Translate

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

๑๐. มหาเวสสันตรชาดก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒

พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี
[๑๐๔๕] ดูกรผุสดีผู้มีรัศมีแห่งผิวพรรณอันประเสริฐ ผู้มีอวัยวะส่วนเบื้องหน้า
        งาม  เธอจงเลือกเอาพร ๑๐ ประการในปฐพีซึ่งเป็นที่รักแห่งหฤทัยของเธอ.
[๑๐๔๖] ข้าแต่ท้าวเทวราช ข้าพระบาทขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าพระบาทได้ทำ
        บาปกรรมอะไรไว้หรือ ฝ่าพระบาทจึงให้ข้าพระบาทจุติจากทิพยสถานที่น่า
        รื่นรมย์ ดุจลมอัดต้นไม้ใหญ่ให้หักไป ฉะนั้น.
[๑๐๔๗] บาปกรรมเธอมิได้ทำไว้เลย และเธอไม่เป็นที่รักของเราก็หาไม่ แต่บุญ
        ของเธอสิ้นแล้วเหตุนั้น เราจึงกล่าวกะเธออย่างนี้ ความตายใกล้เธอ
        เธอจักต้องพลัดพรากจากไปจงเลือกรับเอาพร ๑๐ ประการนี้แต่เราผู้จะให้.
[๑๐๔๘] ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าสัตว์ทั้งปวง ถ้าฝ่าพระบาทจะประทานพร แก่ข้าพระบาทไซร้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ข้าพระบาทพึงเกิดในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสีวิราช ข้าแต่ท้าวบุรินททะ ขอให้ข้าพระบาท (๑) พึงเป็นผู้มีจักษุดำเหมือนตาลูกมฤคี (มีอายุ ๑ ขวบปี) ซึ่งมีดวงตา ดำ  (๒) พึงมีขนคิ้วดำ  (๓) พึงเกิดในราชนิเวศน์นั้นมีนามว่าผุสดี (๔) พึงได้พระราชโอรสผู้ให้สิ่งอันประเสริฐ ผู้ประกอบเกื้อกูลในยาจกมิได้ตระหนี่ ผู้อันพระราชาทุกประเทศบูชา  มีเกียรติยศ  (๕) เมื่อข้าพระบาททรงครรภ์ขออย่าให้อุทรนูนขึ้น พึงมีอุทรไม่นูน เสมอดังคันศรที่นายช่างเหลาเกลี้ยงเกลา  (๖) ถันทั้งคู่ของข้าพระบาทอย่าย้อยยาน ข้าแต่ท้าววาสวะ  (๗) ผมหงอกก็อย่าได้มี  (๘) ธุลีก็อย่าได้ติดในกาย (๙) ข้าพระบาทพึงปล่อยนักโทษที่ถึงประหารได้  (๑๐) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าพระบาทพึงได้เป็นอัครมเหสีที่โปรดปรานของพระราชาในแว่นแคว้นสีวี  ในพระราชนิเวศน์อันกึกก้องด้วยเสียงร้องของนกยูง และนกกระเรียน พรั่งพร้อมด้วยหมู่วรนารี เกลื่อนกล่นไปด้วยคนเตี้ย และคนค่อม อันพ่อครัวชาวมคธเลี้ยงดูกึกก้องไปด้วยเสียงกลอน และ เสียงบานประตูอันวิจิตร มีคนเชิญให้ดื่มสุราและกินกับแกล้ม.
[๑๐๔๙] ดูกรนางผู้งามทั่วสรรพางค์กาย พร ๑๐ ประการ เหล่าใดที่เราให้แก่เธอ
        เธอจักได้พร ๑๐ ประการเหล่านั้น ในแว่นแคว้นของพระเจ้าสีวิราช.
[๑๐๕๐] ครั้นท้าววาสวะมฆวาสุชัมบดีเทวราชตรัสอย่างนี้แล้ว ก็โปรดประทานพร
        แก่พระนางผุสดีเทพอัปสร.
(นี้) ชื่อว่าทสพรคาถา
[๑๐๕๑] พระนางผุสดีเทพอัปสรจุติจากดาวดึงสเทวโลกนั้น  มาบังเกิดในสกุลกษัตริย์  ได้ทรงอยู่ร่วมกับพระเจ้าสญชัยในพระนครเชตุดร  พระนางผุสดีทรงครรภ์ถ้วนทสมาส เมื่อทรงทำประทักษิณพระนคร ประสูติเราที่ท่ามกลางถนนของพวกพ่อค้า ชื่อของเรามิได้เนื่องแต่พระมารดา และ มิได้เกิดแต่พระบิดา เราเกิดที่ถนนแห่งพ่อค้า เพราะฉะนั้น เราจึงชื่อว่า  เวสสันดร เมื่อใด เรายังเป็นทารก มีอายุ ๔ ขวบแต่เกิดมา เมื่อนั้น  เรานั่งอยู่ในปราสาทคิดจะบริจาคทานว่า  เราจะพึงให้หทัย ดวงตา  เนื้อ  เลือด และร่างกาย  เมื่อใครมาขอเรา เราก็ยินดีให้ เมื่อเราคิดถึงการบริจาคทานอันเป็นความจริง หฤทัยก็ไม่หวั่นไหวมุ่งมั่นอยู่ในกาลนั้น ปฐพีมีสิเนรุบรรพตและหมู่ไม้เป็นเครื่องประดับ ได้หวั่นไหว.
[๑๐๕๒] พราหมณ์ทั้งหลาย ผู้มีขนรักแร้ดกและมีเล็บยาว  ฟันเขลอะ มีธุลีบน
        ศีรษะ เหยียดแขนข้างขวาจะขออะไรฉันหรือ.
[๑๐๕๓] ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทั้งหลายทูลขอรัตนะเครื่องให้แว่นแคว้น
        ของชาวสีพีเจริญ ขอได้โปรดพระราชทานช้างตัวประเสริฐ ซึ่งมีงาดุจ
        งอนไถอันมีกำลังสามารถเถิด พระเจ้าข้า.
[๑๐๕๔] เราจะให้ช้างพลายซับมันตัวประเสริฐ ซึ่งเป็นช้างราชพาหนะอันสูงสุด
        ที่พราหมณ์ทั้งหลายขอเรา เรามิได้หวั่นไหว.
[๑๐๕๕] พระราชาผู้ผดุงรัฐสีพีให้เจริญรุ่งเรือง มีพระหฤทัยน้อมไปในการบริจาค
        เสด็จลงจากคอช้างพระราชทานแก่พราหมณ์ทั้งหลาย.
[๑๐๕๖] เมื่อบรมกษัตริย์พระราชทานช้างตัวประเสริฐ (แก่พราหมณ์ทั้ง ๘) แล้วในกาลนั้น ความน่าสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้าได้เกิดมี  เมทนีดลก็หวั่นไหว  เมื่อบรมกษัตริย์พระราชทานช้างตัวประเสริฐ  ในกาลนั้นได้เกิดมีความน่าสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้า ชาวพระนครกำเริบ ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ยังแว่นแคว้นของชาวสีพีให้เจริญพระราชทานช้างตัวประเสริฐ ชาวบุรีก็เกลื่อนกล่น เสียงอันกึกก้องก็แผ่ไปมากมาย.
[๑๐๕๗] ครั้งนั้น เมื่อพระเวสสันดรพระราชทานช้างตัวประเสริฐแล้ว เสียงอื้ออึง น่ากลัวเป็นอันมากก็เป็นไปในนครนั้น  ในกาลนั้นชาวนครก็กำเริบ ครั้งนั้น  ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญรุ่งเรืองพระราชทานช้างตัวประเสริฐแล้ว เสียงอื้ออึงน่ากลัวเป็นอันมากก็เป็นไปในนครนั้น.
[๑๐๕๘] พวกคนที่มีชื่อเสียง  พระราชบุตร พวกพ่อค้าชาวนา พวกพราหมณ์ กองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ ชาวนิคม ชาวสีพีทั้งสิ้นมาประชุมพร้อมกัน พวกเหล่านั้นเห็นพวกพราหมณ์นำพระยาช้างไป ก็กราบทูลแด่พระเจ้ากรุงสัญชัยว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ แว่นแคว้นของพระองค์ถูกกำจัดแล้ว  เหตุไรพระเวสสันดรของพระองค์ จึงพระราชทานช้างตัวประเสริฐของชาวเราทั้งหลาย  อันชาวแว่นแคว้นสักการะบูชา ไฉนพระเวสสันดรราชโอรสจึงพระราชทานพระยากุญชรของชาวเราทั้งหลายอันมีงางอนงามแกล้วกล้า  สามารถรู้จักเขตแห่งยุทธวิธีทุกอย่างเป็นช้างเผือกขาวผ่อง  ประเสริฐสุด ปกคลุมด้วยผ้ากัมพลเหลือง กำลังซับมัน  สามารถย่ำยีศัตรูได้ ฝึกดีแล้ว พร้อมทั้งวาลวิชนีมีสีขาวเช่นดังเขาไกรลาศ ไฉนพระเวสสันดรราชโอรสจึงพระราชทานพระยาช้างราชพาหนะซึ่งเป็นยานชั้นเลิศ เป็นทรัพย์อย่างประเสริฐ พร้อมทั้งฉัตรขาว เครื่องลาด หมอช้าง และคนเลี้ยงช้างแก่พวกพราหมณ์.
[๑๐๕๙] พระเวสสันดรราชโอรสนั้นควรจะพระราชทาน ข้าว น้ำ ผ้านุ่งผ้าห่ม และที่นั่งที่นอน  สิ่งของเช่นนี้แลสมควรจะพระราชทาน สมควรแก่พวกพราหมณ์ ข้าแต่พระเจ้าสัญชัย ไฉนพระเวสสันดรราชโอรส ผู้เป็นพระราชาโดยสืบพระวงศ์ของพระองค์  ผู้ผดุงสีพีรัฐ จึงทรงพระราชทานพระยาคชสารไป ถ้าพระองค์จักไม่ทรงทำตามถ้อยคำของชนชาวสีพี  ชนชาวสีพีก็เห็นจักทำพระองค์พร้อมด้วยพระราชโอรสไว้ในเงื้อมมือ.
[๑๐๖๐] ถึงชนบทจะไม่มี และแม้แว่นแคว้นจะพินาศไปก็ตามเถิด เราก็ไม่พึงขับไล่พระราชบุตรผู้ไม่มีโทษจากแว่นแคว้นของตนตามคำของชาวสีพีเพราะพระราชบุตรเกิดจากอกของเรา ถึงชนบทจะไม่มี  และแม้แว่นแคว้นจะพินาศไปก็ตามเถิด เราก็ไม่พึงขับไล่พระราชบุตรผู้ไม่มีโทษจากแว่นแคว้นของตน ตามคำของชาวสีพี เพราะพระราชบุตรเกิดแต่ตัวเรา อนึ่ง เราไม่พึงประทุษร้ายในพระราชบุตรนั้น เพราะเธอมีศีล และวัตรอันประเสริฐ แม้คำติเตียนจะพึงมีแก่เรา และเราจะพึงประสบบาปเป็นอันมาก เราจะให้ฆ่าพระเวสสันดรบุตรของเราด้วยศาตราอย่างไรได้.
[๑๐๖๑] พระองค์อย่าได้รับสั่งให้ฆ่าพระเวสสันดรนั้นด้วยท่อนไม้หรือศาตราเลย
        ทั้งพระเวสสันดรนั้นก็ไม่ควรแก่เครื่องพันธนาการ  แต่จงทรงขับไล่
        พระเวสสันดรนั้นเสียจากแว่นแคว้น จงไปอยู่ที่เขาวงกตเถิด.
[๑๐๖๒] ถ้าความพอใจของชาวสีพีเช่นนี้  เราก็ไม่ขัด  ขอเธอจงได้อยู่และ
        บริโภคกามทั้งหลาย ตลอดคืนนี้ ต่อเมื่อสิ้นราตรีแล้ว พระอาทิตย์ขึ้น
        แล้ว  ชาวสีพีจงพร้อมเพรียงกันขับไล่เธอเสียจากแว่นแคว้นเถิด.
[๑๐๖๓] ดูกรนายนักการ ท่านจงลุกขึ้น จงรีบไปทูลพระเวสสันดรว่า ขอเดชะ ชาวสีพี ชาวนิคม พวกคนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร พ่อค้า ชาวนา พราหมณาจารย์ พากันโกรธเคืองมาประชุมกันอยู่แล้ว  กองช้าง กองม้า กองรถ กองเดินเท้า ทั้งชาวนิคมและชาวสีพีทั้งสิ้นมาประชุมกันแล้ว เมื่อสิ้นราตรีนี้ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว  ชาวสีพีจะพรักพร้อมกันขับไล่พระองค์จากแว่นแคว้น.
[๑๐๖๔] นายนักการนั้น เมื่อได้รับพระราชดำรัสสั่ง จึงสวมสอดเครื่องประดับมือ นุ่งห่มเรียบร้อย ประพรมด้วยจุรณจันทน์ ล้างศีรษะในน้ำ สวมกุณฑลแก้วมณีแล้ว รีบเข้าไปยังบุรีอันน่ารื่นรมย์ เป็นที่ประทับอยู่ของพระเวสสันดร  ได้เห็นพระเวสสันดรทรงพระสำราญอยู่ในพระราชวังของพระองค์อันเกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่อำมาตย์ ปานประหนึ่งท้าววาสวะแห่งไตรทศ.
[๑๐๖๕] นายนักการนั้น ครั้นรีบไปในพระราชนิเวสน์นั้นแล้ว ได้กราบทูลพระเวสสันดรว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ ข้าพระบาทจะกราบทูลความทุกข์แด่พระองค์  ขออย่าได้ทรงกริ้วข้าพระบาทเลย นายนักการนั้นถวายบังคมแล้วพลางคร่ำครวญกราบทูลพระราชาว่า  ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ทรงชุบเลี้ยงข้าพระบาท ทรงนำมาซึ่งรสที่น่าใคร่ทุกอย่าง ข้าพระบาทจะกราบทูลความทุกข์แด่พระองค์  เมื่อข้าพระบาทกราบทูลข่าวสารเรื่องทุกข์ร้อนนั้นแล้ว   ขอพระยุคลบาทจงยังข้าพระบาทให้เบาใจ ขอเดชะ  ชาวสีพี ชาวนิคม  คนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร พ่อค้า ชาวนา พราหมณาจารย์พากันโกรธเคืองมาประชุมกันอยู่แล้ว  กองช้าง กองม้า กองรถ กองเดินเท้า ทั้งชาวนิคมและชาวสีพีทั้งสิ้น มาประชุมกันอยู่แล้ว เมื่อสิ้นราตรีนี้ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ชาวสีพี  จะพรักพร้อมกันขับไล่พระองค์จากแว่นแคว้นพระเจ้าข้า.
[๑๐๖๖] ดูกรนายนักการ เพราะเหตุไรชาวสีพีจึงโกรธเรา ขอท่านจงบอกความ
        ชั่วแก่เรา ผู้ไม่เห็นความเดือดร้อนให้แจ้งชัดด้วย  เหตุไรเขาจึงขับไล่เรา.
[๑๐๖๗] พวกคนที่มีชื่อเสียง  พระราชบุตร พ่อค้า ชาวนา พราหมณาจารย์ พวกกองช้าง  กองม้า กองรถ กองเดินเท้าพากันติเตียนเพราะพระราชทานพระยาช้างพระที่นั่งต้น เหตุนั้นเขาจึงขับไล่พระองค์ พระเจ้าข้า.
[๑๐๖๘] เราจะให้หทัย  ให้จักษุ เงิน ทอง แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ หรือ แก้วมณี เป็นทรัพย์ภายนอกของเรา จะเป็นอะไรไป เมื่อยาจกมาถึงเราเห็นแล้ว ก็จงให้แขนขวาแขนซ้าย ไม่หวั่นไหวเลย  ใจของเรา ยินดีในทาน ชาวสีพีทั้งปวงจงขับไล่  จงฆ่าเราเสีย หรือจะตัดเราให้เป็นเจ็ดท่อนก็ตามเถิด  เราจักไม่งดการให้ทานเลย.
[๑๐๖๙] ชาวสีพีและชาวนิคมประชุมกันกล่าวอย่างนี้ว่า พระเวสสันดรผู้มีวัตรงาม
        จงเสด็จไปสู่อารัญชรคีรีทางฝั่งแม่น้ำ โกนติมาราตามทางที่พระราชาผู้ถูก
        ขับไล่เสด็จไปนั้นเถิด.
[๑๐๗๐] เราจักไปตามทางที่พระราชาผู้มีโทษเสด็จไป ขอให้ท่านทั้งหลายจงงดแก่
        เราคืนและวันหนึ่งพอให้เราได้ให้ทานก่อนเถิด.
[๑๐๗๑] พระราชาตรัสตักเตือนพระมัทรีผู้มีความงาม ทั่วสรรพางค์ว่าทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พี่ให้แก่พระน้องนาง  และสิ่งของที่ควรสงวนอันเป็นของพระน้องนาง คือ เงิน ทอง แก้วมุกดา หรือแก้วไพฑูรย์ มีอยู่เป็นอันมาก และทรัพย์ฝ่ายพระบิดา ของพระน้องนาง ควรเก็บไว้ทั้งหมด.
[๑๐๗๒] พระนางมัทรีราชบุตรีผู้มีความงามทั่วสรรพางค์ได้ทูลถาม พระเวสสันดรนั้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ หม่อมฉันจะเก็บไว้ที่ไหน หม่อมฉันทูลถามแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกเนื้อความนั้นเถิด.
[๑๐๗๓] ดูกรพระน้องมัทรี พึงให้ทานในท่านผู้มีศีลตามสมควร เพราะที่พึ่งของ
        สัตว์ทั้งปวงยิ่งไปกว่าทานไม่มี.
[๑๐๗๔] ดูกรพระน้องมัทรี  เธอพึงเอาใจใส่ในลูกทั้งสอง  ในพระชนนีและ พระชนกของพี่  อนึ่ง ผู้ใดพึงตกลงปลงใจว่าจะเป็นพระสวามีพระน้องนางเธอพึงบำรุงผู้นั้นโดยเคารพ ถ้าไม่มีใครมาตกลงปลงใจเป็นพระสวามีพระน้องนาง เพราะพระน้องนางกับพี่จะต้องพลัดพรากจากกัน พระน้องนางจงแสวงหาพระสวามีอื่นเถิด อย่าลำบากเพราะจากพี่เลย.
[๑๐๗๕] เพราะว่าพี่จักต้องไปสู่ป่าที่น่ากลัว อันเกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย
        เมื่อพี่คนเดียวอยู่ในป่าใหญ่ ชีวิตก็น่าสงสัย.
[๑๐๗๖] พระนางมัทรีราชบุตรีผู้มีความงามทั่วสรรพางค์ ได้กราบทูลพระเวสสันดรว่า ไฉนหนอพระองค์จึงตรัสเรื่องที่ไม่เคยมี  ไฉนจึงตรัสเรื่องลามก ข้าแต่พระมหาราช ข้อที่พระองค์จะพึงเสด็จแต่พระองค์เดียวนั้น ไม่ใช่ธรรมเนียม  ข้าแต่พระมหากษัตริย์แม้หม่อมฉันก็จะตามเสด็จไป  ตามทางที่พระองค์เสด็จ  ความตายกับพระองค์หรือเป็นอยู่เว้นจากพระองค์ ความตายกับพระองค์นั่นแลประเสริฐกว่า  เป็นอยู่เว้นจากพระองค์จะประเสริฐอะไร ก่อไฟให้ลุกโพลง มีเปลวเป็นอันเดียวกันตั้งอยู่แล้ว ความตายในไฟที่ลุกโพลง  มีเปลวเป็นอันเดียวกันนั้นประเสริฐกว่าเป็นอยู่เว้นจากพระองค์จะประเสริฐอะไร  นางช้างติดตามพระยาช้างผู้อยู่ในป่า เที่ยวไป ณ ภูเขาและที่หล่ม  ที่เสมอและไม่เสมอ  ฉันใด หม่อมฉันจะพาลูกทั้งสองติดตามพระองค์ไปเบื้องหลัง  ฉันนั้น หม่อมฉันจันเป็นผู้อันพระองค์เลี้ยงง่าย  จักไม่เป็นผู้อันพระองค์เลี้ยงยาก.
[๑๐๗๗] เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้  ผู้มีเสียงอันไพเราะ พูดจาน่ารัก  นั่งอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น พระกุมารทั้ง ๒ นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ พูดจาน่ารัก  เล่นอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะพูดจาน่ารัก ณ อาศรมรัมณียสถาน จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ  พูดจาน่ารัก เล่นอยู่ ณ อาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์   จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้  ทรงมาลาประดับพระองค์ ณ อาศรมรัมณียสถาน ก็จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ  เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้ เล่นอยู่ ณ อาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์  ก็จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น
พระกุมารทั้ง ๒ พระองค์  ทรงมาลา ฟ้อนรำอยู่ ณ อาศรมรัมณียสถาน เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ  เมื่อใด พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ พระองค์ ทรงมาลา ฟ้อนรำเล่นอยู่ ณ อาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นกุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง ๖๐ ปี เที่ยวอยู่ในป่าตัวเดียว เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ  เมื่อใด  พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นกุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง ๖๐ ปี เที่ยวไปในป่าเวลาเย็น ในเวลาเช้า เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด กุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง ๖๐ ปี เดินนำหน้าโขลงหมู่ช้างพังไป ส่งเสียงร้องก้องโกญจนาท พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้องของช้างที่บันลือก้องอยู่นั้น  เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้องของช้างที่บันลือก้องอยู่นั้น เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นลำเนาป่าสองข้างทาง และสิ่งที่ให้ความน่าใคร่ ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยเนื้อร้าย เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นเนื้ออันเดินมาเป็นหมู่ๆ หมู่ละ ๕ ตัว  และได้ทอดพระเนตรเห็นพวกกินนรที่กำลังฟ้อนอยู่
 เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทรงสดับเสียงกึกก้องแห่งแม่น้ำ อันมีน้ำไหลหลั่ง และเสียงเพลงขับของพวกกินนร เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้องของนกเค้าที่เที่ยวอยู่ตามซอกเขา เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์จักได้ทรงสดับเสียงแห่งสัตว์ร้ายในป่า คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง แรด และวัวลาน เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูง อันแวดล้อมไปด้วยนางนกยูง รำแพนหางจับอยู่เป็นกลุ่มบนยอดภูเขา  เมื่อนั้น  จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูง มีขนปีกงามวิจิตรห้อมล้อมด้วยนางนกยูงทั้งหลายรำแพนหางอยู่ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ  เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูงมีคอเขียว มีหงอน แวดล้อมด้วยนางนกยูงฟ้อนอยู่ เมื่อนั้น  จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นต้นไม้อันมีดอกบาน มีกลิ่นหอมฟุ้งไปในฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใดพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นแผ่นดินอันเขียวชะอุ่ม  ดารดาษไปด้วยแมลงค่อมทองในเดือนฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นต้นไม้อันมีดอกบานสะพรั่ง คือ อัญชันเขียวที่กำลังผลิยอดอ่อน ต้นโลท และบัวบกมีดอกบานสะพรั่ง มีกลิ่นหอมฟุ้งไปในฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น  จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นหมู่ไม้มีดอกบานสะพรั่ง และ ปทุมชาติอันมีดอกร่วงหล่นในเดือนฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ.
จบกัณฑ์หิมพานต์
[๑๐๗๘] สมเด็จพระนางผุสดีราชบุตรีผู้เรืองยศ ได้ทรงสดับคำที่ พระราชโอรส และพระสุณิสาพร่ำสนทนากัน ทรงคร่ำครวญละห้อยไห้ว่า เรากินยาพิษเสียดีกว่า เราโดดเหวเสียดีกว่า เอาเชือกผูกคอตายเสียดีกว่า เหตุไฉนชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด  เหตุไฉนชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด  ผู้เป็นปราชญ์เปรื่อง เป็นทานบดี ควรแก่การขอ ไม่ตระหนี่ เหตุไฉน ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด  อันท้าวพระยาบูชาผู้มีเกียรติยศ เหตุไฉน ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด ผู้เลี้ยงดูมารดาบิดา ประพฤติถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในราชสกุล เหตุไฉน ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด ผู้เกื้อกูลแก่พระเจ้าแผ่นดิน แก่เทพเจ้า แก่พระประยูรญาติและมิตรสหาย ผู้เกื้อกูลทั่วรัฐสีมามณฑล.
[๑๐๗๙] ชาวนครสีพีจะให้ขับพระราชโอรสผู้ไม่มีโทษผิดเสีย รัฐสีมามณฑลของพระองค์ก็จะเป็นเหมือนรังผึ้งร้าง  เหมือนผลมะม่วงหล่นลงบนดิน ฉะนั้น  พระองค์อันพวกอำมาตย์ละทิ้งแล้ว จักต้องลำบากอยู่พระองค์เดียว เหมือนหงส์มีขนปีกหลุดลำบากอยู่ในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น ข้าแต่มหาราช เพราะฉะนั้น เกล้ากระหม่อมฉันขอกราบทูลพระองค์ว่าประโยชน์อย่าได้ล่วงพระองค์ไปเสียเลย  ขอพระองค์อย่าทรงขับไล่ พระราชโอรสผู้ไม่มีความผิด เพราะถ้อยคำของชาวนครสีพีเลย.
[๑๐๘๐] เราทำความยำเกรงต่อพระราชประเพณี จึงขับไล่พระราชโอรสผู้เป็นธง
        ของชาวสีพี เราจำต้องขับไล่ลูกของตน ถึงแม้จะเป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา.
[๑๐๘๑] แต่ปางก่อนยอดธงเคยแห่ตามเสด็จพระเวสสันดร ดังดอกกรรณิการ์บาน วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จแต่พระองค์เดียว แต่ปางก่อนยอดธงเคยแห่ตามเสด็จพระเวสสันดรดังป่ากรรณิการ์  วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จแต่พระองค์เดียว แต่ปางก่อนกองทหารรักษาพระองค์เคยตามเสด็จพระเวสสันดรเหมือนดอกกรรณิการ์บาน  วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จแต่พระองค์เดียว  แต่ปางก่อนกองทหารรักษาพระองค์เคยตามเสด็จพระเวสสันดร เหมือนป่ากรรณิการ์  วันนี้พระเวสสันดรจะต้องเสด็จแต่พระองค์เดียว  แต่ปางก่อนกองทหารรักษาพระองค์ใช้ผ้ากัมพลเหลืองเมืองคันธาระ  มีสีเหลืองเรืองรองเหมือนหิ่งห้อย  เคยตามเสด็จพระเวสสันดร วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จแต่พระองค์เดียว  แต่ปางก่อน พระเวสสันดรเคยเสด็จด้วยช้างพระที่นั่ง วอและรถทรง วันนี้จะเสด็จดำเนินด้วยพระบาทอย่างไร  แต่ปางก่อนพระเวสสันดรเคยลูบไล้องค์ด้วยจุรณแก่นจันทน์ ปลุกปลื้มด้วยการฟ้อนรำขับร้อง วันนี้จักทรงแบกหนังเสืออันหยาบ  ขวานและหาบเครื่องบริขารไปได้อย่างไร  พระเวสสันดรเมื่อเข้าไปอยู่ในป่าใหญ่ไฉนจะไม่ต้องขนเอาผ้าย้อมน้ำฝาดและหนังเสือไปด้วย พระเวสสันดร
เมื่อเข้าไปอยู่ป่าใหญ่ ไฉนจะไม่ต้องใช้ผ้าคากรอง พวกคนที่เป็นเจ้านายบวช จะทรงผ้าคากรองได้อย่างไรหนอ เจ้ามัทรีจักนุ่งห่มผ้าคากรองได้อย่างไร แต่ปางก่อนเจ้ามัทรีเคยทรงแต่ผ้ากาสิกพัสตร ผ้าโขมพัสตรและผ้าโกทุมพรพัสตร เมื่อต้องทรงผ้าคากรองจักกระทำอย่างไร  เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างสวยงาม  แต่ปางก่อนเคยเสด็จด้วยคานหาม  วอและรถทรง วันนี้จะเสด็จเดินทางด้วยพระบาทได้อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างสวยงาม มีฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนนุ่ม ไม่เคยทำงานหนักเคยตั้งอยู่ในความสุข   วันนี้จะเสด็จเดินทางด้วยพระบาทได้อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างสวยงาม มีฝ่าพระบาทอันอ่อนนุ่ม ไม่เคยเสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า  ตั้งอยู่ในความสุข  ทรงสวมรองเท้าทองเสด็จดำเนิน  วันนี้จะเสด็จเดินทางด้วยพระบาทได้อย่างไรเจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างอันสวยงาม ทรงศิริ แต่ก่อนเคยเสด็จดำเนินข้างหน้า  นางข้าหลวงจำนวนพัน   วันนี้จะเสด็จเดินป่าพระองค์เดียวได้อย่างไร  เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างอันสวยงาม ขวัญอ่อน พอได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนก็สะดุ้ง วันนี้จักเสด็จเดินป่าได้อย่างไร
 เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างอันสวยงาม ขวัญอ่อน ได้สดับเสียงนกฮูกคำรามร้อง ก็กลัวตัวสั่น เหมือนนางวารุณี วันนี้จะเสด็จเดินป่าได้อย่างไร  เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันมาสู่นิเวศน์อันว่างเปล่านี้ จักเศร้ากำสรดระทมทุกข์สิ้นกาลนาน ดังแม่นกถูกพรากลูก เห็นแต่รังอันว่างเปล่าฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสองก็จักซูบผอมเหมือนแม่นกถูกพรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสอง ก็จักวิ่งพล่านไปตามที่นั้นๆ  ดังแม่นกถูกพรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า  ฉะนั้น  เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันมาสู่นิเวศน์อันว่างเปล่านี้ จักเศร้ากำสรดระทมทุกข์สิ้นกาลนาน ดังนางนกออกถูกพรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น  เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสองก็จักซูบผอม ดังนางนกออกถูกพรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสอง  ก็จักวิ่งพล่านไปตามที่นั้นๆ ดังนางนกออกถูกพรากลูก  เห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น  เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันมาสู่นิเวศน์อันว่างเปล่านี้ ก็จักเศร้ากำสรดระทมทุกข์สิ้นกาลนานเป็นแน่แท้ เหมือนนางนกจากพรากซบเซาอยู่ในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสอง ก็จักซูบผอมเป็นแน่แท้ เหมือนนางนกจากพรากในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสอง ก็จักวิ่งพล่านไปตามที่นั้นๆ เป็นแน่แท้ เหมือนนางนกจากพรากในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น ก็เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันพร่ำเพ้อ ทูลอ้อนวอนอยู่อย่างนี้ ถ้าพระองค์ยังจะทรงให้ขับไล่พระเวสสันดรเสียจากแว่นแคว้น เกล้ากระหม่อมฉันเห็นจักต้องสละชีวิตเป็นแน่.
[๑๐๘๒] นางสนมกำนัลในของพระเจ้าสีวิราชทุกถ้วนหน้า ได้ยินคำรำพันของพระนางผุสดีแล้ว ก็พากันมาประชุมประคองแขนทั้งสองขึ้นร่ำไห้ พระโอรส พระธิดา และพระชายา ในนิเวศน์ของพระเวสสันดร  นอนกอดกันสะอื้นไห้  ดังหมู่ไม้รังอันถูกพายุพัดล้มระเนนระนาดแหลกลาญ ฉะนั้น พวกชาววัง พวกเด็กๆ พ่อค้าและพวกพราหมณ์  ในนิเวศน์ของพระเวสสันดรต่างก็ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญ  พวกกองช้าง กองม้า กองรถและกองเดินเท้า ในนิเวศน์ของพระเวสสันดร ต่างก็ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญ ครั้นเมื่อสิ้นราตรีนั้น พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว  พระเวสสันดรเสด็จมาสู่โรงทาน เพื่อทรงทานโดยรับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงให้ผ้าแก่ผู้ต้องการ จงให้เหล้าแก่พวกนักเลงเหล้า จงให้โภชนะแก่ผู้ต้องการโภชนะโดยทั่วถึง และอย่าเบียดเบียนพวกวณิพกผู้มาในที่นี้อย่างไร จงเลี้ยงดูพวกวณิพกให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ พวกเขาได้รับบูชาแล้วก็จงไป ครั้งนั้น เสียงดังกึกก้องโกลาหลน่าหวาดเสียวเป็นไปในพระนครนั้นว่า  ชาวพระนครสีพีจะขับไล่พระเวสสันดรเพราะทรงบริจาคทาน ขอให้พระองค์ได้ทรงบริจาคทานอีกเถิด.
[๑๐๘๓] เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญจะเสด็จออก วณิพกเหล่านั้นเป็นดังคนเมา คนเหน็ดเหนื่อย ลงนั่งปรับทุกข์กันว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายชาวนครสีพีพากันขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีผิดเสียจากแว่นแคว้น  ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้ที่ให้ผลต่างๆ เสีย ฉะนั้น  ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ชาวนครสีพีพากันขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีความผิดเสียจากแว่นแคว้น ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้อันทรงผลต่างๆ ฉะนั้นท่านผู้เจริญทั้งหลาย ชาวนครสีพีพากันขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีความผิดเสียจากแว่นแคว้น ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้อันให้สิ่งที่ต้องการทุกอย่าง  ฉะนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลาย  ชาวนครสีพีพากันขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีความผิดเสียจากแว่นแคว้น ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้อันนำรสที่
ต้องการทุกอย่างมาให้ ฉะนั้น เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐจะเสด็จออกทั้งคนแก่  เด็ก และคนปานกลางต่างพากันประคองแขนทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐจะเสด็จออก พวกโหรหลวง  พวกขันที  มหาดเล็กและเด็กชายต่างก็ประคองแขนทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐจะเสด็จออก แม้หญิงทั้งหลายที่มีอยู่ในพระนครนั้น ต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญ สมณพราหมณ์และวณิพก ต่างก็ประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย  ได้ยินว่า เป็นการไม่ยุติธรรมเลย เพราะเหตุพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานอยู่ในพระราชวังของพระองค์ จำต้องเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ เพราะถ้อยคำของชาวสีพี พระเวสสันดรทรงประทานช้างเจ็ดร้อยเชือก ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่างอันมีสายรัด มีทั้งกูบและสัปคับทอง มีนายควาญถือหอกซัดและขอขึ้นคอประจำ  แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์  พระเวสสันดรพระราชทานม้าเจ็ดร้อยตัว อันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เป็นม้าสินธพชาติอาชาไนย เป็นม้าฝีเท้าเร็ว
 มีนายสารถีถือทวนและธนูขึ้นขี่ประจำ  แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์  พระเวสสันดรพระราชทานรถเจ็ดร้อยคัน อันผูกสอดเครื่องรบปักธงไชยครบครัน หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่างมีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ พระเวสสันดรพระราชทานสตรีเจ็ดร้อยคน นั่งประจำอยู่ในรถคันละคน สอดสวมสร้อยสังวาลตบแต่งด้วยเครื่องทอง มีเครื่องประดับ ผ้านุ่ง ผ้าห่ม และเครื่องอาภรณ์ล้วนแต่สีเหลือง มีดวงตากว้าง ใบหน้ายิ้มแย้ม ตะโพกงาม เอวบางร่างน้อย แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ พระเวสสันดรพระราชทานแม่โคนมเจ็ดร้อยตัวพร้อมด้วยภาชนะเงินสำหรับรองน้ำนมทุกๆ ตัว แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์  พระเวสสันดรพระราชทานทาสีเจ็ดร้อยและทาสเจ็ดร้อย แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ พระเวสสันดรพระราชทานช้าง ม้า รถ และนารี อันประดับประดาอย่างสวยงามแล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ ในกาลนั้น  ได้มีสิ่งที่น่ากลัวขนพองสยองเกล้า เมื่อพระเวสสันดรพระราชทานมหาทานแล้วแผ่นดินก็หวั่นไหว  ครั้งนั้นได้มีสิ่งที่น่ากลัว ขนพองสยองเกล้า พระเวสสันดรทรงประคองอัญชลี เสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์.
[๑๐๘๔] ครั้งนั้น เสียงดังกึกก้องโกลาหลน่าหวาดเสียวเป็นไปในพระนครนั้นว่า
        ชาวนครสีพีขับไล่พระเวสสันดร เพราะบริจาคทาน ขอให้พระองค์ทรง
       บริจาคทานอีกเถิด.
[๑๐๘๕] เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญจะเสด็จออก วณิพกเหล่านั้นเป็น
        ดังคนเมา คนเหน็ดเหนื่อย นั่งลงปรับทุกข์กัน.
[๑๐๘๖] พระเวสสันดร กราบทูลพระเจ้าสัญชัยผู้ประเสริฐธรรมิกราชว่า ขอเดชะขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเนรเทศข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะไปยังภูเขาวงกต ข้าแต่พระมหาราช สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีมาแล้ว ที่จะมีมา  และที่มีอยู่ ยังไม่อิ่มด้วยกามเลย  ก็ต้องไปสู่สำนักของพญายม ข้าพระองค์บำเพ็ญทานอยู่ในปราสาทของตน ยังชื่อว่าเบียดเบียนชาวนครของตน จะต้องออกจากแว่นแคว้นของตน เพราะถ้อยคำของชาวสีพี ข้าพระองค์จักต้องได้เสวยความลำบากนั้นๆ ในป่าอันเกลื่อนกล่นด้วยพาลมฤค เป็นที่อยู่อาศัยของแรด และเสือเหลือง ข้าพระองค์จะทำบุญทั้งหลาย เชิญพระองค์ประทับจมอยู่ในเปือกตมเถิดพระเจ้าข้า.
[๑๐๘๗] ข้าแต่พระแม่เจ้า ขอได้ทรงโปรดอนุญาตข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอบวช ข้าพระองค์บำเพ็ญทานอยู่ในปราสาทของตน  ยังชื่อว่าเบียดเบียนชาวนครของตน จะต้องออกจากแว่นแคว้นของตน เพราะถ้อยคำของชาวสีพี จักต้องได้เสวยความลำบากนั้นๆ ในป่าอันเกลื่อนกล่นด้วยพาลมฤคเป็นที่อาศัยของแรดและเสือเหลือง  ข้าพระองค์จะกระทำบุญทั้งหลายจะไปสู่เขาวงกต.
[๑๐๘๘] ลูกเอ๋ย แม่อนุญาตให้ลูก  การบวชของลูกจงสำเร็จ  ส่วนแม่มัทรีผู้มี
        ความงาม ตะโพกผึ่งผาย เอวบางร่างน้อย จงอยู่กับลูกๆ เถิด จักทำ
        อะไรในป่าได้.
[๑๐๘๙] ข้าพระองค์ไม่พยายามจะนำแม้ซึ่งนางทาสีไปสู่ป่า โดยเขาไม่ปรารถนา
        ถ้าเขาปรารถนาจะตามไป (ก็ตามใจ) ถ้าเขาไม่ปรารถนา ก็จงอยู่.
[๑๐๙๐] ลำดับนั้น พระมหาราชาเสด็จดำเนินไปทรงวิงวอนพระสุณิสาว่า ดูกรแม่มัทรี ผู้มีร่างกายอันชโลมจันทน์  เจ้าอย่างได้ทรงธุลีละอองเลย แม่มัทรีเคยทรงผ้ากาสี อย่าได้ทรงผ้าคากรองเลย การอยู่ในป่าเป็นความลำบาก ดูกรแม่มัทรี ผู้มีลักขณาอันงาม เจ้าอย่าไปเลยนะ.
[๑๐๙๑] พระนางมัทรีราชบุตรีผู้งามทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระสัสสุระนั้นว่า
        ความสุขอันใดจะพึงมีแก่เกล้ากระหม่อมฉัน โดยว่างเว้นพระเวสสันดร
        เกล้ากระหม่อมฉันไม่พึงปรารถนาความสุขอันนั้น.
[๑๐๙๒] พระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐ ได้ตรัสกะพระนางมัทรีนั้นว่า  เชิญฟังก่อนแม่มัทรี สัตว์อันจะรบกวนยากที่จะอดทนได้ มีอยู่ในป่าเป็นอันมาก คือ เหลือบ ตั๊กแตน ยุง และผึ้งมันจะพึงเบียดเบียนเธอในป่านั้น  ความทุกข์อย่างยิ่งนั้นจะพึงมีแก่เธอ เธอจะต้องได้พบสัตว์ที่น่ากลัวอื่นๆ ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำ เช่นงูเหลือมเป็นสัตว์ไม่มีพิษ แต่มันมีกำลังมากมันรัดมนุษย์ หรือแม้เนื้อที่มาใกล้ๆ ด้วยลำตัว เอามาไว้ในขนดหางของมัน เนื้อร้ายอย่างอื่นๆ เช่นหมีมีขนดำ คนที่มันพบเห็นแล้ว หนีขึ้นต้นไม้ก็ไม่พ้น ควายเปลี่ยวขวิดเฝืออยู่ เขาทั้งคู่ปลายคมกริบ เที่ยวอยู่ในถิ่นนี้ ใกล้ฝั่งแม่น้ำโสตุมพะ ดูกรแม่มัทรี เธอเปรียบเหมือนแม่โครักลูก เห็นฝูงเนื้อและโคถึกอันท่องเที่ยวอยู่ในป่า จักทำอย่างไร ดูกรแม่มัทรี  เธอได้เห็นทะโมนไพรอันน่ากลัวที่ประจวบเข้าในหนทางที่เดินได้ยาก ความพรั่นพรึงจักต้องมีแก่เธอ เพราะไม่รู้จักเขต  เมื่อเธออยู่ในพระนคร ได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอน ย่อมสะดุ้งตกใจ เธอไปถึงเขาวงกตจักทำอย่างไร เมื่อฝูงนกพากันจับเจ่าในเวลาเที่ยง ป่าใหญ่เหมือนส่งเสียงกระหึ่ม เธอปรารถนาจะไปในป่าใหญ่นั้นทำไม.
[๑๐๙๓] พระนางมัทรีราชบุตรี ผู้มีความสวยงามทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระเจ้าสัญชัยนั้นว่า พระองค์ทรงพระกรุณาตรัสบอกสิ่งที่น่ากลัว อันมีอยู่ในป่า แก่เกล้ากระหม่อมฉัน เกล้ากระหม่อมฉันจักยอมทนต่อสู้สิ่งน่ากลัวทั้งปวงนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน เกล้ากระหม่อมฉันจักแหวกต้นเป้ง คา หญ้าคมบาง แฝก หญ้าปล้อง หญ้ามุงกระต่าย ไปด้วยอก เกล้ากระหม่อมฉันจักไม่เป็นผู้อันพระเวสสันดรนำไปได้ยาก    อันว่ากุมารีย่อมได้สามีด้วยวัตรจริยาเป็นอันมาก คือ ด้วยการอดอาหาร ตรากตรำท้อง ด้วยการผูกคาดไม้คางโค ด้วยการบำเรอไฟ และด้วยการดำน้ำ ความเป็นหม้าย เป็นความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน ชายใดจับมือหญิงหม้ายผู้ไม่ปรารถนาฉุดคร่าไป ชายนั้นเป็นผู้ไม่ควรบริโภคของที่เป็นเดนของหญิงหม้ายนั้นโดยแท้  ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน ชายอื่นให้ทุกข์มากมายมิใช่น้อย ด้วยการจับผม
เตะถีบจนล้มลงที่พื้นดิน แล้วไม่หลีกหนี ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน พวกเจ้าชู้ผู้ต้องการหญิงหม้ายที่มีผิวพรรณผุดผ่อง ให้ของเล็กน้อยแล้ว สำคัญตัวว่าเป็นผู้มีโชคดี ย่อมฉุดคร่าหญิงหม้ายผู้ไม่ปรารถนาไป ดังฝูงกากลุ้มรุมนกเค้าแมว ฉะนั้น ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน อันว่าหญิงหม้ายแม้จะอยู่ในตระกูลญาติ อันเจริญรุ่งเรืองไปด้วยเครื่องทอง จะไม่ได้รับคำติเตียน  ล่วงเกินจากพี่น้องและเพื่อนฝูงก็หาไม่ ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก  ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน แม่น้ำไม่มีน้ำก็เปล่าดาย แว่นแคว้นไม่มีพระราชาก็เปล่าดาย  แม้หญิงเป็นหม้ายก็เปล่าดาย ถึงแม้หญิงนั้นจะมีพี่น้องตั้งสิบคน ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก  ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน อันว่าธงเป็นเครื่องหมายแห่งรถ ควันเป็นเครื่องปรากฏแห่งไฟ พระราชาเป็นสง่าของแคว้น
 ภัสดาเป็นสง่าของหญิง  ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน หญิงจนผู้ทรงเกียรติย่อมร่วมสุขทุกข์ของสามีที่จน หญิงมั่งคั่งผู้ทรงเกียรติ ย่อมร่วมสุขทุกข์ของสามีที่มั่งคั่ง  เทพเจ้าย่อมสรรเสริญหญิงนั้นแล เพราะเจ้าหล่อนทำกิจที่ทำได้ยาก เกล้ากระหม่อมฉันจักบวชติดตามพระสวามีไปทุกเมื่อ แม้เมื่อแผ่นดินยังไม่ทำลาย ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนของหญิง  เกล้ากระหม่อมฉันว่างเว้นพระเวสสันดรเสียแล้ว ไม่พึงปรารถนาแม้แผ่นดินอันมีสาครเป็นขอบเขต ทรงไว้ซึ่งเครื่องปลื้มใจเป็นอันมาก บริบูรณ์ด้วยรัตนะต่างๆ เมื่อสามีตกทุกข์แล้ว หญิงเหล่าใด ย่อมหวังสุขเพื่อตน หญิงเหล่านั้นเลวทรามหนอ  หัวใจของหญิงเหล่านั้นเป็นอย่างไรหนอ เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐเสด็จออกแล้ว เกล้ากระหม่อมฉันจักขอติดตามพระองค์ไป เพราะพระองค์ทรงประทานสิ่งที่น่าปรารถนาทั้งปวงแก่เกล้ากระหม่อมฉัน.
[๑๐๙๔] พระมหาราชาได้ตรัสกะพระนางมัทรีผู้มีความงามทั่วพระวรกายว่า  ดูกร แม่มัทรีผู้มีศุภลักษณ์ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินาลูกรักทั้งสองของเธอนี้ยังเป็นเด็ก เจ้าจงละไปไว้เถิด พ่อจะรับเลี้ยงดูเด็กทั้งสองนั้นไว้เอง.
[๑๐๙๕] พระนางมัทรีราชบุตรี ผู้มีความงามทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระเจ้าสญชัยนั้นว่า เทวะพ่อชาลีและแม่กัณหาชินาทั้งสอง เป็นลูกสุดที่รักของเกล้ากระหม่อมฉัน ลูกทั้งสองนั้น จักยังหัวใจของเกล้ากระหม่อมฉันผู้มีชีวิตอันเศร้าโศกให้รื่นรมย์ในป่านั้น.
[๑๐๙๖] พระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ได้ตรัสกะพระนางมัทรีนั้นว่า เด็กทั้งสองเคยเสวยข้าวสาลีอันปรุงด้วยเนื้อสะอาด เมื่อต้องเสวยผลไม้จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยเสวยในถาดทองหนักร้อยปละ อันเป็นของประจำราชสกุล เมื่อต้องเสวยในใบไม้ จักทำอย่างไร  เด็กทั้งสองเคยทรงภูษาแคว้นกาสี ภูษาโขมรัฐและภูษาโกทุมพรรัฐ เมื่อต้องทรงผ้าคากรอง  จักทำอย่างไร  เด็กทั้งสองเคยไปด้วยคานหาม วอและรถ เมื่อต้องเดินด้วยเท้าเปล่า จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยบรรทมในเรือนยอดมีบานหน้าต่างปิดสนิท ไม่มีลม เมื่อต้องบรรทมที่โคนไม้ จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยบรรทมบนพรหมอันปูลาดไว้อย่างวิจิตรบนบัลลังก์ เมื่อต้องบรรทมเครื่องลาดหญ้า จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยลูบไล้ด้วยกฤษณา และจันทน์หอม เมื่อต้องทรงละอองธุลี จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยตั้งอยู่ในความสุข มีผู้พัดวีให้ด้วยแส้จามรีและหางนกยูงต้องถูกเหลือบและยุงกัด จักทำอย่างไร.
[๑๐๙๗] พระนางมัทรีราชบุตรี ผู้มีความงามทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระเจ้าสญชัยนั้นว่า เทวะพระองค์อย่าได้ทรงปริเวทนา  และอย่าได้ทรงเสียพระทัยเลย เกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองจักเป็นอย่างไร เด็กทั้งสองก็จักเป็นอย่างนั้น พระนางมัทรีผู้มีความงามทั่วพระวรกาย ครั้นกราบทูลคำนี้  แล้วเสด็จหลีกไป พระนางผู้ทรงศุภลักษณ์ ทรงพาพระโอรสและพระธิดาเสด็จไปตามทางที่พระเจ้าสีพีเคยเสด็จ.
[๑๐๙๘] ลำดับนั้น พระเวสสันดรขัตติราช ครั้นพระราชทานทานแล้ว ทรง
        ถวายบังคมพระราชบิดาพระราชมารดา และทรงกระทำประทักษิณแล้ว
        เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่งอันเทียมด้วยม้าสินธพ ๔ ตัว  ทรงพาพระโอรส
        พระธิดาและพระชายาเสด็จไปสู่ภูเขาวงกต.
[๑๐๙๙] ลำดับนั้น พระเวสสันดรราช เสด็จเข้าไปที่หมู่ชนเป็นอันมาก ตรัส
        บอกลาว่า เราขอไปละนะ ขอญาติทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีโรคเถิด.
[๑๑๐๐] เมื่อพระเวสสันดรเสด็จออกจากพระนคร  ทรงเหลียวมาทอดพระเนตร
        แม้ครั้งนั้น แผ่นดินอันมีขุนเขาสิเนรุและราวป่าเป็นเครื่องประดับก็หวั่นไหว.
[๑๑๐๑] เชิญดูเถิดมัทรี ที่ประทับของพระเจ้าสีพีราชปรากฏเป็นรูปอันน่ารื่นรมย์
        ส่วนมณเฑียรของเราเป็นดังเรือนเปรต.
[๑๑๐๒] พราหมณ์ทั้งหลายได้ตามพระเวสสันดรนั้นไป เขาได้ขอม้ากะพระองค์
        พระองค์อันพราหมณ์ทั้งหลายทูลขอแล้ว  ทรงมอบม้า ๔ ตัว ให้แก่
        พราหมณ์ ๔ คน.
[๑๑๐๓] เชิญเถิดมัทรี ละมั่งทองร่างงดงาม ใครๆ ไม่เห็น เป็นดังม้าที่ชำนาญนำเราไป.
[๑๑๐๔] ต่อมาพราหมณ์ คนที่ห้าในที่นั้นได้มาขอราชรถกะพระองค์ พระองค์ทรง
        มอบรถให้แก่เขา และพระทัยของพระองค์มิได้ย่อท้อเลย.
[๑๑๐๕] ลำดับนั้น พระเวสสันดรราชให้คนของพระองค์ลงแล้ว ทรงปลอบให้
        ปลงพระทัยมอบรถม้าให้แก่พราหมณ์ผู้แสวงหาทรัพย์.
[๑๑๐๖] ดูกรมัทรี เธอจงอุ้มกัณหานี้ผู้เป็นน้องจะเบากว่า พี่จักอุ้มชาลี เพราะ
        ชาลีเป็นพี่คงจะหนัก.
[๑๑๐๗] พระราชาทรงอุ้มพระโอรส ส่วนพระราชบุตรีทรงอุ้มพระธิดา ทรงยินดี
        ร่วมกันดำเนิน ตรัสปราศรัยด้วยน้ำคำอันน่ารักกะกันและกัน.
(นี้) ชื่อทานกัณฑ์
[๑๑๐๘] ถ้ามนุษย์บางพวกเดินมาตามทางหรือเดินสวนทางมา  เราจะถามมรรคา
        กะพวกเขาว่า ภูเขาวงกตอยู่ที่ไหน พวกเขาเห็นเราในระหว่างมรรคานั้น
        จะพากันคร่ำครวญด้วยความกรุณา ระทมทุกข์ ตอบเราว่า เขาวงกตยังอยู่อีกไกล.
[๑๑๐๙] ครั้งนั้น  พระกุมารทั้งสองทอดพระเนตรเห็นต้นไม้อันมีผลในป่าใหญ่ ทรงพระกรรแสงเหตุประสงค์ผลไม้เหล่านั้น หมู่ไม้สูงใหญ่ดังจะเห็นพระกุมารทั้งสองทรงพระกรรแสง จึงน้อมกิ่งลงมาเองจนใกล้จะถึงพระกุมารทั้งสอง  พระนางมัทรีผู้งดงามทั่วพระวรกาย ทอดพระเนตรเห็นเหตุอัศจรรย์ไม่เคยมี น่าขนพองสยองเกล้านี้ จึงซ้องสาธุการว่า น่าอัศจรรย์ ขนลุกขนพองไม่เคยมีในโลกหนอ ด้วยเดชแห่งพระเวสสันดร ต้นไม้น้อมกิ่งลงมาเองได้.
[๑๑๑๐] เทพเจ้าทั้งหลายมาช่วยย่นมรรคาให้กษัตริย์ทั้ง ๔ เสด็จถึงเจตรัฐ โดยวันที่
        เสด็จออกนั่นเอง เพื่ออนุเคราะห์พระกุมารทั้งสอง.
[๑๑๑๑] กษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์นั้น ทรงดำเนินสิ้นมรรคายืดยาว เสด็จถึงเจตรัฐ
        อันเป็นชนบทเจริญมั่งคั่ง มีมังสะและข้าวดีๆ เป็นอันมาก.
[๑๑๑๒] สตรีชาวนครเจตรัฐ เห็นพระนางมัทรีผู้มีศุภลักษณ์เสด็จมา ก็พากันห้อม
        ล้อมกล่าวกันว่า  พระแม่เจ้านี้เป็นสุขุมาลชาติหนอ  มาเสด็จดำเนิน
        พระบาทเปล่า เคยทรงคานหามสีวิกามาศ และราชรถแห่ห้อม วันนี้
        พระนางเจ้ามัทรีต้องเสด็จดำเนินในป่าด้วยพระบาท.
[๑๑๑๓] พระยาเจตราชทั้งหลายได้ทัศนาเห็นพระเวสสันดร ต่างก็ทรงกรรแสงเข้าไปเฝ้า กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์ทรงพระสำราญไม่มีโรคาพาธแลหรือ พระองค์ไม่มีความทุกข์แลหรือ พระราชบิดาของพระองค์หาพระโรคาพาธมิได้แลหรือ  ชาวนครสีพีก็ไม่มีทุกข์หรือ ข้าแต่พระมหาราชา พลนิกายของพระองค์อยู่ ณ ที่ไหน  กระบวนรถของพระองค์อยู่ ณ ที่ไหน  พระองค์ไม่มีม้าทรง ไม่มีรถทรง เสด็จดำเนินมาสิ้นทางไกล พวกอมิตรมาย่ำยีหรือจึงเสด็จมาถึงทิศนี้.
[๑๑๑๔] สหายทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้ามีความสุข ไม่มีโรคาพาธ ข้าพเจ้าไม่มีความทุกข์  อนึ่ง พระราชบิดาของเราก็ทรงปราศจากพระโรคาพาธ และ ชาวสีพีก็สุขสำราญดี เพราะข้าพเจ้าได้ให้พระยาเศวตกุญชรคชาธารอันประเสริฐสุด มีงางอนงามดังงอนไถ มีกำลังแกล้วกล้าสามารถ รู้เขตชัยภูมิแห่งสงครามทั้งปวง อันลาดด้วยผ้ากัมพลเหลือง เป็นช้างซับมัน อาจย่ำยีศัตรูได้ มีงางาม พร้อมทั้งพัดวาลวิชนี เป็นช้างเผือกขาวผ่อง ดังเขาไกรลาส พร้อมทั้งเศวตฉัตรและเครื่องปูลาด  ทั้งหมอช้างและ ควาญช้าง  เป็นยานอันเลิศ เป็นราชพาหนะ เราได้ให้แก่พราหมณ์ เพราะเหตุนั้น ชาวนครสีพีพากันโกรธเคืองข้าพเจ้า  ทั้งพระราชบิดาก็ทรงกริ้วขับไล่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไปเขาวงกต สหายทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย จงให้ข้าพเจ้าทราบโอกาสอันเป็นที่อยู่ในป่าเถิด.
[๑๑๑๕] ข้าแต่พระมหาราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว พระองค์มิได้เสด็จมาร้ายเลยพระองค์ผู้เป็นอิสราธิบดีเสด็จมาถึงแล้ว ขอจงตรัสบอกพระประสงค์สิ่งซึ่งมีอยู่ในพระนครนี้ ข้าแต่พระมหาราช ขอเชิญเสวยสุธาโภชนาหาร ข้าวสาลี ผักดอง เหง้ามัน  น้ำผึ้ง และเนื้อ พระองค์เสด็จมาถึงเป็นแขกที่ข้าพระองค์ทั้งหลายสมควรจะต้อนรับ.
[๑๑๑๖] สิ่งใดอันท่านทั้งหลายให้แล้ว สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นอันข้าพเจ้ารับไว้แล้ว บรรณาการเป็นอันท่านทั้งหลายกระทำแล้วทุกอย่าง  พระราชาทรงพิโรธ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไปยังเขาวงกต ดูกรสหายทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย จงให้ข้าพเจ้าทราบโอกาสอันเป็นที่อยู่ในป่านั้นเถิด.
[๑๑๑๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ  เชิญเสด็จประทับ ณ เจตรัฐนี้ก่อนเถิด จนกว่าชาวเจตรัฐจักไปเฝ้าพระเจ้าสีพีราช เพื่อทูลขอให้พระองค์ทรงทราบว่า พระมหาราชาผู้ผดุงสีพีราชไม่มีโทษ  ชาวเจตรัฐทั้งหลายได้ที่พึ่งแล้ว มีความปรีดาจะพากันแห่ห้อมแวดล้อมพระองค์ไป ข้าแต่บรมกษัตริย์  ขอพระองค์ทรงทราบอย่างนี้เถิด.
[๑๑๑๘] การไปเฝ้าพระเจ้าสีพีราช เพื่อทูลขอให้พระองค์ทรงทราบว่า เราไม่มีโทษ ท่านทั้งหลายอย่าชอบใจเลย ในเรื่องนั้นแม้พระราชาก็ไม่ทรงเป็นอิสระ เพราะถ้าชาวนครสีพีทั้งพลนิกาย  และชาวนิคมโกรธเคืองแล้ว ก็ปรารถนาจะกำจัดพระราชาเสีย เพราะเหตุแห่งข้าพเจ้า
[๑๑๑๙] ข้าแต่พระองค์ผู้ผดุงรัฐ ถ้าพฤติการณ์นั้นเป็นไปในรัฐนี้ ชาวเจตรัฐขอถวายตัวเป็นบริวาร เชิญเสด็จครองราชสมบัติในเจตรัฐนี้ทีเดียว รัฐนี้ก็มั่งคั่งสมบูรณ์ ชนบทก็เพียบพูนกว้างใหญ่  ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ทรงปลงพระทัยปกครองราชสมบัติเถิด พระเจ้าข้า.
[๑๑๒๐] ข้าพเจ้าไม่มีความพอใจ ไม่ตกลงใจ เพื่อจะปกครองราชสมบัติ ท่านเจตบุตรทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า ผู้ถูกขับไล่จากแว่นแคว้นชาวพระนครสีพี ทั้งพลนิกาย  และชาวนิคม คงไม่ยินดีว่า  ชาวเจตรัฐราชาภิเษกข้าพเจ้า ผู้ถูกขับไปจากแว่นแคว้น  แม้ความไม่เบิกบานใจพึงมีแก่ท่านทั้งหลาย เพราะเหตุแห่งข้าพเจ้าเป็นแน่  อนึ่ง ความบาดหมางและความทะเลาะกับชาวสีพี  ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ  ใช่แต่เท่านั้นความบาดหมางพึงรุนแรงขึ้น สงครามอันร้ายกาจก็อาจมีได้ คนเป็นอันมากพึงฆ่าฟันกันเอง เพราะเหตุแห่งข้าพเจ้าผู้เดียว สิ่งใดอันท่านทั้งหลายให้แล้ว สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นอันข้าพเจ้ารับไว้แล้ว บรรณาการเป็นอันท่านทั้งหลายกระทำแล้วทุกอย่าง พระราชาทรงพิโรธข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไปยังเขาวงกต ขอท่านทั้งหลายจงให้ข้าพเจ้าทราบโอกาสเป็นที่อยู่ในป่านั้นเถิด.
[๑๑๒๑] เชิญเถิด ราชฤาษีทั้งหลายผู้ทรงบูชาไฟ มีพระทัยตั้งมั่นประทับอยู่ ณ ประเทศใด  ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจักกราบทูลประเทศนั้นให้ทรงทราบเหมือนอย่างผู้ฉลาดในหนทาง ฉะนั้น ข้าแต่พระมหาราชา โน่นภูเขาศิลาชื่อว่าคันธมาทน์  อันเป็นสถานที่ที่พระองค์พร้อมด้วยพระโอรส พระธิดาและพระชายาสมควรจักประทับอยู่ พระเจ้าข้า.
[๑๑๒๒] พระยาเจตราชทั้งหลายก็ทรงกรรแสง พระเนตรนองด้วยอัสสุชล กราบทูลพระเวสสันดรให้ทรงสดับว่า ข้าแต่พระมหาราชา จากนี้ไป ขอเชิญพระองค์ทรงบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศอุดร  เสด็จสัญจรตรงไปยังสถานที่ที่มีภูเขานั้น ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ  ลำดับนั้นพระองค์จักทรงเห็นภูเขาเวปุลบรรพต  อันดาดาษไปด้วยหมู่ไม้นานาพรรณ มีเงาร่มเย็น  เป็นที่รื่นรมย์ใจ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ  พระองค์เสด็จล่วงเลยเวปุลบรรพตนั้นแล้ว ถัดนั้นไป จักได้ทรงเห็นแม่น้ำอันมีนามว่าเกตุมดีเป็นแม่น้ำลึก ไหลมาจากซอกเขา เกลื่อนกล่นไปด้วยฝูงปลาหลากหลาย  มีท่าน้ำราบเรียบดี มีน้ำมาก  พระองค์จะได้สรงสนานแลเสวยในแม่น้ำนั้น  ปลุกปลอบพระราชโอรส และพระราชธิดา ให้สำราญพระทัย  ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ 
ถัดนั้นไป พระองค์จะได้ทรงเห็นต้นไทรอันมีผลหวานฉ่ำ อยู่บนยอดเขาอันเป็นที่รื่นรมย์ มีเงาร่มเย็น เป็นที่เบิกบานใจ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ ถัดนั้นไปพระองค์จะได้ทรงเห็นภูเขาศิลาชื่อว่านาลิกบรรพต  อันเกลื่อนกล่นไปด้วยฝูงนกนานาชนิด เป็นที่ชุมนุมแห่งหมู่กินนร ทางทิศอีสาณแห่งนาลิกบรรพตนั้น มีสระน้ำชื่อว่ามุจลินท์ดาดาษไปด้วยบุณฑริกบัวขาว และดอกไม้มีกลิ่นหอมหวน เชิญพระองค์ผู้เป็นดังพระยาราชสีห์มีความจำนงเหยื่อ เสด็จเข้าไปยังไพรสณฑ์วนสถาน อันเป็นภูมิภาคเขียวชอุ่มดังเมฆอยู่เป็นนิตย์ สะพรั่งไปด้วยไม้มีดอกและไม้มีผลทั้งสองอย่างในไพรสณฑ์นั้น มีฝูงวิหคมากมายต่างๆ สี มีเสียงเสนาะกลมกล่อมต่างส่งเสียงประสานกันอยู่บนต้นไม้อันเผล็ดดอกตามฤดูกาล พระองค์เสด็จถึงซอกเขาอันเป็นทางเดินลำบาก เป็นแดนเกิดแห่งแม่น้ำทั้งหลายจะได้ทอดพระเนตรเห็นสระโบกขรณี อันดาดาษไปด้วยสลอดและกุ่มน้ำมีหมู่ปลาหลากหลายเกลื่อนกล่น มีท่าราบเรียบ มีน้ำมากเปี่ยมอยู่เสมอเป็นสระสี่เหลี่ยม  มีน้ำจืดดีปราศจากกลิ่นเหม็น พระองค์ควรทรงสร้างบรรณศาลาทางทิศอีสาณ แห่งสระโปกขรณีนั้น ครั้นทรงสร้างบรรณศาลาสำเร็จแล้ว ควรทรงบำเพ็ญเพียรเลี้ยงพระชนม์ชีพ ด้วยการเที่ยวแสวงหามูลผลาหาร.
(นี้) ชื่อวนปเวสนกัณฑ์
[๑๑๒๓] พราหมณ์ ชื่อว่าชูชกอยู่ในเมืองกลิงครัฐ ภรรยาของพราหมณ์นั้นเป็นสาว มีชื่อว่าอมิตตตาปนา ถูกพวกผู้หญิงในบ้านนั้น  ซึ่งพากันไปตักน้ำที่ท่าน้ำมารุมกันด่าว่าอย่างอึงมี่ว่า มารดาของเจ้าคงเป็นศัตรูแน่ และบิดาของเจ้าก็คงเป็นศัตรูแน่นอน จึงได้ยกเจ้าซึ่งยังเป็นสาวรุ่นดรุณี ให้แก่พราหมณ์ชราเห็นปานนี้ ไม่เกื้อกูลเลยหนอ พวกญาติของเจ้าแอบปรึกษากันยกเจ้าผู้ยังเป็นสาวรุ่นๆ ให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็นปานนี้  เป็นความชั่วหนอ ที่พวกญาติของเจ้าแอบปรึกษากัน ยกเจ้าผู้ยังเป็นสาวรุ่นๆให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็นปานนี้  เป็นความลามกมากหนอ ที่พวกญาติของเจ้าแอบปรึกษากัน ยกเจ้าผู้ยังเป็นสาวรุ่นๆ ให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็นปานนี้หนอ ไม่น่าพอใจเลยหนอ ที่พวกญาติของเจ้าแอบปรึกษากัน ยกเจ้าซึ่งเป็นสาวรุ่นๆ ให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็นปานนี้ เจ้าคงไม่พอใจอยู่กับผัวแก่ การที่เจ้าอยู่ใน
เรือนของพราหมณ์เฒ่า  เจ้าตายเสียดีกว่าอยู่ ดูกรแม่คนงามคนสวย  มารดาและบิดาของเจ้าคงหาชายอื่นให้เป็นผัวไม่ได้แน่  จึงยกเจ้าซึ่งยังเป็นสาวรุ่นๆ ให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็นปานนี้เจ้าคงจักบูชายัญไว้ไม่ดีในดิถีที่ ๙  คงจักไม่ได้ทำการบูชาไฟไว้ เจ้าคงจักด่าสมณพราหมณ์ผู้มีพรหมจรรย์เป็นเบื้องหน้า ผู้มีศีล เป็นพหูสูตในโลกเป็นแน่  เจ้าจึงได้มาอยู่ในเรือนของพราหมณ์แก่แต่ยังสาวรุ่นๆอย่างนี้ การที่ถูกงูกัดก็ไม่เป็นทุกข์ การที่ถูกแทงด้วยหอกก็ไม่เป็นทุกข์ การที่ได้เห็นผัวแก่นั้นแลพึงเป็นทุกข์ด้วย เป็นความร้ายกาจด้วย  การเล่นหัวย่อมไม่มีกับผัวแก่  การรื่นรมย์ย่อมไม่มีกับผัวแก่  การเจรจาปราศรัยย่อมไม่มีกับผัวแก่  แม้การกระซิกกระซี้ก็ไม่งาม แต่เมื่อใดผัวหนุ่มเมียสาวเย้าหยอกกันอยู่ในที่ลับ เมื่อนั้น ความเศร้าทุกอย่างที่เสียดแทงหทัยอยู่ย่อมพินาศไปสิ้น เจ้ายังเป็นสาวรูปสวย พวกชายหนุ่มปรารถนายิ่งนัก เจ้าจงไปอยู่เสียที่ตระกูลญาติเถิด พราหมณ์แก่จักให้เจ้ารื่นรมย์ได้อย่างไร.
[๑๑๒๔] ดูกรท่านพราหมณ์ ฉันจักไม่ไปตักน้ำที่แม่น้ำเพื่อท่านอีกต่อไป เพราะ
        พวกหญิงชาวบ้านมันรุมด่าฉัน  เหตุที่ท่านเป็นคนแก่.
[๑๑๒๕] เธออย่าได้ทำการงานเพื่อฉันเลย อย่าได้ตักน้ำมาเพื่อฉันเลย ฉันจัก
        ตักน้ำเอง เธออย่าโกรธเลย.
[๑๑๒๖] ฉันไม่ได้เกิดในสกุลที่ใช้สามีให้ตักน้ำ ท่านพราหมณ์ขอจงรู้อย่างนี้ว่า
        ฉันจักไม่อยู่ในเรือนของท่าน ถ้าท่านจักไม่นำทาสหรือทาสีมาให้ฉัน
        ท่านพราหมณ์จงทราบอย่างนี้ว่า ฉันจักไม่อยู่ในสำนักของท่าน.
[๑๑๒๗] ดูกรพราหมณี ศิลปกรรมหรือทรัพย์และข้าวเปลือกของฉันไม่มี  ฉัน
        จักนำทาสหรือทาสีมาให้เธอแต่ที่ไหน ฉันจักบำรุงเธอ เธออย่าโกรธเลย.
[๑๑๒๘] มานี่เถิด  ฉันจักบอกให้แก่ท่านตามคำที่ฉันได้ฟังมา พระเวสสันดรราช
        ฤาษีประทับอยู่ ณ เขาวงกต ท่านพราหมณ์จงไปทูลขอทาสและทาสีกะ
        พระองค์เถิด เมื่อท่านทูลขอแล้ว พระองค์จักพระราชทานทาสและทาสี
        แก่ท่าน.
[๑๑๒๙] ฉันเป็นคนชราทุพลภาพ ทั้งหนทางก็ไกลเดินไปได้ยาก เธออย่ารำพัน
        ไปเลย  อย่าเสียใจเลย ฉันจักบำรุงเธอ เธออย่าโกรธเลย.
[๑๑๓๐] คนขลาดยังไม่ทันถึงสนามรบ ไม่ทันได้รบก็ยอมแพ้ ฉันใด ท่านพราหมณ์ยังไม่ทันได้ไปก็ยอมแพ้ ฉันนั้น ถ้าท่านพราหมณ์จักไม่นำทาสหรือทาสีมาให้ฉัน ขอท่านจงทราบไว้อย่างนี้ว่า ฉันจักไม่อยู่ในเรือนของท่าน ฉันจักกระทำอาการไม่พอใจให้แก่ท่าน ข้อนั้นจักเป็นความทุกข์ของท่าน ในคราวมหรสพซึ่งมีในต้น ฤดูนักขัตฤกษ์ ท่านจักได้เห็นฉันผู้แต่งตัวสวยงาม รื่นรมย์อยู่กับชายอื่นๆ ข้อนั้นจักเป็นทุกข์ของท่าน ดูกรท่านพราหมณ์ เมื่อท่านซึ่งเป็นคนแก่รำพันอยู่ เพราะไม่เห็นฉันร่างกายที่งอก็จักงอยิ่งขึ้น ผมที่หงอกก็จักหงอกมากขึ้น.
[๑๑๓๑] ลำดับนั้น พราหมณ์ตกใจกลัว ตกอยู่ในอำนาจของนางพราหมณี ถูกกามราคะบีบคั้น ได้กล่าวกะนางพราหมณีว่า ดูกรนางพราหมณี เธอจงทำเสบียงเดินทางให้ฉัน ทั้งขนมงา ขนมเทียน สตูก้อน สตูผง และข้าวผอก เธอจงจัดให้ดีๆ ฉันจักนำพระพี่น้องสองกุมารมาให้เป็นทาส พระกุมารทั้งสองนั้นเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน  จักบำเรอเธอทั้งกลางคืน กลางวัน.
[๑๑๓๒] พราหมณ์ชูชกผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพรหม สวมรองเท้าแล้วพร่ำสั่งเสียต่อ
        ไป  กระทำประทักษิณภรรยา  สมาทานวัตร  มีหน้านองด้วยน้ำตา
        หลีกไปสู่นครอันเจริญรุ่งเรืองของชาวสีพี เที่ยวแสวงหาทาสทาสี.
[๑๑๓๓] พราหมณ์ชูชกไปในนครนั้นแล้ว ได้ถามประชาชนที่มาประชุมกันอยู่ในที่นั้นๆ ว่า พระเวสสันดรราชประทับอยู่ ณ ที่ไหน เราทั้งหลายจะไปเฝ้าพระองค์ผู้บรมกษัตริย์ ณ ที่ไหน ชนทั้งหลายผู้มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นั้นได้ตอบพราหมณ์นั้นว่า ดูกรท่านพราหมณ์ พระเวสสันดรบรมกษัตริย์  ถูกพวกท่านเบียดเบียน เพราะทรงให้ทานมากไป ต้องทรงพาพระราชโอรสพระราชธิดา และพระอัครมเหสีไปประทับอยู่ ณ เขาวงกต.
[๑๑๓๔] พราหมณ์นั้นผู้มีความติดใจในกาม ถูกนางพราหมณีตักเตือน ได้เสวยทุกข์เป็นอันมากในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย เป็นที่เสพอาศัยแห่งแรดและเสือเหลือง แกถือไม้เท้าสีเหมือนผลมะตูม อีกทั้งเครื่องบูชาไฟ และเต้าน้ำ เข้าไปสู่ป่าใหญ่ โดยทางที่ได้ทราบข่าวซึ่งพระหน่อกษัตริย์ผู้ประทานตามประสงค์ เมื่อพราหมณ์นั้นเข้าไปสู่ป่าใหญ่ถูกสุนัขล้อมไล่ตาแกร้องเสียงขรม เดินหลงทางห่างออกไปไกล  ลำดับนั้น พราหมณ์ผู้โลภในโภคะ ไม่มีความสำรวม (ถูกสุนัขล้อมไล่) หลงทางที่จะไปสู่เขาวงกต (และนั่งอยู่บนต้นไม้) ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า.
[๑๑๓๕] ใครเล่าหนอจะพึงบอกพระราชบุตรพระนามว่า เวสสันดรผู้ประเสริฐทรงชำนะความตระหนี่อันใครให้แพ้ไม่ได้ ทรงให้ความปลอดภัยในเวลามีภัยแก่เราได้ พระองค์เป็นที่พึ่งของพวกยาจก ดังธรณีเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายฉะนั้น ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราชผู้เปรียบเหมือนแม่ธรณีแก่เราได้ พระองค์เป็นที่ไปเฝ้าของพวกยาจก ดังสาครเป็นที่ไหลไปรวมแห่งแม่น้ำทั้งหลายฉะนั้น  ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราช ผู้เปรียบเหมือนสาครแก่เราได้ พระองค์เป็นดังสระน้ำ มีท่าอันงามราบเรียบ ลงดื่มได้ง่าย มีน้ำเย็นเป็นที่รื่นรมย์ใจ ดาดาษไปด้วยบุณฑริกบัวขาบ สะพรั่งด้วยเกสรบัว ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราชผู้เปรียบเหมือนสระน้ำแก่เราได้ ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราช  ผู้เปรียบเหมือนต้นโพธิ์ใบที่เกิดอยู่ใกล้ทาง  มีเงาร่มเย็นน่ารื่นรมย์ใจ เป็นที่พักอาศัยของคนเดินทาง ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยมาในเวลาร้อน แก่เราได้ ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราช ผู้เปรียบเหมือนต้นไทรที่เกิดอยู่ใกล้ทาง มีเงาร่มเย็นน่ารื่นรมย์ใจ  เป็นที่พักอาศัย
ของคนเดินทาง  ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยในเวลาร้อน  แก่เราได้ใครจะพึงบอกพระเวสสันดรมหาราช ผู้เปรียบเหมือนต้นมะม่วงที่เกิดอยู่ใกล้ทาง มีเงาร่มเย็นน่ารื่นรมย์ใจ เป็นที่พักอาศัยของคนเดินทาง ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยมาในเวลาร้อน แก่เราได้ ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราช ผู้เปรียบเหมือนต้นรังที่เกิดอยู่ใกล้ทาง  มีเงาร่มเย็นน่ารื่นรมย์ใจ เป็นที่พักอาศัยของคนเดินทาง ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยมาในเวลาร้อนแก่เราได้ ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราช ผู้เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่เกิดอยู่ใกล้ทาง มีเงาร่มเย็นน่ารื่นรมย์ใจ เป็นที่พักอาศัยของคนเดินทาง ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยมาในเวลาร้อน แก่เราได้ ก็เมื่อเราเข้าไปในป่าใหญ่ เพ้อรำพันอยู่อย่างนี้  ผู้ใดจะพึงบอกว่า เรารู้ ผู้นั้นยังความยินดีให้เกิดแก่เรา เมื่อเราเข้าไปในป่าใหญ่เพ้อรำพันอยู่อย่างนี้ ผู้ใดพึงบอกที่ประทับของพระเวสสันดรว่า เรารู้จัก ผู้นั้นประสบบุญเป็นอันมาก ด้วยวาจาคำเดียวนั้น.
[๑๑๓๖] นายเจตบุตรเป็นพรานเที่ยวอยู่ในป่า ได้ตอบแก่ชูชกนั้นว่า ดูกรพราหมณ์ พระหน่อกษัตริย์  ถูกพวกท่านรบกวน เพราะทรงบำเพ็ญทานอย่างยิ่ง จึงถูกเนรเทศจากแคว้นของพระองค์มาประทับอยู่ ณ เขาวงกต  ดูกรพราหมณ์  พระหน่อกษัตริย์ถูกพวกท่านรบกวน เพราะทรงบำเพ็ญทานอย่างยิ่ง ต้องทรงพาพระโอรสพระธิดาและพระมเหสีมาประทับอยู่ ณ เขาวงกต ท่านผู้มีปัญญาทราม ทำแต่กิจที่ไม่ควรทำ ยังออกจากแว่นแคว้นตามมาถึงป่าใหญ่ เที่ยวแสวงหาพระราชบุตรดุจนกยางเที่ยวหาปลาอยู่ในน้ำฉะนั้น  แน่ะพราหมณ์ เราจักไม่ให้ชีวิตแก่เจ้าในที่นี้ ลูกศรที่เราจะยิงนี้แหละ จักดื่มเลือดเจ้า ดูกรพราหมณ์ เราจักตัดหัวของเจ้า เชือดเอาหัวใจพร้อมทั้งไส้พุง แล้วจักบูชาปันถสกุณยัญพร้อมด้วยเนื้อของเจ้า ดูกรพราหมณ์  เราจักเชือดหัวใจของเจ้า  ยกขึ้นเป็นเครื่องเซ่นสรวงพร้อมด้วยเนื้อ มันข้น และมันในสมองของเจ้า ดูกรพราหมณ์ ข้อนั้นจักเป็นยัญที่เราบูชาดีแล้ว เซ่นสรวงดีแล้ว ด้วยเนื้อของเจ้า เจ้าจักนำพระมเหสีและพระโอรสพระธิดาของพระราชบุตรไปไม่ได้.
[๑๑๓๗] ดูกรเจตบุตร  จงฟังเราก่อน พราหมณ์ผู้เป็นทูต เป็นคนหาโทษมิได้เพราะเหตุนั้นแล คนทั้งหลายย่อมไม่ฆ่าทูต นี้เป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาแต่โบราณ ชาวสีพีทุกคนยินยอมแล้ว พระบิดาก็ทรงปรารถนาจะพบพระราชบุตรและพระมารดาของพระราชบุตรนั้น ทรงทุพพลภาพ พระเนตรทั้งสองของพระมารดานั้นจักขุ่นมัวในไม่ช้า เราเป็นทูตที่ชาวสีพีเหล่านั้นส่งมา  ดูกรเจตบุตร จงฟังเราก่อน เราจักนำพระราชบุตรเสด็จกลับถ้าเจ้ารู้ จงบอกหนทางแก่เรา.
[๑๑๓๘] ดูกรพราหมณ์ ท่านเป็นทูตที่รักของพระเวสสันดรผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้เต้าน้ำผึ้ง และขาเนื้อย่างเป็นบรรณาการแก่ท่าน และ จักบอกประเทศที่พระเวสสันดรหน่อกษัตริย์ผู้ให้สำเร็จความประสงค์ประทับอยู่แก่ท่าน.
(นี้) ชื่อชูชกบรรพ
[๑๑๓๙] ดูกรมหาพราหมณ์  นั่นภูเขาคันธมาทน์อันล้วนแล้วด้วยหิน  พระเวสสันดรเจ้า พร้อมด้วยพระโอรสพระธิดาและพระมเหสีทรงเพศนักบวชอันประเสริฐ  ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟและชฎาทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน  ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่ ณ อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้าเดินทางไปทางทิศอุดร จะได้เห็นอาศรมนั้น  นั่นหมู่ไม้เขียวชะอุ่ม ทรงผลต่างๆ ย่อมปรากฏ ดังภูเขาอัญชนบรรพตเขียวชะอุ่ม  มียอดสูงตระหง่าน  คือ ไม้ตะแบก หูกวาง ไม้ตะเคียน  ไม้รัง ไม้ตะคร้อ ไม้ยางทราย ย่อมหวั่นไหวไปตามลม ดังมาณพดื่มสุราคราวเดียวก็ซวนเซไปมาอยู่ฉะนั้น  ท่านได้ฟังเสียงฝูงนกอันจับอยู่บนกิ่งไม้ปานดังเสียงเพลงขับทิพย์ คือ นกโพระดก นกดุเหว่า นกกระจง  พลางส่งเสียงร้องบินจากต้นไม้โน้นมาสู่ต้นไม้นี้ ทั้งหมู่ไม้ที่ต้องลมพัดสะบัดกิ่งและใบเสียดสีกันคล้ายกับจะเรียกคนผู้กำลังเดินไปให้หยุด และเหมือนดังชักชวนคนผู้จะผ่านไปให้ยินดีชื่นชมพักผ่อน พระเวสสันดรเจ้า พร้อมด้วยพระโอรสพระธิดาและพระมเหสีทรงเพศเป็นพราหมณ์ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟและชฎาทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่ ณ อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้าเดินไปทางทิศอุดรจะได้เห็นอาศรมนั้น.
[๑๑๔๐] ในบริเวณอาศรมนั้น มีหมู่ไม้มะม่วง มะขวิด ขนุน ไม้รัง ไม้หว้า สมอพิเภก สมอไทย มะขามป้อม ไม้โพธิ์ ไม้พุทรา มะพลับทอง ต้นไทร และมะสัง มะซางหวาน และมะเดื่อ มีผลสุกแดงเรื่อๆ อยู่ในที่ต่ำๆ คล้ายงาช้าง กล้วยหอม ผลจันทน์ มีรสหวานเหมือนน้ำผึ้ง รวงผึ้งไม่มีตัว มีในที่นั้น คนเอื้อมมือปลิดมาบริโภคได้เอง ในบริเวณอาศรมนั้นมีต้นมะม่วง  บางต้นออกช่อแย้มบาน บางต้นมีดอกและใบร่วงหล่นผลิผลดาษดื่น บางอย่างยังดิบ บางอย่างสุกแล้ว ผลมะม่วงดิบและสุกทั้งสองอย่างนั้น มีสีดังหลังกบ อนึ่ง ในบริเวณอาศรมนั้น บุรุษยืนอยู่ในภายใต้ก็เก็บมะม่วงสุกกินได้ ผลมะม่วงดิบและสุกทั้งหลายมีสีสวย กลิ่นหอมและรสอร่อยที่สุด  เหตุการณ์เหล่านี้เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ข้าพเจ้าเหลือเกิน ถึงกับข้าพเจ้าออกอุทานว่า อือๆ ที่ประทับอยู่ของพระเวสสันดรนั้น เป็นดังที่ประทับอยู่ของทวยเทพ ย่อมงดงามปานด้วยนันทวัน ต้นตาล ต้นมะพร้าว และอินทผลัม ที่มีอยู่ในป่าใหญ่มีดอกเรียง
รายกันอยู่ เหมือนพวงมาลัยเขาร้อยไว้ หมู่ไม้เหล่านั้นย่อมปรากฏดังยอดธงชัย ในบริเวณอาศรมนั้น มีหมู่ไม้ต่างๆ พันธุ์ คือ ไม้มูกมัน โกฐ สะค้าน แคฝอย ไม้บุนนาค บุนนาคเขา และไม้ทรึก มีดอกบานสะพรั่งสีต่างๆ กัน เหมือนหมู่ดาวเรื่อเรืองอยู่บนนภากาศฉะนั้น อนึ่ง ในบริเวณอาศรมนั้น มีไม้ราชพฤกษ์ ไม้มะเกลือ กฤษณา รักดำ ต้นไทรใหญ่ ไม้รังไก่ ไม้ประดู่ มีดอกบานสะพรั่ง ในบริเวณอาศรมนั้นมีไม้มูกหลวง ไม้สน ไม้กะทุ่ม ไม้ช่อ ไม้ตะแบก นางรัง ล้วนมีดอกเป็นพุ่มพวงดังลอมฝาง บานในที่ไม่ไกลต่ออาศรมนั้นมีสระโบกขรณี ณ ภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ใจ ดาดาษไปด้วยดอกปทุมชาติ และอุบล ดังสระโบกขรณีในสวนนันทวันของทวยเทพฉะนั้น อนึ่ง ณ ที่ใกล้สระโบกขรณีนั้น  มีฝูงนกดุเหว่าเมารสดอกไม้ ส่งเสียงไพเราะจับใจ ทำป่านั้นให้ดังอึกทึกกึกก้อง ในเมื่อคราวหมู่ไม้ผลิดอกแย้มบาน ตามฤดูกาลรสหวานดังน้ำผึ้งร่วงหล่นจากเกสรดอกไม้มาค้างอยู่บนใบบัวย่อมชื่อว่าน้ำผึ้งใบบัว (ขัณฑสกร) อนึ่ง ลมทางทิศทักษิณและทางทิศประจิมย่อมพัดมาที่อาศรมนั้น  อาศรมเป็นสถานที่เกลื่อนกล่นไปด้วยละอองเกสรปทุมชาติ ในสระโบกขรณีนั้น มีกระจับขนาดใหญ่ๆ ทั้งข้าวสาลีอ่อน บ้างแก่บ้างล้มดาษอยู่บนภาคพื้น และในสระโบกขรณีนั้นน้ำ
ใสสะอาดมองเห็นฝูงปลา เต่าและปูเป็นอันมาก สัญจรไปมาเป็นหมู่ๆ รสหวานปานน้ำผึ้งย่อมไหลออกจากเหง้าบัว รสมันปานนมสดและเนยใสย่อมไหลออกจากสายบัว  ป่านั้นมีกลิ่นหอมต่างๆ ที่ลมรำเพยพัดมาย่อมหอมฟุ้งตลบไป ป่านั้นเหมือนดังจะชวนเชิญคนที่มาถึงแล้วให้เบิกบาน ด้วยดอกไม้และกิ่งไม้ที่มีกลิ่นหอม  แมลงภู่ทั้งหลายต่างก็บินว่อนวู่บันลือเสียงอยู่โดยรอบ ด้วยกลิ่นดอกไม้ อนึ่ง ที่ใกล้อาศรมนั้น ฝูงวิหคเป็นอันมากมีสีต่างๆ กัน บันเทิงอยู่กับคู่ของตนๆ ร่ำร้องขานขันแก่กันและกัน มีฝูงนกอีกสี่หมู่ทำรังอยู่ใกล้สระโบกขรณี คือ หมู่ที่ ๑ ชื่อว่านันทิกา ย่อมร้องทูลเชิญพระเวสสันดรเจ้า ให้ชื่นชมยินดีอยู่ในป่านี้ หมู่ที่ ๒ ชื่อว่า ชีวปุตตา ย่อมร่ำร้องถวายพระพรให้พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระราชธิดาและพระอัครมเหสี จงมีพระชนม์ยืนนานด้วยความสุขสำราญ หมู่ที่ ๓ ชื่อว่าชีวปุตตาปิยาจโน ย่อมร่ำร้องถวายพระพรให้พระเวสสันดรพร้อมทั้งพระราชโอรสพระราชธิดาและพระอัครมเหสี ผู้เป็นที่รักของพระองค์จงทรงพระสำราญ มีพระชนมายุยืนนาน ไม่มีข้าศึกศัตรู หมู่ที่ ๔ ชื่อว่า ปิยาปุตตาปิยานันทา ย่อมร่ำร้องถวายพระพรให้พระราชโอรสพระราชธิดาและพระอัครมเหสี จงเป็นที่รักของพระองค์ ขอพระองค์จงเป็นที่รักของพระราชโอรสพระราชธิดาและ พระอัครมเหสี ทรงชื่นชมโสมนัสต่อกันและกัน ดอกไม้ทั้งหลายย่อมตั้งเรียงรายกันอยู่  เหมือนพวงมาลัยที่เขาร้อยไว้  หมู่ไม้เหล่านั้นย่อมปรากฏดังยอดธงชัยมีดอกสีต่างๆ กัน ดังนายช่างผู้ฉลาดเก็บมาร้อยกรองไว้ พระเวสสันดรเจ้า พร้อมด้วยพระราชโอรสพระธิดาและพระมเหสีทรงเพศเป็นพราหมณ์ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟและชะฎา ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงบูชาไฟประทับอยู่ ณ อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้าไปทางทิศอุดร จะได้เห็นอาศรมนั้น.
[๑๑๔๑] เออ ก็ข้าวสตูผงอันระคนด้วยน้ำผึ้ง และข้าวสตูก้อนมีรสหวานอร่อยของ
        ลุงนี้ อันนางอมิตตดาจัดแจงให้แล้ว ลุงจะแบ่งให้แก่เจ้า.
[๑๑๔๒] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ จงเอาไว้เป็นเสบียงทางของท่านเถิด ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาเสบียงทาง ขอเชิญท่านจงรับน้ำผึ้งกับขาเนื้อย่างจากสำนักของข้าพเจ้านี้ เอาไปเป็นเสบียงทางอีกด้วย และขอท่านจงไปตามสบายเถิด หนทางนี้เป็นทางเดินได้คนเดียว ตรงลิ่วไปถึงอาศรมของอจุตฤาษี แม้อจุตฤาษีอยู่ในอาศรมนั้นฟันเขลอะ มีผมเกลือกกลั้วด้วยธุลี ทรงเพศเป็นพราหมณ์ มีขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟและชะฎา นุ่งห่มหนังเสือ นอนเหนือแผ่นดิน บูชาไฟ ลุงไปถึงแล้ว เชิญถามท่านเถิด ท่านจักบอกหนทางให้แก่ลุง
[๑๑๔๓] ชูชกผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพราหมณ์ ได้ฟังคำของเจตบุตรดังนี้แล้ว มีจิต
        ยินดีเป็นอย่างยิ่ง  กระทำประทักษิณเจตบุตรแล้ว ได้เดินทางตรงไป
        ณ สถานที่อันอจุตฤาษีสถิตอยู่.
จบ จุลวนวรรณนา
[๑๑๔๔] ชูชกพราหมณ์ภารทวาชโคตรนั้น เมื่อเดินไปตามทางที่เจตบุตรพรานป่าแนะให้ ก็ได้พบอจุตฤาษี ครั้นแล้วได้เจรจาปราศรัยกับอจุตฤาษี ไต่ถามถึงทุกข์สุขว่า พระคุณเจ้าไม่มีโรคาพาธเบียดเบียนหรือ เป็นสุขสบายดีหรือ เยียวยาอัตภาพด้วยการแสวงหาผลไม้สะดวกหรือ มูลมันผลไม้มีมากหรือ เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานทีจะมีน้อยกระมัง ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยเนื้อร้าย ไม่มีกล้ำกรายเข้ามารบกวนแหละหรือ.
[๑๑๔๕] ดูกรพราหมณ์ เราไม่มีโรคาพาธเบียดเบียน เราเป็นสุขสบายดี เยียวยาอัตภาพด้วยการแสวงหาผลไม้สะดวกดี มูลมันผลไม้ก็มีมาก  อนึ่ง เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานก็น้อย  ในป่าอันเกลื่อนกลาดไปด้วยเนื้อร้าย  ไม่มีกล้ำกรายมารบกวนเราเลย เมื่อเรามาอยู่ในอาศรมสิ้นจำนวนปีเป็นอันมาก  เราไม่รู้สึกถึงความอาพาธอันไม่เป็นที่รื่นรมย์ใจเกิดขึ้นเลย ดูกรมหาพราหมณ์ ท่านมาดีแล้ว อนึ่ง ท่านมิได้มาร้าย ดูกรท่านผู้เจริญ เชิญท่านเข้าไปภายใน เชิญล้างเท้าทั้งสองของท่าน ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง ผลหมากเม่า มีรสหวานคล้ายน้ำผึ้ง เชิญท่านเลือกบริโภคแต่ผลที่ดีๆ  แม้น้ำฉันก็เย็นสนิทเรานำมาจากซอกเขา ดูกรมหาพราหมณ์ ถ้าท่านจำนงหวัง ก็เชิญดื่มตามสบายเถิด.
[๑๑๔๖] สิ่งใดอันพระคุณเจ้าให้แล้ว สิ่งนั้นทั้งหมดข้าพเจ้ารับไว้แล้ว บรรณาการอันพระคุณเจ้ากระทำแล้วทุกอย่าง ข้าพเจ้ามาแล้ว เพื่อจะเยี่ยมเยียนพระเวสสันดรราชฤาษี ราชโอรสของพระเจ้ากรุงสัญชัย ซึ่งพลัดพรากจากชาวสีพีมาช้านาน ถ้าพระคุณเจ้าทราบสถานที่ประทับ โปรดแจ้งแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด.
[๑๑๔๗] ท่านมานี่เพื่อเป็นศรีสวัสดิ์ เพื่อมาเยี่ยมเยียนพระเวสสันดรเจ้าก็หาไม่ เราเข้าใจว่าท่านปรารถนา (จะมาขอ) พระอัครมเหสีผู้เคารพนบนอบพระราชสวามีไปเป็นภรรยา หรือมิฉะนั้นท่านก็ปรารถนา (จะมาขอ) พระกัณหาชินาราชกุมารีและพระชาลีราชกุมารไปเป็นทาสทาสี หรือไม่ก็มาเพื่อจะนำเอาพระมารดาและพระราชกุมารกุมารีทั้งสามพระองค์ไปจากป่า ดูกรพราหมณ์ โภคสมบัติทรัพย์และข้าวเปลือกของพระองค์มิได้มี.
[๑๑๔๘] ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ท่านยังไม่สมควรจะโกรธเคือง เพราะข้าพเจ้ามิได้มาเพื่อขอทาน การพบเห็นอริยชนเป็นความดี การอยู่ร่วมกับอริยชนเป็นสุขทุก เมื่อ พระเวสสันดรสีพีราชเสด็จพลัดพรากจากชาวสีพีมา ข้าพเจ้ายังมิได้เห็นเลย ข้าพเจ้ามาเพื่อจะเยี่ยมเยียนพระองค์ ถ้าพระคุณเจ้าทราบสถานที่ประทับ โปรดแจ้งแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด.
[๑๑๔๙] ดูกรมหาพราหมณ์ นั่นภูเขาคันธมาทน์อันล้วนแล้วด้วยหิน พระเวสสันดรเจ้า  พร้อมด้วยพระโอรสพระธิดาและพระมเหสี ทรงเพศนักบวชอันประเสริฐ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้  เครื่องบูชาไฟและชะฎา ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่ ณ อาศรมใด  เมื่อท่านบ่ายหน้าเดินไปทางทิศอุดร  จะได้เห็นอาศรมนั้น นั่นหมู่ไม้เขียวชะอุ่ม  ทรงผลต่างๆ ปรากฏดังภูเขาอัญชนบรรพตเขียวชะอุ่ม  มียอดสูงตระหง่าน  คือ ไม้ตะแบก หูกวาง ไม้ตะเคียน ไม้รัง ไม้ตระคร้อ ไม้ยางทรายย่อมหวั่นไหวไปตามลม ดังมาณพดื่มสุราคราวเดียวก็ซวนเซไปมาอยู่ ฉะนั้น ท่านจะได้ฟังเสียงฝูงนกอันจับอยู่บนกิ่งไม้ ปานดังเสียงเพลงทิพย์  คือ  นกโพระดก  นกดุเหว่า นกกระจง ส่งเสียงร้องบินจากต้นไม้โน้นมาสู่ต้นไม้นี้  ทั้งหมู่ไม้ที่ต้องลมพัดสะบัดกิ่งและใบเสียดสีกัน  คล้ายกับจะเรียกคนผู้กำลังเดินทางไป ให้หยุด และเหมือนดังชักชวนผู้จะผ่านให้ยินดีชื่นชมพักผ่อน พระเวสสันดรเจ้า  พร้อมด้วยพระโอรสพระธิดาและพระมเหสี  ทรงเพศเป็นนักบวชอันประเสริฐ
  ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟและใส่ชะฎา ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่ ณ อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้าเดินทางไปทางทิศอุดรจะได้เห็นอาศรมนั้น ที่ภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ใจ มีดอกกุ่มตกอยู่เรี่ยราด พื้นแผ่นดินเขียวชะอุ่มไปด้วยหญ้าแพรก ณ ที่นั้นไม่มีธุลีฟุ้งขึ้นเลย หญ้านั้นมีสีเขียวคล้ายขนคอนกยูงเปรียบด้วยสัมผัสแห่งสำลี หญ้าทั้งหลายโดยรอบ ยาวไม่เกิน ๔ องคุลี ต้นมะม่วง ต้นชมพู่ ต้นมะขวิดและมะเดื่อ มีผลสุก  อยู่ในที่ต่ำๆ  ป่าไม้นั้นเป็นที่ให้เจริญความยินดี  เพราะมีหมู่ไม้ผลบริโภคได้เป็นอันมาก  น้ำใสสะอาดกลิ่นหอมดี สีดังแก้วไพฑูรย์ เป็นที่อยู่ของฝูงปลา ไหลหลั่งมาในป่านั้น ภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ใจ ในที่ไม่ไกลอาศรมนั้น  มีสระโบกขรณีดารดาษไปด้วยปทุมชาติและอุบล  เหมือนดังที่มีอยู่ในนันทวันของทวยเทพ  ดูกรพราหมณ์ในสระนั้นมีอุบลชาติสามชนิด คือ เขียว ขาวและแดง งามวิจิตรมากมาย.
[๑๑๕๐] ในสระนั้นมีปทุมชาติดาษดื่น  สีขาวดังผ้าโขมพัสตร์  สระนั้นชื่อว่ามุจลินท์ ดารดาษไปด้วยอุบลขาว จงกลณี และผักทอดยอด อนึ่งเล่าปทุมชาติในสระนั้นมีดอกบานสะพรั่งปรากฏหากำหนดประมาณมิได้ บ้างก็บานในคิมหันตฤดู  บ้างก็บานในเหมันตฤดูปรากฏเหมือนตั้งอยู่ในน้ำลึกประมาณเพียงเข่า ปทุมชาติอันงามวิจิตรชูดอกสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบไป หมู่ภมรโผผินบินว่อนเสียงวู่ๆ อยู่โดยรอบเพราะกลิ่นหอมแห่งบุปผชาติ.
[๑๑๕๑] ดูกรพราหมณ์ อนึ่งเล่า ที่ใกล้ขอบสระนั้นมีต้นไม้หลากหลายขึ้นออกสะพรั่ง คือ ต้นกระทุ่ม ต้นแคฝอย และต้นทองหลาง ผลิดอกออกสะพรั่ง ไม้ปรู ไม้ทราก ต้นปาริชาต ดอกบานสะพรั่ง ต้นกากะทิง ต้นไม้เหล่านี้มีอยู่ที่สองฟาก  ปากสระมุจลินท์  ต้นซึก ต้นแคขาวบัวบก ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไป ต้นคณฑีสอ  ต้นคณฑีเขมา และต้นประดู่ มีอยู่ ณ ที่ใกล้สระนั้น  ดอกสะพรั่ง ต้นมะคำไก่ ไม้มะทราง ต้นแก้ว ต้นมะรุม  การเกต  กรรณิการ์  และชบา  ไม้รกฟ้า  ไม้อินทนิล ไม้สะท้อน  และทองกวาวมีดอกแย้มบานผลิดอกออกยอดพร้อมๆ กันรุ่งเรืองงาม ไม้มะลื่น  ไม้ตีนเป็ด กล้วย ต้นคำฝอย  นมแมว คนทา  ประดู่ลาย ต้นสลอด มีดอกบานสะพรั่ง ต้นมะไฟ ต้นงิ้ว ไม้ช้างน้าว พุดขาว กฤษณา  โกฐเขมา โกฐสอ  มีดอกบานสะพรั่ง ต้นไม้ในบริเวณสระนั้นมีทั้งอ่อนและแก่  ต้นตรงไม่คดงอดอกบานตั้งอยู่สองข้างอาศรมโดยรอบเรือนไฟ.
[๑๑๕๒] อนึ่ง พรรณไม้เป็นอันมาก  เกิดขึ้นใกล้ขอบสระนั้น  คือ ตระไคร้ ถั่วเขียว ถั่วราชมาส สาหร่าย สันตะวา น้ำในสระนั้นถูกลมรำเพยพัดเกิดเป็นละลอกกระทบฝั่ง มีหมู่แมลงบินวู่ว่อนเคล้าเอาเกสรดอกไม้ที่แย้มบาน สีเสียดเทศ เต่าร้าง ผักบุ้งร้วม มีมากในที่ต่างๆ ดูกรพราหมณ์ ต้นไม้ทั้งหลายดารดาษไปด้วยกล้วยไม้  กลิ่นแห่งบุปผชาติดังกล่าวแล้วนั้น  หอมตลบอยู่ ๗ วัน  ไม่พลันหาย บุปผชาติเกิดอยู่เรียงรายสองฝั่งสระมุจลินท์ ป่านั้นดารดาษไปด้วยต้นราชพฤกษ์ย่อมงดงาม  กลีบดอกราชพฤกษ์นั้นหอมตลบอยู่กึ่งเดือนไม่เลือนหาย  คัญชันเขียว  อัญชันขาว กุ่มแดง ดอกบานสะพรั่ง ป่านั้นดารดาษไปด้วยอบเชยและแมงรักเหมือนดังจะให้คนเบิกบานใจ ด้วยดอกไม้และกิ่งไม้อันมีกลิ่นหอม เหล่าภมรโผผินบินว่อนเสียงวู่ๆ อยู่โดยรอบ เพราะกลิ่นหอมแห่งบุปผชาติ ดูกรพราหมณ์ ณ ที่ใกล้สระนั้นมีฟักแฟง แตงน้ำเต้า ๓ ชนิด ชนิดหนึ่งผลโตเท่าหม้อ อีกสองชนิด ผลโตเท่าตะโพน.
[๑๑๕๓] อนึ่ง  ที่ใกล้สระนั้นมีผักกาด กระเทียม หอม  เป็นอันมาก ต้นเต่ารั้งตั้งอยู่สล้างดังต้นตาล อุบลเขียวมีเป็นอันมาก ขึ้นอยู่ริมน้ำพอเอื้อมเด็ดได้ มลิวัน มนตำเลีย หญ้านาง อบเชย  อโศก  เทียนป่า ดอกเข็ม  หางช้าง อังกาบ กากะทิง กระลำพัก ทองเครือ  ดอกแย้มบานสะพรั่งขึ้นขนาน  ต้นชุมแสงขึ้นแซงแทรกคัดเค้าและชะเอม  มะลิซ้อน หงอนไก่ เทพทาโร แคฝอย ฝ้ายทะเล กรรณิการ์ ดอก เบ่งบานงาม ปรากฏดังตาข่ายทองเปรียบด้วยเปลวไฟ บุปผชาติที่เกิดบนบกและที่เกิดในน้ำ ปรากฏมีในสระนั้นทุกอย่าง สระมุจลินท์มีน้ำมากเป็นที่รื่นรมย์ ด้วยประการฉะนี้.
[๑๑๕๔] อนึ่ง  ในสระนั้นมีปลาซึ่งว่ายอยู่ในน้ำมากมาย  คือ ปลาตะเพียน ปลาช่อน ปลาดุก จระเข้ ปลาฉลาม ณ ที่ใกล้สระนั้น มีชะเอมต้นชะเอมเครือ กำยาน ประยงค์ เนรภูสี แห้วหมู่ สัตตบุษ สมุลแว้ง พิมเสน สามสิบ และกฤษณา เถากะไดลิง  มีมากมาย  บัวบก โกฐขาว กระทุ่มเลือด ต้นหนาด ขมิ้น แก้วหอม หรดาล คำคูน สมอพิเภก ไคร้เครือ พิมเสน และรางแดง.
[๑๑๕๕] อนึ่ง ในป่านั้นมีสัตว์หลายจำพวก คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง ยักษิณี หน้าฬา ช้างพัง ช้างพลาย เนื้อทราย เนื้อฟาน ละมั่ง นางเห็นหมาจิ้งจอก หมาไน บ่าง กระรอก จามรี ชะนี ลิงลม ค่าง ลิง ลิงจุ่น กวาง กระทิง หมี วัวเถื่อน มีมากมาย แรด หมู พังพอน งูเห่า มีอยู่ที่ใกล้สระนั้น เป็นอันมาก กระบือ หมาไน หมาจิ้งจอก  กิ้งก่า จะกวด เหี้ย เสือดาว เสือเหลือง มีอยู่โดยรอบ กระต่าย แร้ง ราชสีห์ และเสือปลา มีอยู่มากหลาย มีสกุณชาติมากมาย คือ นกกวัก นกยูง หงส์ขาว ไก่ฟ้า ไก่ป่า ไก่เถื่อน นกหัสดีลิงค์ ร่ำร้องหากันและกัน นกยางโทน นกยางกรอก นกโพระดก นกต้อยตีวิด นกกระเรียน เหยี่ยวดำ เหยี่ยวแดง นกช้อนหอย นกพริก นกคับแค นกแขวก นกกด นกกระเต็นใหญ่ นกนางแอ่น นกคุ่ม นกกะทา นกกระทุง นกกระจอก นกกระจาบ นกกระเต็นน้อย นกกางเขน นกการเวก นกแอ่นลม นกเงือก นกออก สระมุจลินท์ เกลื่อนกล่น ไปด้วยฝูงนกนานาชนิด กึกก้องไปด้วยเสียงสัตว์ต่างๆ.
[๑๑๕๖] อนึ่ง  ที่ใกล้สระนั้น มีนกมากมาย มีขนปีกงามวิจิตร มีเสียงไพเราะเสนาะโสต ย่อมปราโมทย์อยู่กับคู่เคียงส่งเสียงกู่ก้องร้องหากันและกัน อนึ่ง  ที่ใกล้สระนั้น มีฝูงสกุณาทิชาชาติส่งเสียงร้องไพเราะไม่ขาดสายมีตางามประกอบด้วยเบ้าตาขาว มีขนปีกขนหางงามวิจิตร อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีฝูงนกยูง  ส่งเสียงร้องไพเราะไม่ขาดสาย  มีสร้อยคอเขียวส่งเสียงร้องหากันและกัน ไก่เถื่อน ไก่ฟ้า นกเปล้า นกนางนวล เหยี่ยวดำ เหยี่ยวนกเขา นกกาน้ำ นกแขกเต้า นกสาลิกา อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้น มีนกเป็นอันมาก เป็นพวกๆ คือ เหลือง แดง ขาว นกหัสดีลิงค์   พระยาหงส์ทอง นกกาน้ำ นกแขกเต้า นกดุเหว่า นกออก  หงส์ขาว  นกช้อนหอย นกเค้าแมว  ห่าน นกยาง นกโพระดก นกต้อยตีวิด นกพิราบ หงส์แดง  นกจากพราก นกเป็ดน้ำ นกหัสดีลิงค์ ส่งเสียงร้องน่ารื่นรมย์ใจ เหล่าสกุณาทิชาชาติดังกล่าวแล้ว ต่างก็ส่งเสียงร้องกู่ก้องหากันทั้งเช้าและเย็นเป็นนิรันดร์ อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีสกุณาทิชาชาติมากมายสีต่างๆ กัน ย่อมบันเทิงอยู่กับคู่เคียง ส่งเสียงกู่ก้องร้องเข้าหากันและกัน อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีสกุณาทิชาชาติ มากมายสีต่างๆ กัน ทุกๆ ตัวต่างส่งเสียงอันไพเราะระงมไพร ที่ใกล้สองฝั่งสระมุจลินท์ อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีสกุณาทิชาชาติ ชื่อว่าการเวกมากมาย ย่อมปราโมทย์อยู่กับคู่เคียง ส่งเสียงกู่ก้องร้องหากันและกัน อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีสกุณาทิชาชาติชื่อว่าการเวก ทุกๆ ตัวต่างส่งเสียงอัน
ไพเราะระงมไพร  อยู่ที่สองฝั่งสระมุจลินท์ ป่านั้นเกลื่อนกลาดไปด้วยเนื้อทรายและเนื้อฟาน เป็นสถานที่เสพอาศัยของช้างพลายและช้างพัง  ดาษดื่นไปด้วยเถาวัลย์นานาชนิด  และเป็นที่อาศัยของฝูงชะมด อนึ่ง ที่ป่านั้น มีธัญญาชาติมากมาย คือ หญ้ากับแก้ ลูกเดือย ข้าวสาลี อ้อย  มิใช่น้อยเกิดเองในที่ไม่ได้ไถ  ทางนี้เป็นทางเดินได้คนเดียว เป็นทางตรงไปจนถึงอาศรม คนผู้ไปถึงอาศรมของพระเวสสันดรนั้นแล้ว  ย่อมไม่มีความหิวกระหายหรือความไม่ยินดี พระเวสสันดรเจ้าพร้อมด้วยพระโอรสพระธิดา และมเหสี ทรงเพศนักบวชอันประเสริฐ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้  เครื่องบูชาไฟและชะฎา ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่  ณ อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้าไปทางทิศอุดรจะได้เห็นอาศรมนั้น.
[๑๑๕๗] ชูชกผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพราหมณ์  ครั้นได้สดับถ้อยคำของอจุตฤาษี
        กระทำประทักษิณ มีจิตชื่นชมโสมนัส อำลามุ่งหน้าไปยังสถานที่ประ
        ทับของพระเวสสันดร.
จบ มหาวนวรรณนา
[๑๑๕๘] ดูกรพ่อชาลี  เจ้าจงลุกขึ้นยืนเถิด การมาของพวกยาจกในวันนี้ปรากฏ
        เหมือนการมาของพวกยาจกครั้งก่อนๆ  พ่อเห็นเหมือนดังพราหมณ์
        ความชื่นชมยินดีทำให้พ่อเกษมศานติ์.
[๑๑๕๙] ข้าแต่พระชนกนาถ  แม้เกล้ากระหม่อมฉันก็เห็นผู้นั้นปรากฏเหมือน
        พราหมณ์  ดูเหมือนเป็นคนเดินทาง จักเป็นแขกของเราทั้งหลาย.
[๑๑๖๐] พระองค์ไม่มีโรคาพาธหรือหนอ พระองค์ทรงพระสำราญดีหรือ ทรงเยียวยาอัตภาพด้วยการแสวงหาผลาหารสะดวกหรือ  ทั้งมูลมันผลไม้มีมากหรือ เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลาน มีน้อยแลหรือ ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤค ไม่มีมาเบียดเบียนแลหรือ.
[๑๑๖๑] ดูกรพราหมณ์ เราทั้งหลายไม่มีโรคาพาธเบียดเบียน อนึ่ง เราทั้งหลายเป็นสุขสำราญดี เราเยียวยาอัตภาพด้วยการหาผลาหารสะดวกดี ทั้งมูลมันผลไม้ก็มีมาก ทั้งเหลือบยุงและสัตว์เลื้อยคลานก็มีน้อย  อนึ่ง  ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤค ก็ไม่มีมาเบียดเบียนแก่เรา เมื่อพวกเรามาอยู่ในป่ามีชีวิตอันตรมเกรียมมาตลอด ๗ เดือน เราเพิ่งเห็นท่านผู้เป็นพราหมณ์บูชาไฟ ทรงเพศอันประเสริฐ ถือไม้เท้าสีดังผลมะตูม และลักจั่นน้ำนี้เป็นคนแรก ดูกรพราหมณ์  ท่านมาดีแล้ว อนึ่ง ท่านมิได้มาร้าย ดูกรท่านผู้เจริญ  เชิญท่านเข้ามาภายในเถิด เชิญท่านล้างเท้าของท่านเถิด ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะทราง ผลหมากเม่ามีรสหวานปานน้ำผึ้ง เชิญเลือกฉันแต่ผลที่ดีๆ เถิดท่านพราหมณ์ แม้น้ำฉันนี้ ก็เย็นสนิท เรานำมาแต่ซอกเขา ดูกรพราหมณ์  ก็ท่านจำนงหวัง ก็เชิญดื่มตามสบายเถิด  ดังเราขอถาม ท่านมาถึง ป่าใหญ่เพราะเหตุการณ์อะไรหนอ เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกความนั้นแก่เราเถิด.
[๑๑๖๒] ห้วงน้ำ (ในปัญจมหานที) เต็มเปี่ยมตลอดเวลาไม่เหือดแห้ง  ฉันใด
        พระองค์มีพระหฤทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา ฉันนั้น เกล้ากระหม่อมฉัน
        กราบทูลขอแล้ว ขอพระองค์ทรงพระกรุณาพระราชทานสองปิโยรสแก่
        ข้าพระองค์เถิด.
[๑๑๖๓] ดูกรพราหมณ์  เรายอมให้ มิได้หวั่นไหว ท่านจงเป็นใหญ่พาเอาลูกทั้งสองของเราไปเถิด พระราชบุตรีมารดาของลูกทั้งสองนี้ เสด็จไปป่าแต่เช้าเพื่อแสวงหาผลไม้ จักกลับจากการแสวงหาผลไม้ในเวลาเย็น ดูกรพราหมณ์  เชิญท่านพักอยู่ราตรีหนึ่ง แล้วจึงไปในเวลาเช้า ดูกรพราหมณ์  ท่านจงพาเอาลูกรักทั้งสอง  อันประดับด้วยดอกไม้ต่างๆ ตกแต่งด้วยของหอมนานา พร้อมด้วยมูลมันและผลไม้หลายชนิดไปเถิด.
[๑๑๖๔] ข้าแต่พระองค์ผู้จอมทัพ ข้าพระองค์ไม่ชอบใจการพักอยู่  ข้าพระองค์ยินดีจะไป  แม้อันตรายจะพึงมีแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอทูลลาไปทีเดียว  เพราะว่าธรรมดาสตรีเหล่านี้  เป็นผู้ไม่สมควรแก่การขอ  ย่อมทำอันตรายต่อบุญของทายก และลาภของยาจก ย่อมรู้มารยา  ย่อมรับสิ่งทั้งปวงโดยข้างซ้าย เมื่อฝ่าพระบาททรงบำเพ็ญทานด้วยพระราชศรัทธาฝ่าพระบาท  อย่าได้ทรงเห็นพระมารดาของ พระปิโยรสทั้งสองเลย  ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ  พระมารดาของพระปิโยรสนั้นพึงกระทำ  แม้อันตรายได้ ข้าพระองค์ขอทูลลาไปทีเดียว  ขอพระองค์จงตรัสเรียกพระลูกแก้วทั้งสองนั้นมา อย่าให้พระลูกแก้วทั้งสองได้ทันเห็นพระชนนีเลย เมื่อพระองค์ทรงบำเพ็ญทานด้วยพระราชศรัทธา บุญย่อมเจริญด้วยอาการอย่างนี้ ขอพระองค์ตรัสเรียกพระลูกแก้วทั้งสองนั้นมาอย่าให้พระลูกแก้วทั้งสองได้ทันเห็นพระชนนีเลย ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรงประทานทรัพย์  คือพระโอรสพระธิดาแก่ยาจกเช่นข้าพระองค์แล้วจักเสด็จไปสวรรค์.
[๑๑๖๕] ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะเห็นภริยาของเราผู้มีวัตรอันงาม ท่านก็จงทูลถวายชาลีกัณหาชินาทั้งสองนี้  แก่พระเจ้าสัญชัยมหาราชผู้พระอัยยกา ท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้งสองนี้  ผู้มีเสียงไพเราะ กล่าววาจาน่ารักจะทรงปลื้มพระหฤทัยปรีดาปราโมทย์ จักพระราชทานทรัพย์แก่ท่านเป็นอันมาก.
[๑๑๖๖] ข้าแต่พระราชบุตร ขอพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์ ข้าพระองค์กลัวต่อการที่จะถูกหาว่าฉกชิงเอาไป  สมเด็จพระเจ้าสญชัยมหาราชจะลงพระราชอาชญาข้าพระองค์ คือ จะพึงทรงขายหรือให้ประหารชีวิต ข้าพระองค์จะขาดทั้งทรัพย์ทั้งทาสและจะพึงถูกนางพราหมณี  ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พราหมณ์ติเตียนได้.
[๑๑๖๗] พระมหาราชทรงสถิตในธรรม ทรงผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ได้ทอดพระเนตร
        เห็นสองพระกุมารนี้ผู้มีเสียงไพเราะ กล่าววาจาน่ารัก ได้พระปีติโสมนัส
        แล้ว จักพระราชทานทรัพย์ แก่ท่านเป็นอันมาก.
[๑๑๖๘] พระองค์ทรงพร่ำสอนข้าพระองค์ สิ่งใดๆ ข้าพระองค์จักทำสิ่งนั้นๆ ไม่ได้
        ข้าพระองค์จักนำสองพระกุมารไปเป็นทาสรับใช้ของนางพราหมณี.
[๑๑๖๙] ลำดับนั้น พระกุมารทั้งสอง คือ พระชาลี และพระกัณหาชินา ได้
        สดับคำของชูชก ผู้หยาบช้า ตกพระทัยกลัว จึงพากันเสด็จวิ่งหนีไปในที่นั้นๆ.
[๑๑๗๐] ดูกรพ่อชาลีลูกรัก มานี่เถิด ลูกทั้งสองจงยังบารมีของพ่อให้เต็ม จงช่วยโสรจสรงหทัยของพ่อให้เย็นฉ่ำ จงทำตามคำของพ่อ ขอเจ้าทั้งสองจงเป็นดังยานนาวาของพ่อ  อันไม่หวั่นไหวในสาครคือภพ พ่อจักข้ามซึ่งฝั่งคือชาติ จักยังสัตว์โลกพร้อมทั้งทวยเทพให้ข้ามด้วย ดูกรลูกกัณหามานี่เถิด เจ้าเป็นธิดาที่รัก ทานบารมีก็เป็นที่รักของพ่อ จงช่วยโสรจทรงหทัยของพ่อให้เย็นฉ่ำ ขอจงทำตามคำของพ่อ ขอเจ้าทั้งสองจงเป็นยานนาวาของพ่อ อันไม่หวั่นไหวในสาครคือภพ พ่อจักข้ามซึ่งฝั่ง คือ ชาติจักช่วยสัตวโลกพร้อมทั้งทวยเทพใช้ข้ามด้วย.
[๑๑๗๑] ลำดับนั้น พระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ทรงพาพระกุมารทั้งสอง คือ พระชาลีและพระกัณหาชินา  มาพระราชทานให้เป็นปุตตกทานแก่พราหมณ์ ลำดับนั้น พระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ทรงพาพระกุมารทั้งสอง คือ พระชาลี และพระกัณหาชินา มาพระราชทานให้แก่พราหมณ์  มีพระหฤทัยชื่นบานในปุตตกทานอันอุดม  ในครั้งนั้น เมื่อพระเวสสันดรราชฤาษี พระราชทานพระกุมารทั้งสอง ก็บังเกิดมีความบันลือลั่นน่าสะพรึงกลัว ขนพองสยองเกล้า เมทนีดลก็หวั่นไหว พระเวสสันดรเจ้าผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ทรงประคองอัญชลี พระราชทานสองพระกุมารผู้เจริญด้วยความสุขให้เป็นทานแก่พราหมณ์ ก็บังเกิดมีความบันลือลั่น น่าสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้า.
[๑๑๗๒] ลำดับนั้น พราหมณ์ผู้หยาบช้านั้น เอาฟันกัดเถาวัลย์ให้ขาดแล้ว เอามาผูกพระหัตถ์ พระกุมารทั้งสองฉุดกระชากลากมา แต่นั้นพราหมณ์นั้นจับเถาวัลย์ถือไม้เท้าทุบตีพระกุมารทั้งสองนำไป เมื่อพระเวสสันดรสีพีราช กำลังทอดพระเนตรอยู่.
[๑๑๗๓] ลำดับนั้น สองพระกุมารพอหลุดพ้นจากพราหมณ์ก็รีบวิ่งหนีไป พระเนตรทั้งสองนองไปด้วยน้ำอัสสุชล พระชาลี ชะเง้อมองดูพระบิดาทรงถวายบังคมพระยุคลบาทของพระบิดา พระวรกายสั่นระริกดังใบโพธิ์ ทรงถวายบังคมพระยุคลบาท พระบิดาแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระชนกนาถ ก็พระมารดาเสด็จออกไปป่า และพระบิดาทอดพระเนตรเห็นแต่กระหม่อมฉัน ข้าแต่พระชนกนาถ ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองอยู่ก่อน  จนกว่าเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองได้เห็นพระมารดา ข้าแต่พระชนกนาถ พระมารดาเสด็จออกไปป่า  ขอพระบิดาทอดพระเนตรเห็นกระหม่อมฉันทั้งสองอยู่ก่อน ข้าแต่พระชนกนารถ  ขอพระองค์อย่าเพิ่งพระราชทานเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสอง จนกว่าพระชนนีของเกล้ากระหม่อมฉันจะเสด็จกลับมา เมื่อนั้นพราหมณ์นี้ จักขายหรือจักฆ่าก็ตามปรารถนา พราหมณ์ผู้หยาบช้านี้ ประกอบด้วยบุรุษโทษ ๑๘ ประการ คือมีเท้าคดทู่ตะแคง ๑ เล็บเน่า ๑ ปลีน่องย้อยยาน ๑ ริมฝีปากบนยาว ๑ น้ำลายไหลยืด ๑ เขี้ยวงอกออกเหมือนเขี้ยวหมู ๑ จมูกหักฟุบ ๑ ท้องพลุ้ยดังหม้อ ๑ หลังค่อม ๑ ตาข้างหนึ่งเล็กข้างหนึ่งใหญ่ ๑ หนวดแดง
 ๑ ผมบางเหลือง ๑ หนังย่นเป็นเกลียว ตัวตกกระ ๑ ตาเหลือง ๑ คดสามแห่ง คือ ที่สะเอวหลังและคอ ๑ ขากาง ๑ เดินดังกฏะกฏะ ๑ ขนตามตัวยาวและหยาบ ๑ นุ่งห่มหนังเสือเป็นอมนุษย์น่ากลัวเหลือเกิน เป็นมนุษย์หรือยักษ์มีเนื้อ และเลือดเป็นเครื่องบริโภค ออกจากบ้านมาสู่ป่า  มาขอทรัพย์คือบุตรกะพระองค์ ลูกทั้งสองกำลังถูกพราหมณ์ปีศาจนำไป ข้าแต่พระชนกนาถกระไรหนอฝ่าพระบาททรงนิ่งเฉยอยู่ได้  พระหฤทัยของพระชนกนาถปานดังหนึ่งหิน หรือดังว่ายึดมั่นด้วยพืดเหล็ก พระองค์ช่างไม่ทรงรู้สึกถึงลูกทั้งสอง ซึ่งถูกพราหมณ์ผู้แสวงหาทรัพย์หยาบคาย ผูกมัด แกเฆี่ยนตีลูกทั้งสอง เหมือนนายโคบาลตีโคฉะนั้น  ขอให้น้องกัณหาจงอยู่ ณ ที่นี้แหละ เธอไม่รู้จักความทุกข์อะไรๆ เมื่อเธอไม่เห็นพระมารดาก็จะคร่ำครวญหาเหมือนลูกเนื้อที่ยังดื่มนมพลัดจากฝูง ไม่เห็นแม่ก็จะร่ำไห้คร่ำครวญ ฉะนั้น.
[๑๑๗๔] ทุกข์นี้ไม่ใช่ทุกข์ที่แท้จริงของลูก  เพราะทุกข์เช่นนี้อันลูกผู้ชายพึงได้รับส่วนทุกข์อันใดที่ลูกจักไม่ได้เห็นพระมารดา ทุกข์นั้นของลูกเป็นทุกข์ยิ่งกว่าทุกข์  ที่ถูกตาพราหมณ์เฆี่ยนตีทุกข์นี้ไม่ใช่ทุกข์ที่แท้จริงของลูกเพราะทุกข์เช่นนี้อันลูกผู้ชายพึงได้รับ ส่วนทุกข์อันใดที่ลูกจักไม่ได้เห็นพระบิดา  ทุกข์นั้นของลูกเป็นทุกข์ยิ่งกว่าทุกข์ที่ถูกตาพราหมณ์เฆี่ยนตี พระมารดาจักเป็นกำพร้าเสียแน่แท้ เมื่อไม่ได้ทรงเห็นกัณหาชินากุมารีผู้มีดวงตางาม  ก็จักทรงกรรแสงไห้หาตลอดราตรีนาน  พระบิดาจักเป็นกำพร้าเสียเป็นแน่แท้เมื่อไม่ได้ทรงเห็นกัณหาชินากุมารีผู้มีดวงตางาม ก็ จักกรรแสงไห้หาตลอดราตรีนาน พระมารดาจักเป็นกำพร้าเสียแน่แท้ เมื่อไม่ได้ทรงเห็นกัณหาชินากุมารี ผู้มีดวงตางาม ก็จักทรงกรรแสงไห้อยู่ในอาศรมช้านาน พระบิดาจักเป็นกำพร้าเสียแน่แท้ เมื่อไม่ได้ทรงเห็นกัณหาชินากุมารีผู้มีดวงตางาม ก็จักทรงกรรแสงไห้อยู่ในอาศรมช้านาน  พระมารดาจักเป็นกำพร้าเสียแน่แท้ จักทรงกรรแสงไห้อยู่ตลอดราตรีนาน  ทรงระลึกถึงเราทั้งสอง  ตลอดครึ่งคืนหรือตลอดคืน
 จักทรงซูบซีดเหี่ยวแห้งไป เหมือนแม่น้ำน้อยในฤดูแล้งเหือดแห้งไป ฉะนั้น พระบิดาจักเป็นกำพร้าเสียแน่แท้ ทรงกรรแสงไห้อยู่ตลอดราตรีนาน ทรงระลึกถึงเราทั้งสองตลอดครึ่งคืนหรือตลอดคืน ก็จักทรงซูบซีดเหี่ยวแห้งไป เหมือนแม่น้ำน้อยในฤดูแล้งเหือดแห้งไป ฉะนั้น รุกขชาติเหล่านี้มีต่างๆ พันธุ์ คือ ต้นหว้า ต้นยางทราย กิ่งห้อยย้อยเราเคยเล่นมาแต่กาลก่อน  วันนี้เราทั้งสองจะต้องละรุกขชาติเหล่านั้น ซึ่งเราเคยเก็บดอกและผลเล่นมาช้านาน รุกขชาติที่มีผลต่างๆ ชนิด คือ โพธิ์ใบ ขนุน ไทร และมะขวิด ที่เราเคยเล่นมาในกาลก่อน  วันนี้เราทั้งสองจะต้องละรุกขชาติที่เราเคยเก็บผลกินมาช้านาน นี่สวน นี่สระน้ำเย็นใส เราเคยเที่ยวเล่นเคยลงทรงสนานมาแต่กาลก่อน  วันนี้เราทั้งสองจะต้องละสวนและสระนั้นไป บุปผชาติต่างๆ ชนิดบนภูเขาโน้น เราเคยเก็บมาทัดทรงในกาลก่อน วันนี้เราจะต้องละบุปผชาติเหล่านั้นไป นี่ตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัว พระบิดาทรงปั้นเพื่อให้เราทั้งสองเล่น เราเคยเล่นมาในกาลก่อน  วันนี้เราทั้งสองจะต้องละตุ๊กตาเหล่านั้นไป.
[๑๑๗๕] สองพระกุมารอันชูชกกำลังพาไป ได้กราบทูลสั่งพระบิดาดังนี้ว่า ข้าแต่พระชนกนาถ ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาตรัสบอกพระมารดาว่า ลูกทั้งสองไม่มีโรค และขอพระองค์จงทรงพระสำราญ ตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัว เหล่านี้ของกระหม่อมฉัน ขอพระองค์โปรดประทานแก่พระเจ้าแม่  ความโศกเศร้าจะพินาศเพราะตุ๊กตาเหล่านั้น และพระมารดาได้ทอดพระเนตรเห็นตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า และตุ๊กตาวัว  ของลูกเหล่านั้นจักห้ำหั่นความโศกให้เสื่อมหาย.
[๑๑๗๖] ลำดับนั้น พระเวสสันดรขัตติยราช ครั้นทรงบำเพ็ญทานแล้ว เสด็จเข้าบรรณศาลาทรงกรรแสงพิลาปว่า วันนี้ลูกน้อยทั้งสองจะหิวข้าวอยากน้ำอย่างไรหนอ จะต้องเดินทางไกล  ร้องไห้สะอึกสะอื้น เวลาเย็นบริโภคอาหาร ใครจะให้อาหารแก่ลูกทั้งสองนั้น วันนี้ลูกน้อยทั้งสองจะหิวข้าวอยากน้ำอย่างไรหนอ  จะต้องเดินทางไกลร้องไห้สะอึกสะอื้น เวลาเย็นเป็นเวลาบริโภคอาหาร  ลูกทั้งสองเคยอ้อนกะมัทรีผู้มารดาว่าข้าแต่พระเจ้าแม่ ลูกทั้งสองหิวแล้ว ขอพระเจ้าแม่จงประทานแก่ลูกทั้งสอง ลูกทั้งสองไม่มีรองเท้า จะเดินทางเท้าเปล่าอย่างไรได้ ลูกทั้งสองจะเมื่อยล้า มีบาทาฟกบวม ใครจะจูงมือลูกทั้งสองเดินทาง อย่างไรหนอ พราหมณ์นั้นช่างร้ายกาจไม่ละอาย  เฆี่ยนตีลูกทั้งสองผู้ไม่ประทุษร้ายต่อหน้าเรา  แม้ตกเป็นทาสีเป็นทาสของเรา  หรือคนรับใช้ใครที่มีความละอายจักเฆี่ยนตีคนที่ต่ำทรามแม้เช่นนั้นได้ พราหมณ์ช่างด่าช่างตีลูกรักทั้งสองของเราผู้มองเห็นอยู่ซึ่งเป็นเหมือนดังปลาติดอยู่ที่ปากลอบปากไซฉะนั้น.
[๑๑๗๗] เราจักถือธนูด้วยมือขวา  หรือจักเหน็บพระขรรค์ไว้ข้างซ้ายไปนำเอาลูกทั้งสองของเรามา เพราะลูกทั้งสองถูกเฆี่ยนตีเป็นทุกข์หนัก การที่ลูกน้อยทั้งสองต้องเดือดร้อนเป็นทุกข์แสนสาหัสไม่ใช่ฐานะ  ก็ใครเล่ารู้ธรรมของสัตบุรุษแล้วให้ทาน ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง.
[๑๑๗๘] ได้ยินว่า นรชนบางพวกในโลกนี้ พูดความจริงไว้อย่างนี้ว่า ลูกคนใดไม่มีมารดาของตน ลูกคนนั้นเป็นเหมือนไม่มีบิดา น้องกัณหามานี่เถิด เราทั้งสองจักตายด้วยกัน เราทั้งสองจะเป็นอยู่ทำไมไม่มีประโยชน์ พระบิดาผู้เป็นจอมประชานิกร ประทานเราทั้งสองแก่พราหมณ์ ผู้แสวงหาทรัพย์ เป็นคนร้ายกาจเหลือเกิน แกเฆี่ยนตีเราทั้งสอง  เสมือนนายโคบาลประหารโค ฉะนั้น รุกขชาติเหล่านี้มีต่างๆ พันธุ์ คือ ต้นหว้า ต้นยางทราย กิ่งห้อยย้อย เราเคยเล่นมาแต่กาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะต้องละรุกขชาติเหล่านั้น ซึ่งเคยเก็บดอกและผลเล่นมาช้านาน รุกขชาติที่มีผลต่างๆ ชนิด คือ โพธิ์ใบ ขนุนไทร และขวิด ที่เราเคยเล่น ในกาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะต้องละรุกขชาติที่เราเคยเก็บผลกินมาช้านาน นี่สวน นี่สระน้ำเย็นใส  เราเคยเที่ยวเล่นเคยลงสรงสนานมาแต่กาลก่อน  วันนี้เราทั้งสองจะต้องละสวนและสระเหล่านั้นไป บุปผชาติต่างๆ ชนิด บนภูเขาโน้น เราเคยเก็บมาทัดทรงในกาลก่อน วันนี้เราจะต้องละบุปผชาติเหล่านั้นไป นี้ตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัว พระบิดาทรงปั้น เพื่อให้เราทั้งสองเล่น เราเคยเล่นในกาลก่อน  วันนี้เราทั้งสองจะต้องละตุ๊กตาเหล่านั้นไป.
[๑๑๗๙] พระกุมารทั้งสอง คือ พระชาลีและกัณหาชินา อันชูชกพราหมณ์นำไป
        พอหลุดพ้นจากมือพราหมณ์ ต่างก็รีบวิ่งหนีไปในสถานที่นั้นๆ.
[๑๑๘๐] ลำดับนั้น พราหมณ์นั้นจับเถาวัลย์ถือไม้เท้า ทุบตีพระกุมารทั้งสองนำไป
        เมื่อพระเวสสันดร สีพีราชกำลังทอดพระเนตรเห็นอยู่.
[๑๑๘๑] พระกัณหาชินาได้กราบทูลพระบิดาว่า ข้าแต่พระบิดา พราหมณ์นี้ทุบตีลูกด้วยไม้เท้า ดังว่าทุบตีทาสีผู้เกิดในเรือนเบี้ย  ข้าแต่พระบิดา  ก็พราหมณ์นี้คงไม่ใช่พราหมณ์ทั้งหลาย  ผู้ตั้งอยู่ในธรรม คงเป็นยักษ์แปลงเพศเป็นพราหมณ์  นำเอาลูกทั้งสองไปเพื่อจะกินเป็นอาหาร ลูกทั้งสองถูกพราหมณ์ปีศาจกำลังนำไป ข้าแต่พระบิดา ช่างกระไรเลย พระองค์ทรงนิ่งเฉยอยู่ได้.
[๑๑๘๒] เท้าของเราทั้งสองนี้เล็กเป็นทุกข์  ทั้งหนทางก็ไกลยากที่จะเดินไปได้ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยลงต่ำ พราหมณ์เล่าก็เร่งเราทั้งสองให้รีบเดิน ข้าพเจ้าทั้งสอง ขอคร่ำครวญกราบไหว้เทพเจ้าทั้งหลายผู้สิงสถิตอยู่ ณ ภูเขาลำเนาไพร ในสระน้ำ และบ่อน้ำอันมีท่าราบเรียบด้วยเศียรเกล้า ขอเทพเจ้าผู้สถิตอยู่ ณ ป่าหญ้าลดาวัลย์  และต้นไม้ที่เป็นโอสถ บนภูเขา  ที่ป่าไม้ จงช่วยกราบทูลพระชนนีว่า ข้าน้อยทั้งสองนี้ไม่มีโรค พราหมณ์นี้นำเอาข้าทั้งสองไป อนึ่ง ขอท่านทั้งหลายจงกราบทูลพระเจ้าแม่มัทรีชนนีของข้าน้อยทั้งสองว่า ถ้าพระแม่เจ้าปรารถนาจะเสด็จติดตามมา ก็พึงรีบเสด็จติดตามข้าน้อยทั้งสองมาเร็วพลัน ทางนี้เป็นทางเดินคนเดียวตัดตรงไปยังอาศรม พระมารดาพึงเสด็จไปตามทางนั้นก็จะทันได้เห็นลูกทั้งสองโดยเร็วพลัน โอ้หนอ พระเจ้าแม่ผู้ทรงเพศตาปสินี ทรงนำมูลผลาหารมาจากป่า ได้ทรงเห็นอาศรมอันว่างเปล่า  ก็จักทรงมีทุกข์ พระมารดาเที่ยวแสวงหามูลผลาหารจนล่วงเวลา คงได้มาไม่น้อย คงไม่ทรงทราบว่า ลูกทั้งสองถูกพราหมณ์ผู้แสวงหาทรัพย์หยาบช้าร้ายกาจผูกมัดเฆี่ยนตีดังหนึ่งนายโคบาลทุบตีโค ฉะนั้น เออก็วันนี้ลูกทั้งสองพึงได้เห็นพระมารดาเสด็จกลับมาจากการแสวงหามูลผลาหารในเวลาเย็น พระมารดาพึงประทานผลไม้อันเจือด้วยน้ำผึ้งแก่พราหมณ์ ในกาลนั้นพราหมณ์นี้หิวกระหาย ไม่พึงเร่งให้เราทั้งสองเดินนัก เท้าทั้งสองของเราฟกบวมหนอ พราหมณ์ก็เร่งให้เรารีบเดิน พระกุมารทั้งสองทรงรักใคร่ในพระมารดา ทรงกรรแสงพิลาปอยู่ ณ ที่นั้น ด้วยประการดังนี้.
(นี้) ชื่อทารกบรรพ.
[๑๑๘๓] เทวดาเหล่านั้นได้ฟังสองพระกุมารทรงพิลาปร่ำรำพันแล้ว จึงได้กล่าวกะเทพบุตรทั้ง ๓ ว่า ท่านทั้ง ๓ จงแปลงเพศเป็นสัตว์ดุร้ายในป่า คือ เป็นราชสีห์ ๑ เสือโคร่ง ๑ เสือเหลือง ๑ อย่าให้พระราชบุตรีเสด็จกลับจากการแสวงหามูลผลาหารในเวลาเย็นได้ ท่านทั้งหลายอย่าให้สัตว์ร้ายในป่าอันเป็นแว่นแคว้นของพวกเรา เบียดเบียนพระราชบุตรีได้ ถ้าราชสีห์ เสือโคร่งและเสือเหลือง  พึงเบียดเบียนพระนาง ผู้ทรงศุภลักษณ์ พระชาลีกุมารก็ไม่พึงมี พระกัณหาชินากุมารีจะพึงมีแต่ที่ไหนพระนางผู้สมบูรณ์ด้วยลักขณาจะพึงเสื่อมเสียโดยส่วนทั้งสอง คือ พระภัศดาและพระลูกรัก เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงกระทำอารักขาให้ดี.
[๑๑๘๔] เสียมของเราหล่นลงแล้ว และตาเบื้องขวาของเราก็เขม่นอยู่ริกๆ ต้นไม้ทั้งหลายที่เคยมีผล ก็กลายเป็นไม่มีผล ทิศทั้งปวงก็ทำให้เราฟั่นเฟือน ลุ่มหลง เมื่อเรากลับบ่ายหน้ามาสู่อาศรมในเวลาเย็น เมื่อพระอาทิตย์จะอัศดงคต ๓ สัตว์ร้ายก็ปรากฏยืนขวางทาง  พระอาทิตย์ก็คล้อยลงต่ำ และอาศรมก็ยังอยู่ไกลหนอ  ก็มูลผลาผลอันใดที่เราจักนำไปแต่ป่านี้ พระเวสสันดรและลูกน้อยทั้งสองพึงเสวยมูลผลาผลนั้น โภชนะอื่นไม่มีพระจอมกษัตริย์นั้นจักประทับอยู่ในบรรณศาลาพระองค์เดียว  คงทรงปลอบประโลมให้ลูกน้อยทั้งสองผู้กระหายหิวให้ยินดี คอยทอดพระเนตรดูเราผู้ยังไม่มาถึงเป็นแน่แท้  ลูกน้อยทั้งสองของเราผู้กำพร้ายากไร้ ในเวลาเย็นอันเป็นเวลาดื่มนม  จักคอยดื่มน้ำนม  ดังลูกเนื้อที่กำลังดื่มนม ฉะนั้น เป็นแน่แท้  ลูกน้อยทั้งสองของเราผู้กำพร้ายากไร้ ในเวลาเย็น อันเป็นเวลาดื่มน้ำ ก็จักคอยดื่มน้ำ ดังลูกเนื้อที่กำลังกระหายน้ำ ฉะนั้น เป็นแน่แท้ ลูกน้อยทั้งสองของเราผู้กำพร้ายากไร้ คงจะยืนคอยต้อนรับเรา เหมือนหนึ่งลูกโคอ่อนคอยชะแง้หาแม่ ฉะนั้น
 เป็นแน่แท้ ลูกน้อยทั้งสองของเราผู้ยากไร้ คงจะยืนคอยต้อนรับเราเสมือนหนึ่งหงส์ซึ่งตกอยู่ในเปือกตม ฉะนั้น เป็นแน่ ลูกน้อยทั้งสองของเราผู้ยากไร้ คงจะคอยต้อนรับเราอยู่ในที่ใกล้ๆ อาศรม หนทางที่จะไปก็มีอยู่ทางเดียวทั้งเป็นทางเดินไปได้คนเดียว โดยข้างหนึ่งมีสระ อีกข้างหนึ่งมีบึง เราไม่เห็นทางอื่นซึ่งเป็นทางไปยังอาศรมได้ ข้าแต่พระยามฤคราชผู้มีกำลังมากในป่าใหญ่  ดิฉันขอนอบน้อมต่อท่านทั้งหลาย  ท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องของดิฉันโดยธรรม ดิฉันขออ้อนวอน ขอท่านทั้งหลายจงให้หนทางแก่ดิฉันเถิด ดิฉันเป็นภรรยาของพระราชบุตรผู้มีสิริ ผู้ถูกขับไล่จากสีพีรัฐ ดิฉันมิได้ดูหมิ่นพระราชสวามีพระองค์นั้นเลย เหมือนดังนางสีดาคอยอนุวัตรตามพระรามราชสวามี  ฉะนั้น ขอท่านทั้งหลายจงหลีกทางให้ดิฉัน  แล้วกลับไปพบลูกน้อยของท่านในเวลาออกหาอาหารในเวลาเย็น ส่วนดิฉันก็จะพึงได้กลับไปพบเห็นลูกน้อยทั้งสอง คือพ่อชาลีและแม่กัณหาชินา อนึ่ง มูลมันผลไม้นี้ก็มีอยู่มาก และที่เป็นภักษาก็มีไม่น้อย  ดิฉันขอแบ่งให้ท่านทั้งหลายกึ่งหนึ่ง ดิฉันอ้อนวอนแล้ว  ขอท่านทั้งหลายจงให้ทางแก่ดิฉันเถิด พระมารดาของเราทั้งหลายเป็นพระราชบุตรี และพระบิดาของเราทั้งหลายก็เป็นพระราชบุตร ท่านทั้งหลายจึงชื่อว่าเป็นพี่น้องของดิฉันโดยธรรม ดิฉันอ้อนวอนแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงหลีกทางให้ดิฉันเถิด.
[๑๑๘๕] เทพเจ้าทั้งหลายผู้แปลงกายเป็นพาลมฤค ได้ฟังพระวาจาอันไพเราะ น่า
        กรุณาเป็นอันมาก ของพระนางผู้รำพันวิงวอนอยู่ ได้พากันหลีกจากทางไป.
[๑๑๘๖] พระลูกน้อยทั้งสองพระขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่น เคยยืนคอยต้อนรับแม่อยู่ที่ตรงนี้ ดังหนึ่งลูกโคอ่อนยืนคอยชะแง้หาแม่ ฉะนั้น พระลูกน้อยทั้งสองขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่น เคยยืนคอยต้อนรับแม่อยู่ตรงนี้ เหมือนดังหงส์ติดอยู่ในเปือกตม ฉะนั้น พระลูกน้อยทั้งสองขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่น เคยยืนคอยต้อนรับแม่อยู่ใกล้ๆ อาศรมที่ตรงนี้ พระลูกน้อยทั้งสองเคยร่าเริงหรรษาวิ่งมาต้อนรับแม่  ราวกับจะทำให้หทัยของแม่หวั่นไหวเหมือนลูกเนื้อเห็นแม่แล้วยกหูชูคอวิ่งเข้าไปหาแม่ร่าเริงหรรษาวิ่งไปมารอบๆ ฉะนั้น  วันนี้แม่มิได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง  คือ พ่อชาลีแม่กัณหาชินานั้นเหมือนอย่างเคย แม่ละลูกน้อยทั้งสองไว้ออกไปหาผลไม้ดังแม่แพะและแม่เนื้อละลูกน้อยๆ ไปหากิน  ดังปักษีละทิ้งลูกน้อยไปจากรัง หรือดังนางราชสีห์ผู้ต้องการอาหาร  ละลูกน้อยไว้ออกไปหากิน ฉะนั้น วันนี้แม่ไม่เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง คือ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินาเหมือนอย่างเคย นี้เป็นรอยเท้าวิ่งไปมาของพระลูกน้อยทั้งสอง ดุจรอยเท้าของช้างทั้งหลายที่เชิงเขา นี่กองทรายที่ลูกน้อยทั้งสองขนมากองเล่น เรี่ยรายอยู่ ณ ที่ใกล้ๆ อาศรม วันนี้แม่ไม่เห็นลูกน้อยทั้งสอง คือ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินาเหมือนอย่างเคย พระลูกน้อยทั้งสองเคยขะมุกขะมอมด้วยทรายและฝุ่นวิ่งเข้ามาล้อมแม่อยู่รอบข้าง วันนี้แม่มิได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสองนั้น เมื่อก่อนพระลูกน้อยทั้งสองเคยต้อนรับแม่ผู้
กลับมาจากป่าแต่ไกล วันนี้แม่ไม่เห็นลูกน้อยทั้งสอง คือ พ่อชาลีแม่กัณหาชินาเหมือนอย่างเคยวันก่อนๆ  พระลูกน้อยทั้งสองคอยแลดูแม่อยู่แต่ไกล เหมือนลูกแพะหรือลูกเนื้อทรายคอยชะแง้หาแม่ ฉะนั้น วันนี้แม่ไม่ได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสองนั้นเลย เออก็นี่ผลมะตูมสุกสีดังทองเป็นเครื่องเล่นของลูกน้อยทั้งสอง (ไฉน) จึงมาตกกลิ้งอยู่ที่นี่ วันนี้แม่มิได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง คือ พ่อชาลีแม่กัณหาชินาเหมือนอย่างเคย ก็ถันทั้งสองของแม่นี้เต็มไปด้วยน้ำนม และอุระประเทศของแม่ดังหนึ่งว่าจะแตกทำลาย  วันนี้แม่ไม่ได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง คือพ่อชาลีแม่กัณหาชินาเหมือนอย่างเคย  ใครเล่าจะค้นชายพกแม่  ใครเล่าจะเหนี่ยวถันทั้งสองของแม่ วันนี้แม่ไม่ได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง คือ พ่อชาลีแม่กัณหาชินาเหมือนอย่างเคย  เวลาเย็นพระลูกน้อยทั้งสองขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่น เคยวิ่งเข้ามาเกาะที่ชายพกแม่  วันนี้แม่ไม่ได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง เมื่อก่อนอาศรมนี้ปรากฏแก่เราดังว่ามีมหรสพ วันนี้เมื่อแม่มิได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสองนั้น  อาศรมเหมือนดังจะหมุนเวียนนี่อย่างไรอาศรมจึงปรากฏแก่เราดูเงียบสงัดจริงหนอ แม้ฝูงกาป่าก็มิได้ส่งเสียงร้อง ลูกน้อยทั้งสองของแม่ จักตายเสียแล้วเป็นแน่แท้ นี่อย่างไรอาศรมจึงปรากฏแก่เราดูเงียบสงัดจริงหนอ แม้ฝูงนกก็มิได้ส่งเสียงร้อง พระลูกน้อยทั้งสองของแม่ จักตายเสียแล้วเป็นแน่แท้.
[๑๑๘๗] นี่อย่างไรฝ่าพระบาทจึงทรงนิ่งอยู่  เออก็ใจของหม่อมฉันเหมือนดังฝันเห็นสุบินในเวลาราตรี แม้ฝูงกาป่าก็มิได้ส่งเสียงร้อง  พระลูกน้อยทั้งสองของหม่อมฉันคงจักตายเสียแล้วเป็นแน่แท้ นี่อย่างไรฝ่าบาทจึงทรงนิ่งอยู่ แม้ฝูงนกก็มิได้ส่งเสียงร้อง พระลูกน้อยทั้งสองของหม่อมฉันคงจักตายเสียแล้วเป็นแน่แท้ ข้าแต่พระลูกเจ้า เหล่าเนื้อร้ายในป่าหรือในทุ่งกว้าง  มาเคี้ยวกินพระลูกน้อยทั้งสองของหม่อมฉันเสียแล้วหรือไฉน  หรือว่าใครมานำเอาพระลูกน้อยทั้งสองของหม่อมฉันไป  หรือ ฝ่าพระบาททรงส่งพระลูกน้อยทั้งสองซึ่งกำลังช่างพูดจาน่ารักใคร่ไปเป็นทูต หรือว่าเข้าไปหลับอยู่ในบรรณศาลา หรือพระลูกน้อยทั้งสองของเรานั้นเที่ยวเล่นคะนองออกไปในภายนอก เส้นพระเกศาพระหัตถ์และพระบาทซึ่งมีลายตาข่ายของพระลูกน้อยทั้งสองนั้น มิได้ปรากฏเลย หรือว่านกทั้งหลายมาโฉบเฉี่ยวเอาไป หรือว่าใครนำเอาพระลูกน้อยทั้งสองของหม่อมฉันไป.
[๑๑๘๘] ความทุกข์ที่หม่อมฉันมิได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง  คือ ชาลีและกัณหาชินาในวันนี้นั้น เป็นทุกข์ยิ่งกว่าการถูกขับไล่จากแว่นแคว้น เปรียบเหมือนแผลที่ถูกแทงด้วยลูกศร ฉะนั้น  ก็การที่หม่อมฉันมิได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง ทั้งฝ่าพระบาทก็มิได้ตรัสกับหม่อมฉันนี้ เป็นลูกศรเสียบแทงหฤทัยของหม่อมฉันซ้ำสอง  หฤทัยของหม่อมฉันหวั่นไหว ข้าแต่พระราชบุตร ถ้าคืนวันนี้ฝ่าพระบาทมิได้ตรัสกับหม่อมฉัน พรุ่งนี้เช้าฝ่าพระบาทก็น่าจะได้ทอดพระเนตรหม่อมฉัน  ผู้ปราศจากชีวิตตายเสียเป็นแน่.
[๑๑๘๙] เจ้ามัทรีมีรูปงามอุดม เป็นราชบุตรีผู้มียศ ไปแสวงหามูล
        ผลาหารตั้งแต่เช้า ไฉนหนอ จึงกลับมาจนเวลาเย็น.
[๑๑๙๐] ฝ่าพระบาทได้ทรงสดับมิใช่หรือ ซึ่งเสียงบันลือแห่งราชสีห์ และเสือโคร่ง ทั้งเสียงสัตว์จตุบาทและฝูงนก ส่งเสียงคำรามร้องสนั่นเป็นอันเดียวกัน  ต่างก็มุ่งมาเพื่อจะดื่มน้ำยังสระนี้  บุพพนิมิตได้เกิดมีแก่หม่อมฉันผู้กำลังเที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ เสียมพลัดตกจากมือของหม่อมฉันและกระเช้าที่หาบอยู่ก็พลัดตกจากบ่า  ทีนั้นหม่อมฉันก็หวาดกลัวเป็นกำลัง  จึงกระทำอัญชลีนอบน้อมทิศทั่วทุกแห่ง  ขอความสวัสดีพึงมีแต่ที่นี้  ขอพระลูกเจ้าของเราทั้งหลาย อย่าได้ถูกราชสีห์หรือเสือเหลืองเบียดเบียนเลย หมี สุนัขป่า หรือเสือดาว อย่ามากล้ำกรายพระลูกน้อยทั้งสองของข้าเลย ๓ สัตว์ร้ายในป่า คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลืองยืนขวางทางหม่อมฉันเสีย เหตุนั้น หม่อมฉันจึงกลับมาจนพลบค่ำ.
[๑๑๙๑] ตัวเราเป็นผู้ไม่ประมาท  หมั่นปฏิบัติพระสวามีบำรุงพระลูกน้อยทั้งสองทุกวันคืน ดังอันเตวาสิกปฏิบัติอาจารย์ ฉะนั้น  ตัวเรามุ่นชฎาเป็นพรหมจาริณี นุ่งห่มหนังอชินะ เที่ยวแสวงหามูลผลาหารในป่าทุกวันคืน เพราะความรักพระลูกทั้งสองเทียวนะพระลูก นี่ขมิ้นสีดังทอง ที่แม่หามาบดไว้สำหรับใช้เพื่อเจ้าทั้งสองอาบน้ำ นี่ผลมะตูมสุกสีเหลือง แม่หามาให้เพื่อลูกทั้งสองเล่น อนึ่ง แม่ได้สรรหาผลไม้สุกอื่นๆ ที่น่าพอใจมาเพื่อให้ลูกทั้งสองเล่น นี้เป็นของเล่นของลูกรักทั้งสอง ข้าแต่พระจอมกษัตริย์  นี่เหง้าบัวพร้อมทั้งฝักและหน่อแห่งอุบลและกระจับอันคลุกเคล้าด้วยน้ำผึ้ง เชิญพระองค์ทรงเสวยพร้อมพระโอรสพระธิดาเถิด ขอพระองค์ทรงโปรดประทานดอกปทุมแก่พ่อชาลี ส่วนดอกโกมุทขอได้โปรดประทานแก่กัณหากุมารี พระองค์จะได้ทอดพระเนตรพระกุมารประดับประดาด้วยดอกไม้ฟ้อนรำอยู่ ขอได้โปรดตรัสเรียกสองพระราชบุตรมาเถิด แม่กัณหาชินาจะได้มานี่ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ ขอพระองค์ทรงสดับพระสุรเสียงอันไพเราะอ่อนหวานของแม่กัณหาชินาขณะเข้าสู่อาศรม เราทั้งสองถูกเนรเทศจากแว่นแคว้น เป็นผู้มีสุขและทุกข์เสมอกัน  เออก็พระองค์ได้ทรงเห็นพระราชบุตรทั้งสอง คือ พ่อชาลีแม่กัณหาชินาบ้างหรือ ชะรอยว่าหม่อมฉันได้สาปแช่ง สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ มีศีล เป็นพหูสูต ในโลก วันนี้หม่อมฉันจึงไม่ได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง คือ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินา.
[๑๑๙๒] หมู่นี้นี่ก็ต้นหว้า  นี่ต้นยางทรายที่ทอดกิ่งค้อมลงมา เป็นรุกขชาติต่างๆพันธุ์ ที่สองพระกุมารเคยวิ่งเล่น แม่มิได้เห็นสองพระกุมารนั้น หมู่นี้นี่ก็โพธิ์ใบ ต้นขนุน ต้นไทร  ต้นมะขวิด เป็นไม้มีผลนานาชนิดที่พระกุมารทั้งสองเคยมาวิ่งเล่น แม่มิได้เห็นสองพระกุมารนั้น หมู่ไม้เหล่านี้ตั้งอยู่ดุจอุทยาน  นี่ก็เป็นแม่น้ำเย็นซึ่งสองพระกุมารเคยมาเล่น แม่มิได้เห็นสองพระกุมารนั้น รุกขชาติที่ทรงดอกต่างๆ มีอยู่บนภูเขานี้ที่สองพระกุมารเคยทัดทรงเล่น แม่มิได้เห็นสองพระกุมารนั้น รุกขชาติที่ทรงผลต่างๆ มีอยู่บนภูเขานี้ ที่สองพระกุมารเคยมาเสวย แม่มิได้เห็นสองพระกุมารนั้น เหล่านี้เป็นตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า  ตุ๊กตาวัว ที่พระกุมารทั้งสองเคยมาเล่น แม่มิได้เห็นสองพระกุมารนั้น.
[๑๑๙๓] เหล่านี้เป็นตุ๊กตาเนื้อทรายทองตัวเล็กๆ ตุ๊กตากระต่าย ตุ๊กตานกเค้า ตุ๊กตาชะมด เป็นอันมากที่พระกุมารทั้งสองเคยเล่น แม่มิได้เห็นพระกุมารทั้งสองนั้น เหล่านี้ตุ๊กตาหงส์  เหล่านี้ตุ๊กตานกกระเรียน ตุ๊กตานกยูงมีแววหางงามวิจิตร ที่สองพระกุมารเคยมาเล่น แม่มิได้เห็นพระกุมารทั้งสองเลย.
[๑๑๙๔] พุ่มไม้เหล่านี้มีดอกบานทุกฤดูกาล ที่สองพระกุมารเคยมาเล่น แม่มิได้เห็นพระกุมารทั้งสองนั้น สระโบกขรณีนี้น่ารื่นรมย์ เพรียกไปด้วยเสียงนกจากพรากมาคูขัน ดาดาษไปด้วยมณฑา ปทุมและอุบล ที่สองพระกุมารเคยมาเล่น แม่มิได้เห็นพระกุมารทั้งสองนั้น.
[๑๑๙๕] ฟืนฝ่าพระบาทก็มิได้หัก น้ำก็มิได้ตัก แม้ไฟก็มิได้ติด เพราะเหตุไรหนอ พระองค์จึงทรงหงอยเหงาซบเซาอยู่ ที่รักกับที่รักประชุมพร้อมกันอยู่ย่อมหายความทุกข์ร้อน แต่วันนี้หม่อมฉันมิได้เห็นพระกุมารทั้งสอง คือ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินา.
[๑๑๙๖] ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ หม่อมฉันมิได้เห็นพระลูกรักทั้งสองของเรา ผู้ใดมานำเอาพระลูกรักทั้งสองนั้นไป  หรือว่าพระลูกรักทั้งสองนั้นตายเสียแล้ว  แม้ฝูงกาป่าก็มิได้ขานขัน พระลูกน้อยทั้งสองของหม่อมฉันตายเสียแล้วเป็นแน่  ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ หม่อมฉันมิได้เห็นพระลูกรักทั้งสองของเรา ผู้ใดมานำเอาพระลูกรักทั้งสองนั้นไป หรือว่าพระลูกรักทั้งสองนั้นตายเสียแล้ว แม้ฝูงนกก็มิได้ขานขัน พระลูกน้อยทั้งสองของหม่อมฉันตายเสียแล้วเป็นแน่.
[๑๑๙๗] พระนางมัทรีทรงปริเทวนา พลางเที่ยววิ่งค้นหาตลอดซอกบรรพตและป่าชัฏ  ในบริเวณเขาวงกตนั้น  แล้วเสด็จกลับมายังพระอาศรม ทรงกรรแสงอยู่ในสำนักของพระราชสวามี ทูลคร่ำครวญว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ หม่อมฉันมิได้เห็นพระลูกรักทั้งสองของเรา  ผู้ใดมานำเอาพระลูกรักทั้งสองนั้นไป หรือว่าพระลูกรักทั้งสองนั้นตายเสียแล้ว  แม้ฝูงกาป่าก็มิได้ขานขัน  พระลูกน้อยทั้งสองของหม่อมฉันตายเสียแล้วเป็นแน่ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ หม่อมฉันมิได้เห็นพระลูกรักทั้งสองของเรา ผู้ใดมานำเอาพระลูกทั้งสองนั้นไป หรือว่าพระลูกรักทั้งสองนั้นตายเสียแล้ว  แม้ฝูงนกก็มิได้ขานขัน พระลูกน้อยทั้งสองของหม่อมฉันตายเสียแล้วเป็นแน่  พระนางมัทรีผู้ทรงพระรูปพระโฉมอันอุดม เป็นพระราชบุตรีผู้มียศเที่ยวไปที่โคนต้นไม้ ที่บริเวณภูเขา และ ในถ้ำมิได้ทรงพบเห็นสองพระกุมาร จึงทรงประคองพระพาหากรรแสง ร่ำไห้คร่ำครวญ ล้มสลบลงที่พื้นพสุธา ณ ที่ใกล้บาทมูลของพระเวสสันดร นั้นแล.
[๑๑๙๘] พระเวสสันดรราชฤาษี ทรงวักน้ำประพรมพระนางมัทรีราชบุตรี ผู้ล้มสลบลง ณ ที่ใกล้บาทมูลของพระองค์นั้น ครั้นทรงทราบว่า พระนางฟื้นพระองค์ดีแล้ว จึงได้ตรัสบอกเนื้อความนี้ กะพระนางในภายหลังว่า ดูกรมัทรีฉันไม่ปรารถนาจะแจ้งความทุกข์แก่เธอแต่แรกก่อน  พราหมณ์แก่เป็นยาจกผู้ยากจนมาสู่ที่อยู่ของฉัน  ฉันได้ให้ลูกทั้งสองแก่พราหมณ์นั้นไป ดูกรมัทรี เธออย่ากลัวเลย จงดีใจเถิด ดูกรมัทรี เธอจงดูฉันเถิด จงอย่าดูลูกทั้งสองเลย อย่ากรรแสงไห้ไปนักเลย เราเป็นผู้ไม่มีโรค ยังมีชีวิตอยู่  คงจักได้พบเห็นลูกทั้งสองที่พราหมณ์นำไปเป็นแน่แท้ สัปบุรุษเห็นยาจกมาถึงแล้วพึงให้บุตร ปศุสัตว์ ธัญชาติและทรัพย์อย่างอื่นในเรือนเป็นทานได้ ดูกรมัทรี ขอเธอจงอนุโมทนาปุตตทานอันสูงสุดของเรา.
[๑๑๙๙] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ หม่อมฉันขออนุโมทนาปุตตทานอันอุดมของฝ่าพระบาท ฝ่าพระบาททรงพระราชทานปุตตทาน อันอุดมแล้ว จงยังพระหฤทัยให้เลื่อมใส ขอจงทรงบำเพ็ญทานยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ของประชุมชนในหมู่มนุษย์ ซึ่งมักเป็นคนตระหนี่เหนียว ฝ่าพระบาทพระองค์เดียวผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ได้ทรงบำเพ็ญปิยปุตตทานแก่พราหมณ์แล้ว.
[๑๒๐๐] ปฐพีก็บันลือลั่นเสียงสนั่นบันลือไปถึงไตรทิพย์สายฟ้าแลบอยู่แปลบ
        ปลาบโดยรอบ เสียงสะท้านปรากฏ ดังหนึ่งว่าเสียงภูเขาถล่มทลาย.
[๑๒๐๑] เทพเจ้าสองหมู่ ผู้สิงสถิตอยู่ที่นารทบรรพต  ถวายอนุโมทนาแก่พระหน่อทศพลเวสสันดรนั้นว่า พระอินทร์ พระพรหมทั้งท้าวเวสสวัณมหาราช  และเทพเจ้าชาวดาวดึงส์สวรรค์  พร้อมด้วยพระอินทร์ทุกถ้วนหน้า ย่อมถวายอนุโมทนาพระนางเจ้ามัทรีผู้ทรงพระรูปพระโฉมอันอุดม เป็นพระราชบุตรีผู้มียศทรงถวายอนุโมทนาปุตตทาน อันอุดมของพระเวสสันดร ของพระเวสสันดรราชฤาษี ด้วยประการฉะนี้แล.
(นี้) ชื่อมัทรีบรรพ
[๑๒๐๒] ลำดับนั้น  เมื่อราตรีสิ้นไป  พระอาทิตย์อุทัยขึ้นมา  เวลาเช้าท้าว
        สักกเทวราชทรงแปลงเพศเป็นอย่างพราหมณ์  ได้ปรากฏแก่สองกษัตริย์นั้น.
[๑๒๐๓] พระคุณเจ้าไม่มีโรคาพาธหรือหนอ พระคุณเจ้าทรงพระสำราญดีหรือ
        ทั้งมูลมันผลไม้มีมากหรือ  เหลือบยุงและสัตว์เสือกคลานมีน้อยแล
        หรือ ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤคไม่มีมาเบียดเบียนแลหรือ.
[๑๒๐๔] ดูกรพราหมณ์ เราทั้งหลายไม่มีโรคาพาธเบียดเบียน อนึ่งเราทั้งหลายเป็นสุขสำราญดี เราเยียวยาอัตภาพด้วยการหาผลาหารสะดวกดีทั้งมูลมันผลไม้ก็มีมาก เหลือบ ยุง สัตว์เสือกคลานก็มีน้อย อนึ่ง ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤค ก็ไม่มีมาเบียดเบียนแก่เราเมื่อพวกเรามาอยู่ในป่า มีชีวิตอันตรมเตรียมมาตลอด ๗ เดือน เราพึงเห็นท่านผู้เป็นพราหมณ์บูชาไฟ ทรงเพศอันประเสริฐ ถือไม้เท้าสีดังผลมะตูม และ ลักจั่นน้ำนี้เป็นคนที่สอง ดูกรพราหมณ์ ท่านมาดีแล้ว อนึ่งท่านมิใช่มาร้าย ดูกรท่านผู้เจริญ เชิญท่านเข้าไปภายในเถิด เชิญล้างเท้าของท่านเถิด ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะทราง ผลหมากเม่า มีรสหวานปานน้ำผึ้ง เชิญเลือกฉันแต่ผลที่ดีๆ เถิดท่านพราหมณ์  แม้น้ำฉันนี้ก็เย็นสนิท เรานำมาแต่ซอกเขา  ดูกรพราหมณ์ ถ้าท่านจำนงหวังก็เชิญดื่มตามสบายเถิด ดังเราขอถามท่านมาถึงป่าใหญ่เพราะเหตุการณ์อะไรหนอ เราถามแล้วขอท่านจงบอกความนั้นแก่เราเถิด.
[๑๒๐๕] ห้วงน้ำ (ในปัญจมหานที) เต็มเปี่ยม  ไม่มีเวลาเหือดแห้งฉันใด
        พระองค์มีพระหฤทัยเต็มไปด้วยศรัทธา ฉันนั้น เกล้ากระหม่อมฉัน
        กราบทูลขอแล้ว ขอพระองค์ทรงพระกรุณาพระราชทานพระมเหสี แก่
        เกล้ากระหม่อมฉันเถิด.
[๑๒๐๖] ดูกรพราหมณ์ เราย่อมให้มิได้หวั่นไหว ท่านขอสิ่งใดเราก็จะให้สิ่งนั้น
        เราไม่ซ่อนเร้นสิ่งที่มีอยู่ ใจของเรายินดีในทาน.
[๑๒๐๗] พระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐ  ทรงกุมหัตถ์พระนางมัทรี จับเต้าน้ำหลั่งอุทกวารีพระราชทานพระนาง  ให้เป็นทานแก่พราหมณ์ ขณะนั้นเมื่อพระมหาสัตว์ทรงบริจาคพระนางมัทรีให้เป็นทานเกิดความอัศจรรย์น่าสยดสยองโลมชาติก็ชูชัน เมทนีดลก็กัมปนาทหวั่นไหว พระนางเจ้ามัทรีมิได้มีพระพักตร์เง้างอด มิได้ทรงขวยเขิน และมิได้ทรงกรรแสงทรงเพ่งดูพระราชสวามีโดยดุษณีภาพ โดยทรงเคารพเชื่อถือว่า ท้าวเธอทรงทราบซึ่งสิ่งอันประเสริฐ.
[๑๒๐๘] เมื่อตถาคตเป็นพระเวสสันดร  บริจาคชาลีกัณหาชินาซึ่งเป็นธิดาและพระมัทรีเทวี ผู้เคารพยำเกรงในพระราชสวามี มิได้คิดเสียดายเลยเพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น บุตรทั้งสองเป็นที่เกลียดชังของเราก็หามิได้ พระมัทรีเทวีไม่เป็นที่รักของเราก็หามิได้ แต่สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้นเราจึงได้ให้ของอันเป็นที่รัก.
[๑๒๐๙] ข้าพระบาทเป็นพระมเหสีของพระองค์ ตั้งแต่ยังแรกรุ่นสาว พระองค์
        ก็เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในข้าพระบาท พระองค์ปรารถนาจะพระราชทานข้า
        พระบาทแก่ผู้ใด ก็พึงพระราชทานได้ทรงปรารถนาจะขายหรือจะฆ่า ก็
        พึงทรงขายทรงฆ่าได้.
[๑๒๑๐] ท้าวสักกะจอมเทพ ทรงทราบชัดซึ่งความทรงดำริของสองกษัตริย์แล้วจึงตรัสชมดังนี้ว่าอันว่าข้าศึกทั้งมวลล้วนเป็นของทิพย์ (อันห้ามเสียซึ่งทิพสมบัติ) และเป็นของมนุษย์ (อันห้ามเสียซึ่งมนุษยสมบัติ) พระองค์ทรงชนะได้แล้วปฐพีก็บันลือลั่น  เสียงสนั่นบันลือไปถึงไตรทิพย์สายฟ้าแลบอยู่แปลบปลาบโดยรอบ เสียงสะท้านปรากฏดังหนึ่งว่าเสียงภูเขาถล่มทลาย  เทพเจ้าสองหมู่ผู้สิงสถิตอยู่ที่นารทบรรพตถวายอนุโมทนาแก่พระหน่อทศพลเวสสันดรนั้นว่า พระอินทร์ พระพรหม ท้าวประชาบดี จันทเทพบุตร พระยม ทั้งท้าวเวสสวัณมหาราช และ เทพเจ้าทั้งปวงย่อมถวายอนุโมทนาว่า พระเวสสันดรบรมกษัตริย์ ทรงกระทำกรรมที่ทำได้ยาก เมื่อคนดีทั้งหลายให้สิ่งที่ให้ได้ยาก  กระทำกรรมที่ทำได้ยาก คนไม่ดีย่อมทำตามไม่ได้ เพราะว่าธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายอันอสัตบุรุษตามได้โดยยาก เพราะฉะนั้น  ต่อจากนี้ คติของสัตบุรุษและของอสัตบุรุษ  ย่อมต่างกัน อสัตบุรุษ ย่อมไปนรก สัตบุรุษมีสวรรค์เป็นที่ไป การที่พระองค์เสด็จมาอยู่ในป่า ได้พระราชทานสองพระราชกุมารและพระมเหสีให้เป็นทานนี้ ชื่อว่าเป็นยานอันประเสริฐ ไม่เป็นยานก้าวลงสู่อบายภูมิ ขอปุตตทารมหาทานของพระองค์นั้น จงเผล็ดผลในสรวงสวรรค์.
[๑๒๑๑] ข้าพเจ้าขอถวายพระนางเจ้ามัทรีพระมเหสี ผู้งามทั่วสรรพางค์ คืนให้พระคุณเจ้า  พระองค์เท่านั้นเป็นผู้สมควรแก่พระมัทรี  และพระมัทรีก็คู่ควรกับพระราชสวามี น้ำนมและสังข์ทั้งสองนี้มีสีเสมอกัน  ฉันใด พระองค์และพระมัทรีก็มีพระหฤทัยเสมอกัน   ฉันนั้น ทั้งสองพระองค์เป็นกษัตริย์สมบูรณ์ด้วยพระโคตร เป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายพระชนนี และชนกทรงถูกขับไล่จากแว่นแคว้น มาอยู่ในอาศรมราวป่า บุญทั้งหลายที่พระองค์กระทำมาแล้วฉันใด ขอพระองค์ทรงให้ทานกระทำบุญอยู่ร่ำไปฉันนั้น.
[๑๒๑๒] ข้าแต่พระราชฤาษี หม่อมฉันเป็นท้าวสักกะจอมเทพ มาในสำนักของ
        พระองค์ ขอพระองค์จงทรงเลือกเอาพร หม่อมฉันขอถวายพร ๘ ประการแก่พระองค์.
[๑๒๑๓] ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งสรรพสัตว์ ถ้าพระองค์จะประสาทพระพรแก่หม่อมฉันไซร้ ขอให้พระบิดาจงมารับหม่อมฉัน  ขอพระบิดาพึงทรงต้อนรับหม่อมฉันผู้ออกจากป่านี้  ไปถึงเรือนของตนด้วยราชอาสน์ พรนี้เป็นที่ ๑ เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง ขอให้หม่อมฉันไม่พึงพอใจซึ่งการฆ่าคน แม้ผู้นั้นจะเป็นนักโทษถึงประหารชีวิตกระทำผิดอย่างร้ายกาจ  ขอให้หม่อมฉันพึงปล่อยให้พ้นจากการถูกประหารชีวิต พรนี้เป็นที่ ๒ เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง ขอให้ประชาชนทั้งปวงทั้งแก่เฒ่า เด็ก และปานกลาง  พึงเข้ามาอาศัยหม่อมฉันเลี้ยงชีวิต พรนี้เป็นที่ ๓ เป็นพรที่หม่อมฉันไม่พึงคบหาภรรยาผู้อื่น พึงพอใจแต่ในภรรยาของตน ไม่พึงลุอำนาจแห่งหญิงทั้งหลาย พรนี้เป็นที่ ๔ เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง ข้าแต่ท้าวสักกะ ขอให้บุตรของหม่อมฉัน  ผู้พลัดพรากไปนั้น พึงมีอายุยืนนาน พึงครองซึ่งแผ่นดินโดยธรรมเถิด พรนี้เป็นที่ ๕ เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง ตั้งแต่วันที่หม่อมฉันกลับคืนถึงพระนครเมื่อราตรีสิ้นไป พระอาทิตย์อุทัยขึ้นมาแล้ว ขอให้อาหารอันเป็นทิพย์พึงปรากฏ พรนี้เป็นที่ ๖ เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่งเมื่อหม่อมฉันให้ทานอยู่ ขอไทยธรรมอย่าได้หมดสิ้นไป เมื่อกำลังให้ ขอให้หม่อมฉันทำจิตให้ผ่องใส ครั้นให้แล้วขอให้หม่อมฉันไม่พึงเดือดร้อนใจในภายหลัง พรนี้เป็นที่ ๗ เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง เมื่อล่วงพ้นจากอัตภาพนี้ไป ขอให้หม่อมฉันครรไลยังโลกสวรรค์ ให้ได้ไปถึงชั้นดุสิต อันเป็นชั้นวิเศษ ครั้นจุติจากชั้นดุสิต นั้นแล้ว พึงมาสู่ความ เป็นมนุษย์ แล้วไม่พึงเกิดต่อไป พรนี้เป็นที่ ๘ เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา.
[๑๒๑๔] ครั้นท้าวสักกะจอมเทพทรงสดับพระดำรัสของ พระมหาสัตว์ เวสสันดร นั้นแล้ว ได้ตรัสดังนี้ว่าไม่นานนักดอก สมเด็จพระบิดาบังเกิดเกล้าของพระองค์ จักเสด็จมาทรงเยี่ยมพระองค์ ครั้นตรัสพระดำรัสเท่านี้แล้ว ท้าวสุชัมบดีมัฆวานเทวราช ทรงพระราชทานพรแก่พระเวสสันดรแล้วได้เสด็จกลับไปยังหมู่สวรรค์.
(นี้) ชื่อสักกบรรพ
[๑๒๑๕] นั่นหน้าของใครหนองามยิ่งนัก ดังทองคำอันนายช่างหลอมด้วยไฟสุกใส หรือดังแท่งทองคำอันละลายคว้างที่ปากเบ้า ฉะนั้นเด็กทั้งสองคนนี้มีอวัยวะคล้ายคลึงกัน มีลักษณะคล้ายคลึงกันคนหนึ่งคล้ายคลึงพ่อชาลี คนหนึ่งเหมือนแม่กัณหาชินา ทั้งสองคนมีรูปเสมอกัน ดังราชสีห์ออกจากถ้ำทอง ฉะนั้นเด็กสองคนนี้ปรากฏเหมือนดังหล่อด้วยทองคำเทียว.
[๑๒๑๖] ดูกรภารทวาชพราหมณ์ ท่านนำเด็กสองคนนี้มาจากไหนหนอ ท่านมา
        จากไหน ลุถึงแว่นแคว้นของเราในวันนี้.
[๑๒๑๗] ข้าแต่พระเจ้าสญชัยสมมติเทพ กุมารทั้งสองนี้มีผู้ให้แก่ข้าพระองค์ด้วย
        ความพอใจ ตั้งแต่วันที่ข้าพระองค์ได้สองกุมารนี้มา คืนวันนี้เป็นคืนที่ ๑๕
[๑๒๑๘] ท่านมีถ้อยคำดูดดื่มเพียงไร จึงได้เด็กสองคนนี้มา  ท่านควรทำให้เรา
        เชื่อโดยเหตุที่ชอบใครให้ลูกน้อยทั้งหลาย อันเป็นอุดมทาน ให้ทานนั้นแก่ท่าน.
[๑๒๑๙] พระองค์ใดเป็นที่พึ่งของเหล่ายาจกผู้มาขอ  ดังธรณีเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย พระองค์นั้น คือ พระเวสสันดรราช ซึ่งเสด็จไปอยู่ป่า ได้พระราชทานพระราชโอรส และพระราชธิดาแก่ข้าพระองค์ พระองค์ได้เป็นที่รับรองของเหล่ายาจกผู้มาขอ เหมือนสาครเป็นที่รับรองแห่งแม่น้ำทั้งหลาย ซึ่งไหลลงไป ฉะนั้น พระองค์นั้น คือ พระเวสสันดรราช ซึ่งเสด็จไปอยู่ป่าได้พระราชทานพระราชโอรส และพระราชธิดาแก่ข้าพระองค์.
[๑๒๒๐] ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย พระราชาผู้ยังทรงครองเรือนอยู่ เป็นผู้มีศรัทธาทรงกระทำกรรมไม่สมควรหนอ พระเวสสันดรถูกขับไล่ออกไปอยู่ป่า พึงพระราชทานพระราชโอรสและพระราชธิดาอย่างไรหนอ ท่านผู้เจริญทั้งหลายมีประมาณเท่าใด ซึ่งมาประชุมกันอยู่ในสมาคมนี้ จงพิจารณาเรื่องนี้ พระเวสสันดรราชประทับอยู่ในป่า อย่างไรจะพระราชทานพระราชโอรส และพระราชธิดาเล่า พระองค์ควรจะพระราชทานทาส ทาสี ม้า แม่ม้าอัสดร รถ ช้างกุญชร ทำไมจึงพระราชทานพระราชกุมารทั้งสองเล่า.
[๑๒๒๑] ข้าแต่สมเด็จพระอัยกา ทาส ม้า แม่ม้าอัสดร รถ และช้างกุญชรตัว
        ประเสริฐ ในเรือนของผู้ใดไม่มี ผู้นั้นจะพึงให้อะไร พระเจ้าข้า.
[๑๒๒๒] ดูกรพระหลานน้อย ปู่สรรเสริญทานแห่งบิดาของเจ้านั้น ปู่ไม่ได้ติเตียน
        เลย หฤทัยแห่งบิดาของเจ้าเป็นอย่างไรหนอ เพราะให้เจ้าทั้งสองแก่
        พราหมณ์แล้ว.
[๑๒๒๓] ข้าแต่พระอัยกามหาราช พระบิดาของเกล้ากระหม่อม พระราชทานเกล้า
        กระหม่อมทั้งสองแก่พราหมณ์แล้ว ได้ทรงสดับถ้อยคำร่ำพิลาป ที่พระ
        น้องกัณหาได้กล่าวแล้ว.
[๑๒๒๔] ทรงมีพระหฤทัยเป็นทุกข์และเร่าร้อน  มีดวงพระเนตรแดงดังหนึ่งดาว
        โรหิณี และมีพระอัสสุชลหลั่งไหล.
[๑๒๒๕] พระน้องกัณหาชินาได้กราบทูลสมเด็จพระบิดาดังนี้ว่า  ข้าแต่พระบิดาเจ้าขา พราหมณ์นี้เฆี่ยนตีเกล้ากระหม่อมฉันด้วยไม้เท้า ดังเฆี่ยนตีหญิง ทาสีอันเกิดในเรือนเบี้ย  พระบิดาเจ้าขา  ผู้นี้ไม่ใช่พราหมณ์เป็นแน่ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมตั้งอยู่ในธรรม ยักษ์แปลงเพศเป็นพราหมณ์มานำเอาเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองไปเพื่อจะกิน พระบิดาเจ้าขา เกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองถูกปีศาจนำไป ไฉนพระบิดาจึงทรงนิ่งดูดายเสียเล่าหนอ เพคะ.
[๑๒๒๖] มารดาของเจ้าทั้งสองเป็นพระราชบุตรี  และบิดาของเจ้าทั้งสองเป็น
        ราชบุตร แต่ก่อนเจ้าทั้งสองเคยขึ้นตักของปู่ บัดนี้เหตุไร จึงยืนอยู่ห่างไกลเล่าหนอ.
[๑๒๒๗] พระมารดาของเกล้ากระหม่อมทั้งสองเป็นพระราชบุตรี และพระบิดาของ
        เกล้ากระหม่อมทั้งสองเป็นพระราชบุตร แต่บัดนี้เกล้ากระหม่อมทั้งสอง
        เป็นทาสของพราหมณ์ เพราะฉะนั้น เกล้ากระหม่อมทั้งสองจึงยืนอยู่ห่างไกล พระเจ้าข้า.
[๑๒๒๘] หลานทั้งสองอย่าได้ชอบกล่าวอย่างนั้นเลย หทัยของปู่กำลังเร่าร้อน กายของปู่เหมือนดังถูกยกขึ้นไว้บนจิตกาธาน หลานรักทั้งสองยังความเศร้าโศกให้แก่ปู่ยิ่งนัก ปู่จักถ่ายหลานทั้งสองด้วยทรัพย์ หลานทั้งสองจักไม่ต้องเป็นทาส ดูกรพ่อชาลี บิดาของเจ้าทั้งสองได้ตีราคาเจ้าทั้งสองไว้เท่าไรให้แก่พราหมณ์ หลานทั้งสองจงบอกแก่ปู่ตามจริงเถิด พนักงานทั้งหลายจงให้พราหมณ์รับเอาทรัพย์ไปเถิด.
[๑๒๒๙] ข้าแต่สมเด็จพระอัยกา พระบิดาทรงตีราคาเกล้ากระหม่อมฉันมีค่าทองคำพันแท่ง ทรงตีราคาพระน้องกัณหาชินาผู้มีพระพักตร์อันผ่องใส ด้วยสัตว์พาหนะมีช้างเป็นต้นอย่างละร้อยๆ แล้วได้พระราชทานแก่พราหมณ์.
[๑๒๓๐] เหวยพนักงาน เองจงลุกขึ้นรีบไปนำทาส ทาสี ช้าง โค และโค
        อุสภราช อย่างละร้อยๆ กับทองคำพันแท่ง เอามาให้แก่พราหมณ์เป็น
        ค่าถ่ายพระหลานรักทั้งสอง.
[๑๒๓๑] ลำดับนั้น พนักงานรีบไปนำทาส ทาสี ช้าง โค และโคอุสภราช
        อย่างละร้อยๆ กับทองคำพันแท่งเอามาให้แก่พราหมณ์ เป็นค่าถ่ายสองพระกุมาร.
[๑๒๓๒] พนักงานได้ให้ทาส ทาสี ช้าง โค และโคอุสภราช แม้ม้าอัสดร รถและเครื่องใช้สอยทุกอย่างๆ ละร้อยๆ กับทองคำพันแท่ง แก่พราหมณ์ผู้แสวงหาทรัพย์ ผู้ขอเกินประมาณ  หยาบช้า เป็นค่าถ่ายพระกุมารทั้งสอง.
[๑๒๓๓] กษัตริย์ทั้งสอง คือ พระเจ้าสญชัยและพระราชเทวี ทรงถ่ายพระกุมารทั้งสองแล้ว รับสั่งให้พนักงานสรงสนานและให้พระกุมารทั้งสองเสวยเสร็จแล้ว ทรงประดับประดาด้วยอาภรณ์ทั้งหลาย แล้วทรงอุ้มขึ้นให้ประทับบนพระเพลา พระกุมารทั้งสองทรงสรงสนานพระเศียรแล้วทรงพระภูษาอันสะอาด ประดับด้วยสรรพาภรณ์ พระราชาผู้พระอัยกา ทรงอุ้มพระชาลีขึ้นประทับบนพระเพลา แล้วตรัสถาม พระกุมารทั้งสองทรงประดับกุณฑล อันมีเสียงดังก้อง น่าเพลิดเพลินใจ ทรงประดับพวงมาลัยและสรรพาลังการแล้ว พระราชาทรงอุ้มพระชาลีขึ้นประทับบนพระเพลา แล้วได้ตรัสถามว่า ดูกรพ่อชาลี พระชนกชนนีทั้งสองของหลานรัก ไม่มีโรคดอกหรือ  แสวงหาผลาหารเลี้ยงชนมชีพสะดวกแหละหรือ มูลผลาหารมีมากแหละหรือ เหลือบ ยุงและสัตว์เสือกคลานมีน้อยแหละหรือ ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย ไม่มีมาเบียดเบียนแหละหรือ.
[๑๒๓๔] ขอเดชะ พระชนกชนนีของเกล้ากระหม่อมทั้งสองพระองค์ นั้นไม่มีโรค  อนึ่ง ทรงแสวงหามูลผลาหารเลี้ยงพระชนมชีพได้สะดวก มูลผลาหารมีมาก เหลือบ ยุง และสัตว์เสือกคลานก็มีน้อย ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย ไม่มีมาเบียดเบียนพระชนกชนนีทั้งสอง พระชนนีของเกล้ากระหม่อมฉัน ทรงขุดรากบัว เหง้าบัว มันอ่อน ทรงสอย ผลพุทรา ผลรกฟ้า มะตูม  นำมาเลี้ยงพระชนกและเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสอง พระชนนีทรงนำเอาเหง้าไม้และผลไม้ใดๆ มาจากป่า  พระชนกและเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองมารวมพร้อมกันเสวยเหง้าไม้ และผลไม้นั้นๆ ในเวลากลางคืน ไม่ได้เสวยในเวลากลางวันเลย พระชนนีของเกล้ากระหม่อมทั้งสองผู้เป็นสุขุมาลชาติ  ต้องเที่ยวแสวงหาผลไม้ มีพระฉวีวรรณผอมเหลือง เพราะลมและแดด เหมือนดอกปทุม อันถูกขยำด้วยมือ ฉะนั้น เมื่อพระชนนีเสด็จเที่ยวไปในป่าใหญ่ ซึ่งเป็นป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย  เป็นที่อาศัยแห่งแรดและเสือเหลือง พระเกสาของพระองค์อันมีสีดังปีกแมลงภู่  ถูกกิ่งไม้เป็นต้นเกี่ยวให้กระจุยกระจาย พระชนนีทรงขมวดมุ่นพระเมาลี ทรงไว้ซึ่งเหงื่อไคลที่พระกัจฉะประเทศ (ทรงเพศเป็นดาปสินีอันประเสริฐ ทรงถือไม้ขอทรงเครื่องบูชาไฟ และมุ่นพระเมาลี) ทรงพระภูษาหนังสัตว์ บรรทมเหนือปถพี ทรงบูชาไฟ.
[๑๒๓๕] บุตรทั้งหลายเกิดขึ้นมาแล้ว ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ในโลก พระอัยกา
        ของเราไม่ทรงเกิดพระสิเนหาในพระโอรสเสียเลยเป็นแน่.
[๑๒๓๖] ดูกรพระหลานน้อย จริงทีเดียว การที่ปู่ให้ขับไล่พระบิดาของเจ้าผู้ไม่มีโทษ เพราะถ้อยคำของชาวสีพีทั้งหลายนั้น ชื่อว่าปู่ได้ทำกรรมอันชั่วช้า และชื่อว่าทำกรรมเครื่องทำลายความเจริญ สิ่งใดๆ ของปู่มีอยู่ในนครนี้ก็ดี ทรัพย์และธัญชาติที่มีอยู่ก็ดี ปู่ขอยกให้แก่พระบิดาของเจ้าทั้งสิ้น ขอให้เวสสันดรจงมาเป็นพระราชาปกครองในสีพีรัฐเถิด.
[๑๒๓๗] ขอเดชะ สมเด็จพระชนกของเกล้ากระหม่อมฉัน  คงจักไม่เสด็จมาเป็นพระราชาของชาวสีพี เพราะถ้อยคำของเกล้ากระหม่อมฉัน ขอให้สมเด็จพระอัยกาเสด็จไป  ทรงอภิเษกพระบิดาของเกล้ากระหม่อมฉันด้วยราชูปโภค เองเถิดพระเจ้าข้า.
[๑๒๓๘] ลำดับนั้น พระเจ้าสญชัยได้ดำรัสสั่งเสนาบดีว่า กองทัพ คือ พลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้า จงผูกสอดอาวุธ (จงเตรียมให้พร้อมสรรพ) ชาวนิคม  พราหมณ์และปุโรหิตทั้งหลาย จงตามเราไป ถัดจากนั้นพวกโยธีหกหมื่นผู้มีสง่างาม พร้อมสรรพด้วยเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ประดับด้วยผ้าสีต่างๆ กัน จงตามมาเร็วพลัน พวกโยธีผู้พร้อมสรรพด้วยเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ ประดับด้วยผ้าสีต่างๆ กัน คือ พวกหนึ่งแต่งผ้าสีเขียว พวกหนึ่งแต่งผ้าสีเหลือง พวกหนึ่งแต่งผ้าสีแดง พวกหนึ่งแต่งผ้าสีขาว จงตามมาเร็วพลัน ภูเขาคันธมาทน์อันมีในป่าหิมพานต์สะพรั่งไปด้วยคันธชาติ ดารดาษด้วยพฤกษานานาชนิด เป็นที่อาศัยอยู่แห่งหมู่สัตว์ใหญ่ๆ  และมีต้นไม้เป็นทิพยโอสถ ย่อมสว่างไสวและหอมไปทั่วทิศ ฉันใด เหล่าโยธีทั้งหลาย ผู้พร้อมสรรพด้วยเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ จงตามมาเร็วพลัน ก็จงรุ่งเรืองและมีเกียรติฟุ้งขจรไป ฉันนั้น ถัดจากนั้น จงจัดช้างที่สูงใหญ่หมื่นสี่พัน มีสายรัดประคนทอง มีเครื่องประดับและเครื่องปกคลุมศีรษะอันขจิตด้วยทอง มีนายควาญช้างถือโตมร และขอขึ้นขี่คอประจำเตรียมพร้อมสรรพ ประดับประดาอย่างสวยงาม จงตามมาเร็วพลัน ถัดจากนั้น จงจัดม้าสินธพชาติอาชาไนยอันมีฝีเท้าจัดหมื่นสี่พัน  พร้อมด้วยนายควาญม้าประดับประดาด้วยอลังการ ถือแส้และเกาทัณฑ์ ผูกสอดเครื่องรบขึ้นประจำหลัง จงตามมาเร็วพลัน ถัดจากนั้นจงจัดกระบวนรถรบหมื่นสี่พัน  มีกำกงอันหุ้มด้วยเหล็กเรือนรถวิจิตรด้วย  และจงยกธงขึ้นปักบนรถนั้นๆ พวกนายขมังธนูผู้ยิงได้แม่นยำ เป็นคนคล่องแคล่วในรถทั้งหลายจงเตรียมโล่ห์ เกราะและเกาทัณฑ์ไว้ให้เสร็จ  พลโยธีเหล่านี้ จงตระเตรียมให้พร้อมรีบตามมา.
[๑๒๓๙] เวสสันดรโอรสของเรา จักเสด็จมาโดยมรรคาใดๆ ตามมรรคานั้นๆ จงให้โปรยข้าวตอก ดอกไม้ มาลัย ของหอมและเครื่องลูบไล้ และ จงให้ตั้งเครื่องบูชาอันมีค่ารับเสด็จ ในบ้านหนึ่งๆ จงให้ตั้งหม้อสุราเมรัยรับไว้ บ้านละร้อยๆ รายไปตามมรรคาที่เวสสันดรโอรสของเราจักเสด็จมา จงให้ตั้งมังสาหารและขนม เช่น ขนมแตกงา ขนมกุมมาส อันปรุงด้วยเนื้อปลา  รายไปตามมรรคาที่เวสสันดรโอรสของเราจักเสด็จมา จงให้ตั้งเนยใส น้ำมัน นมส้ม นมสด ขนมที่ทำด้วยข้าวฟ่างและสุราเป็นอันมาก  รายไปตามมรรคาที่เวสสันดรโอรสของเราจักเสด็จมาให้มีพนักงานวิเศษทั้งครัวหวานและครัวคาว จัดตั้งไว้เลี้ยงประชาชนทั่วไป ให้มีมหรสพฟ้อนรำขับร้องทุกๆ อย่าง เพลงปรบมือ กลองยาว ช่างขับเสภาอันบรรเทาความเศร้าโศก พวกมโหรีจงเล่นดนตรีดีดพิณ พร้อมทั้งกลองน้อยกลองใหญ่ เป่าสังข์ ตีกลองหน้าเดียว ตะโพน บัณเฑาะว์ สังข์ จะเข้ กลองใหญ่ กลองเล็ก รายไปตามมรรคาที่เวสสันดรโอรสของเราจักเสด็จมา.
[๑๒๔๐] กองทัพของสีพีรัฐเป็นกองทัพใหญ่ อันจัดเป็นกระบวนตั้งไว้เสร็จแล้วนั้น มีพระชาลีราชกุมารเป็นผู้นำทาง ได้ยาตราไปยังเขาวงกต ช้างกุญชรตัวประเสริฐมีอายุ ๖๐ ปี มีสายรัดประคนทอง ผูกตกแต่งไว้ บันลือก้องโกญจนาทกระหึ่มอยู่ เหล่าม้าอาชาไนยย่อมแผดเสียงดังสนั่น เสียงกงรถดังกึกก้อง ธุลีละอองฟุ้งตลบนภากาศ กองทัพของสีพีรัฐอันจัดเป็นกระบวนยาตราไปเป็นกองทัพใหญ่ สามารถจะทำลายล้างราชดัสกรได้ มีพระชาลีราชกุมารเป็นผู้นำทาง  ได้ยาตราไปยังเขาวงกต  พระเจ้าสญชัยพร้อมด้วยราชบริพารเหล่านั้นเสด็จเข้าป่าใหญ่ ซึ่งมีต้นไม้มีกิ่งก้านมาก มีน้ำมาก ดารดาษไปด้วยไม้ดอกและไม้ผลทั้งสองอย่าง ในป่าใหญ่นั้น ฝูงวิหคเป็นอันมากหลากๆ สี มีเสียงกลมกล่อมหวาน ไพเราะเกาะอยู่บนต้นไม้อันเผล็ดดอกตามฤดูกาล ร้องประสานเสียง  เสียงระเบงเป็นคู่ๆ พระเจ้าสญชัยพร้อมทั้งราชบริพารเหล่านั้น เสด็จไประยะทางไกลล่วงหลายวันหลายคืน จึงบรรลุถึงประเทศที่พระเวสสันดรประทับอยู่.
(นี้) ชื่อมหาราชบรรพ.
[๑๒๔๑] พระเวสสันดรได้ทรงสดับเสียงกึกก้องแห่งกองพลเหล่านั้น ก็ตกพระทัยกลัวเสด็จขึ้นภูเขา ทรงหวาดกลัวทอดพระเนตรดูกองพลเสนา ตรัสว่า  ดูกรมัทรี เชิญมาดูซิ เสียงอันกึกก้องเช่นใดในป่า ม้าอาชาไนยส่งเสียงร้องกึกก้อง เห็นปลายธงปลิวไสว  นายพรานไพรทั้งหลายขึงข่ายล้อมฝูงเนื้อในป่า ไล่ต้อนให้ตกลงในหลุม แล้วไล่ทิ่มแทงด้วยหอก เลือกเอาแต่ตัวพีๆ ฉันใด เราทั้งสองก็ฉันนั้น เป็นผู้ไม่มีโทษผิด ถูกขับไล่จากแว่นแคว้นมาอยู่ในป่า  ย่อมเป็นผู้ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกอมิตรเป็นแน่ ดูเอาเถิดซึ่งบุคคลผู้ประหารคนไม่มีกำลัง.
[๑๒๔๒] พวกอมิตรไม่พึงย่ำยีพระองค์ เปรียบเหมือนไฟในห้วงน้ำ  ฉะนั้น ขอ
        พระองค์จงระลึกถึงข้อนั้นแหละ แต่นี้ไปจะพึงมีแต่ความสวัสดีโดยแท้.
[๑๒๔๓] ลำดับนั้น พระเวสสันดรราชเสด็จลงจากภูเขาแล้วประทับนั่งในบรรณ
        ศาลา ทรงทำพระมนัสให้มั่นคง.
[๑๒๔๔] พระบิดาดำรัสสั่งให้กลับรถ ให้ประเทียบกระบวนทัพไว้แล้วเสด็จเข้าไปหาพระราชโอรสผู้ประทับอยู่ในป่าเดียวดาย เสด็จลงจากคอช้างพระที่นั่งต้น ทรงเฉวียงพระอังสาประนมพระหัตถ์ แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ เสด็จเข้าไปเพื่อทรงอภิเษกพระราชโอรส ณ ที่นั้น ท้าวเธอได้ทอดพระเนตรเห็นพระราชโอรสทรงเพศบรรพชิต นั่งเข้าฌานอยู่ในบรรณศาลาไม่หวั่นไหวแน่วแน่ ไม่มีภัยแต่ไหน.
[๑๒๔๕] ก็พระเวสสันดรและพระนางเจ้ามัทรี  ทอดพระเนตรเห็นพระบิดาผู้มีความรักในบุตรกำลังเสด็จมา ทรงต้อนรับถวายอภิวาท ฝ่ายพระนางเจ้ามัทรี ทรงซบพระเศียรอภิวาทแทบพระบาทพระสัสสุระกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมมติเทพ เกล้ากระหม่อมฉันมัทรีผู้สะใภ้ของพระองค์ ขอถวายบังคม ณ พระยุคลบาทของพระองค์ พระเจ้าสญชัยทรงสวมกอดสองกษัตริย์ประทับทรวง ฝ่าพระหัตถ์ลูบพระปฤษฎางค์อยู่ไปมา ณ อาศรมนั้น.
[๑๒๔๖] ดูกรพระลูกรัก  ลูกทั้งสองไม่มีโรคาพาธหรือหนอ ลูกทั้งสองสำราญดี
        หรือ ทั้งมูลมันผลไม้มีมากหรือ เหลือบ ยุง และสัตว์เสือกคลานมี
        น้อยแลหรือ ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤค ไม่มีมาเบียดเบียนแลหรือ.
[๑๒๔๗] ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ชีวิตของข้าพระบาททั้งสองย่อมเป็นไปตามมีตามได้ ข้าพระบาททั้งสองเป็นอยู่อย่างฝืดเคือง ชีวิตเป็นอยู่ได้ด้วยการเที่ยวแสวงหามูลผลาผล ข้าแต่พระมหาราช นายสารถีทรมานม้าให้หมดฤทธิ์ ฉันใด ข้าพระบาททั้งสองย่อมเป็นผู้ถูกทรมานให้หมดฤทธิ์ ฉันนั้น ความสิ้นฤทธิ์ย่อมทรมานข้าพระบาททั้งสอง ข้าแต่พระมหาราช เมื่อข้าพระบาททั้งสองผู้ถูกเนรเทศโศกเศร้าอยู่ในป่าเนืองนิตย์ เนื้อหนังก็ซูบซีด เพราะมิได้เห็นพระชนกชนนี.
[๑๒๔๘] ทายาทผู้มีมโนรถยังไม่สำเร็จของฝ่าพระบาทผู้จอมสีพีรัฐ คือ ชาลีและกัณหาชินา ทั้งสองตกอยู่ในอำนาจของพราหมณ์ผู้มุทะลุหยาบช้า มันต้อนตีเอาชาลีกัณหาชินาทั้งสองนั้นเหมือนดังโค ถ้าพระองค์ทรงทราบหรือทรงได้สดับข่าวลูกทั้งสองของพระราชบุตรีนั้น ขอได้ทรงพระกรุณาตรัสบอกแก่ข้าพระบาทโดยเร็วพลัน ดังหมอรีบพยาบาลคนที่ถูกงูกัด ฉะนั้นเถิด.
[๑๒๔๙] กุมารทั้งสองนั้น คือ ชาลีและกัณหาชินา พ่อได้ให้ทรัพย์แก่พราหมณ์
        ถ่ายมาแล้ว ดูกรลูกรัก อย่ากลัวไปเลย จงเบาใจเถิด.
[๑๒๕๐] ข้าแต่สมเด็จพระบิดา ฝ่าพระบาทไม่มีโรคาพาธหรือหนอ ทรงพระสำราญ
        ดีหรือ พระจักษุแห่งพระชนกชนนีของข้าพระบาท ยังไม่เสื่อมเสียแหละหรือ.
[๑๒๕๑] ดูกรลูกรัก พ่อไม่มีโรคาพาธ และสบายดี อนึ่ง จักษุแห่งมารดาของเจ้าก็ไม่เสื่อมเสีย.
[๑๒๕๒] ยวดยานของฝ่าพระบาทไม่ทรุดโทรมหรือ พลพาหนะยังใช้ได้คล่องแคล่ว
        หรือ ชนบทเจริญดีอยู่หรือ ฝนไม่แล้งหรือ พระเจ้าข้า.
[๑๒๕๓] ยวดยานของเราไม่ทรุดโทรม พลพาหนะยังใช้ได้คล่องแคล่ว ชนบท
        เจริญดี และฝนไม่แล้ง.
[๑๒๕๔] เมื่อสามกษัตริย์ทรงสนทนากันอยู่อย่างนี้ พระมารดาผู้เป็นราชบุตรี ไม่ทรงฉลองพระบาท เสด็จดำเนินไปปรากฏที่ปากทวารเขา ก็พระเวสสันดร และพระมัทรี   ทอดพระเนตรเห็นพระมารดาผู้มีความรักในบุตรกำลังเสด็จมา ทรงต้อนรับถวายอภิวาท ฝ่ายพระนางเจ้ามัทรี ทรงซบเศียรเกล้าอภิวาทแทบพระบาท พระสัสสุกราบทูลว่า  ข้าแต่พระแม่เจ้า เกล้ากระหม่อมฉันมัทรีผู้สะใภ้ ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระแม่เจ้า.
[๑๒๕๕] ก็พระโอรสทั้งสองผู้เสด็จมาโดยสวัสดีแต่ที่ไกล  ทอดพระเนตรเห็นพระนางเจ้ามัทรี ก็คร่ำครวญวิ่งเข้าไปหา ดังหนึ่งลูกโคน้อยวิ่งเข้าหาแม่ ฉะนั้น  ส่วนพระนางเจ้ามัทรีพอทอดพระเนตรเห็นพระโอรสทั้งสองผู้เสด็จมาโดยสวัสดี แต่ที่ไกล  ทรงสั่นระรัวไปทั่วพระกาย เหมือนแม่มดที่ผีสิง ฉะนั้น น้ำนมก็ไหลออกจากพระถันทั้งคู่.
[๑๒๕๖] เมื่อพระญาติทั้งหลายมาพร้อมกันแล้ว ขณะนั้นได้เกิดเสียงสนั่นกึกก้อง ภูเขาทั้งหลายสั่นสะท้าน  แผ่นดินไหวสