ ความว่า เธอจงเก็บขุมทรัพย์ไว้. บทว่า เปติกํ ได้แก่ ที่เธอนำมาแต่ฝ่ายพระชนก. 
      พระราชบุตรีพระนามว่ามัทรี ผู้งามทั่วพระกาย จึงทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพจะโปรดให้เก็บทรัพย์ทั้งนั้นไว้ในที่ไหน ขอพระองค์รับสั่งแก่หม่อมฉันผู้ทูลถาม ให้ทราบ. 
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตมพฺรวิ ความว่า ทูลกระหม่อม เวสสันดรพระสวามีของเราไม่เคยตรัสว่า เธอจงเก็บทรัพย์ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ เฉพาะคราวนี้พระองค์ตรัส เราจักทูลถามทรัพย์นั้นจะโปรดให้เก็บไว้ในที่ไหนหนอ พระนางมัทรีมีพระดำริดังนี้ จึงได้ทูลถามดังนั้น. 
               พระเวสสันดรบรมกษัตริย์จึงตรัสว่า 
               ดูก่อนพระน้องมัทรี เธอจงบริจาคทานในท่านผู้มีศีลทั้งหลายตามควร เพราะที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวงอย่างอื่น ยิ่งกว่าทานการบริจาค ย่อมไม่มี. 
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทชฺเชสิ ความว่า แน่ะพระน้องมัทรีผู้เจริญ เธออย่าได้เก็บทรัพย์ไว้ในที่มีพระคลัง เป็นต้น เมื่อจะเก็บเป็นขุมทรัพย์ที่จะติดตามตัวไป พึงถวายในท่านผู้มีศีลทั้งหลาย ในแว่นแคว้นของเรา. บทว่า น หิ ทานา ปรํ ความว่า ขึ้นชื่อว่า ที่พึ่งอาศัยที่ยิ่งขึ้นไปกว่าทาน ย่อมไม่มี. 
               พระนางมัทรีรับพระดำรัสว่า สาธุ. 
               ครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์ เมื่อจะประทานพระราโชวาทแก่พระนางให้ยิ่งขึ้น จึงตรัสว่า 
 ดูกรพระน้องมัทรี 
 เธอพึงเอาใจใส่ในลูกทั้งสองในพระชนนีและพระชนกของพี่ อนึ่ง ผู้ใดพึงตกลงปลงใจว่า จะเป็นพระสวามีพระน้องนาง เธอพึงบำรุงผู้นั้นโดยเคารพ ถ้าไม่มีใครมาตกลงปลงใจ เป็นพระสวามีพระน้องนาง เพราะพระน้องนางกับพี่จะต้องพลัดพรากจากกัน พระน้องนางจงแสวงหาพระสวามีอื่นเถิด อย่าลำบากเพราะจากพี่เลย. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทเยสิ ความว่า พึงเอ็นดูกระทำความเมตตา. บทว่า โย จ ตํ ภตตา มญฺเญยฺย ความว่า แน่ะนางผู้เจริญ เมื่อฉันไปแล้ว กษัตริย์ใดมาสำคัญว่า เราจักเป็นภัสดาของเธอ เธอพึงบำรุงกษัตริย์แม้นั้น โดยเคารพ. บทว่า มยา วิปปวเสน เต ความว่า ถ้าใครๆ ไม่สำคัญเธอว่า เราจักเป็นภัสดาของเธอ เพราะเธอไม่ได้อยู่กับฉัน เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอจงแสวงหาภัสดาอื่นด้วยตนเอง นั่นแล. บทว่า มา กิลิตถ มยา วินา ความว่า เธอพรากจากฉันแล้วอย่าลำบาก คือจงอย่าลำบาก. 
 ครั้งนั้น พระนางมัทรีมีพระดำริว่า พระเวสสันดรผู้ภัสดา ตรัสพระวาจาเห็นปานนี้ เหตุเป็นอย่างไรหนอ จึงกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ตรัสพระวาจา อันไม่สมควรตรัสนี้ เพราะเหตุไร. ลำดับนั้น พระเวสสันดรจึงตรัสตอบพระนางว่า แน่ะพระน้องมัทรีผู้เจริญ ชาวสีพีขัดเคืองเพราะฉันให้ช้าง จึงขับไล่ฉันจากแว่นแคว้น พรุ่งนี้ฉันจักให้สัตตสดกมหาทาน จักออกจากพระนครในวันที่ ๓. 
               ตรัสฉะนี้แล้ว ตรัสว่า 
               ฉันจักไปป่าที่น่ากลัว ประกอบด้วยพาลมฤค ฉันผู้เดียวอยู่ในป่าใหญ่ มีชีวิตน่าสงสัย. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํสโย ความว่า เมื่อฉันผู้สุขุมาลชาติโดยส่วนเดียว อยู่ในป่าที่มีศัตรูไม่น้อย จะมีชีวิตอยู่แต่ไหน ฉันจักตายเสียเป็นแน่. พระเวสสันดรตรัสอย่างนั้น ด้วยความประสงค์ดังนี้ 
 พระราชบุตรีพระนามว่ามัทรี ผู้งามทั่วสรรพางค์ ได้กราบทูลถามพระราชสวามีว่า พระองค์ตรัสพระวาจา ซึ่งไม่เคยมีหนอ ตรัสวาจาชั่วแท้. ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์เสด็จไปแต่พระองค์เดียว ไม่สมควร แม้หม่อมฉันก็จักโดยเสด็จด้วย. ความตายกับด้วยพระองค์ หรือพรากจากพระองค์เป็นอยู่ สองอย่างนี้ ตายนั่นแลประเสริฐกว่า พรากจากพระองค์เป็นอยู่ จะประเสริฐอะไร. 
 ก่อไฟให้ลุกโพลงมีเปลวเป็นอันเดียวกัน แล้วตายเสียในไฟนั้นประเสริฐกว่า พรากจากพระองค์ จะประเสริฐอะไร. นางช้างพังไปตามช้างพลายตัวประเสริฐอยู่ในป่า เที่ยวอยู่ตามภูผาทางกันดาร สถานที่เสมอแลไม่เสมอ ฉันใด หม่อมฉันจะพาบุตรและบุตรีตามเสด็จไปเบื้องหลัง ฉันนั้น. หม่อมฉันจักเป็นผู้ที่เลี้ยงง่ายของพระองค์ จักไม่เป็นผู้ที่เลี้ยงยากของพระองค์. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภุมเม ความว่า พระองค์ตรัสแก่หม่อมฉันถึงพระวาจา ซึ่งไม่เคยมีหนอ. บทว่า คจเฉยย แปลว่า เสด็จไป. บทว่า เนส ธมโม ความว่า นั่นไม่ใช่สภาวะ คือนั่นมิใช่เหตุ. บทว่า ตเทว ความว่า หม่อมฉันตายกับด้วยพระองค์นั่นแล ประเสริฐกว่า. บทว่า ตตถ ได้แก่ ในเชิงตะกอนไม้ที่มีเปลวไฟ เป็นอันเดียวกัน. บทว่า เชสสนตํ แปลว่า เที่ยวไปอยู่. 
 พระนางมัทรีราชกัญญากราบทูลพระภัสดาอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงพรรณนาถึงหิมวันตประเทศ ซึ่งเป็นประหนึ่งว่าได้เคยทอดพระเนตรเห็นแล้ว จึงตรัสว่า เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นกุมารทั้งสองนี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ พูดจาน่ารัก นั่งอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า เล่นอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ. 
 เมื่อพระองค์... ...น่ารัก เล่นอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ.  เมื่อพระองค์... ...น่ารัก ที่อาศรมรัมณียสถาน จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ.  เมื่อพระองค์... ...น่ารัก เล่นอยู่ ณ อาศรมรัมณียสถาน จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ.  เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้งสองนี้ ทรงมาลาประดับพระองค์ ณ อาศรมรัมณียสถาน จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ.  เมื่อพระองค์... ...ประดับพระองค์ เล่นอยู่ ณ อาศรมเป็นที่รื่นรมย์ จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ. 
      เมื่อใด พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกุญชรชาติมาตังคะ อายุล่วง ๖๐ ปี เที่ยวอยู่ในป่าตัวเดียว เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ.
      เมื่อใด พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง ๖๐ ปี เที่ยวไปในเวลาเย็น ในเวลาเช้า เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ. 
      เมื่อใด กุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง ๖๐ ปี เดินนำหน้าโขลงช้างพังไป ส่งเสียงร้องกึกก้องโกญจนาท พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้องของช้างที่บันลือก้องอยู่นั้น เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ. 
      เมื่อใด พระองค์ผู้พระราชทานความใคร่แก่หม่อมฉัน ทอดพระเนตรชัฏไพรเป็นหมู่ไม้ทั้ง ๒ ข้างมรรคา อันเกลื่อนไปด้วยพาลมฤค เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ. 
               ...จักทอดพระเนตรเห็นมฤคผู้มาเป็นแถวๆแถวละ ๕ ตัวและเหล่ากินนร ผู้ฟ้อนอยู่ในเวลาเย็น... 
               ...ได้ทรงฟังเสียงกึกก้องแห่งกระแสในแม่น้ำไหล และเสียงขับร้องแห่งฝูงกินนร... 
               ...ทรงสดับเสียงร้องของนกเค้าที่เที่ยวอยู่ตามซอกเขา... 
               ...จักได้ทรงสดับเสียงแห่งสัตว์ร้ายในป่า คือราชสีห์ เสือโคร่ง แรด โคลาน... 
               ...ได้ทอดพระเนตร เห็นนกยูงผู้ปกคลุมด้วยแพนหางจับอยู่ที่ยอดเขาเกลื่อนไป ด้วยนางนกยูงทั้งหลายรำแพนอยู่... 
               ...ได้ทอดพระเนตร นกยูงผู้เกลื่อนด้วยฝูงนางนกยูง มีแพนหางอันวิจิตรรำแพนอยู่... 
               ...ได้ทอดพระเนตร นกยูงมีขนคอเขียวมีหงอนเกลื่อนไปด้วยฝูงนางนกยูงรำแพนอยู่... 
               ...ทอดพระเนตรเห็น เหล่าพฤกษชาติอันบานแล้ว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งในเหมันตฤดู และพื้นดินเขียวชอุ่มปกคลุมไป ด้วยแมลงค่อมทองในเดือนเหมันต์... 
               ...ได้ทอดพระเนตรเห็น รุกขชาติอันมีดอกบานสะพรั่ง คืออัญชันเขียวที่กำลังผลิยอดอ่อน ต้นโลท และบัวบก มีดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมฟุ้งในเหมันตฤดู... 
               เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตร เห็นหมู่ไม้มีดอกบานสะพรั่ง และปทุมชาติ มีดอกร่วงหล่นในเดือนฤดูเหมันต์ เมื่อนั้นก็จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มชเก ได้แก่ มีเสียงไพเราะ มีถ้อยคำไพเราะ. บทว่า กเรณุสํฆสส ได้แก่ หมู่ช้างพัง. บทว่า ยูถสส ได้แก่ ไปข้างหน้าโขลงช้าง. บทว่า อุภโต ได้แก่ ทั้งสองข้างมรรคา. บทว่า วนวิกาเส ได้แก่ ชัฏไพร. บทว่า กามทํ ได้แก่ ผู้ให้สิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่างแก่หม่อมฉัน. บทว่า สินธุยา ได้แก่ แม่น้ำ. บทว่า วสมานสสุลูกสส ได้แก่ นกเค้าผู้อยู่. บทว่า พาฬานํ ได้แก่ พาลมฤคทั้งหลาย ด้วยว่าเสียงของกินนรเหล่านั้นเป็น ราวกะเสียงดนตรีเครื่อง ๕ จักมีในเวลาเย็น เพราะเหตุนั้น พระนางมัทรีจึงทูลว่า พระองค์ทรงสดับเสียงของกินนรเหล่านั้น แล้วจักทรงลืมราชสมบัติ. บทว่า วรหํ ได้แก่ ปกคลุมด้วยแพนหาง. บทว่า มตถกาสินํ ได้แก่ จับอยู่ที่ยอดบรรพตเป็นนิจ. ปาฐะว่า มตตกาสินํ ก็มี ความว่า เป็นผู้เมาด้วยความเมาในกามจับอยู่. บทว่า พิมพชาลํ ได้แก่ ใบอ่อนแดง. บทว่า โอปุปผานิ ได้แก่ มีดอกห้อยลง คือมีดอกร่วงหล่น. 
               พระนางมัทรีทรงพรรณนาถึงหิมวันตประเทศ ด้วยคาถามีประมาณเท่านี้ ประหนึ่งพระองค์เคยเสด็จประทับอยู่ ณ หิมวันตประเทศแล้ว ฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้. 
จบหิมวันตวรรณนา

ไม่มีความคิดเห็น: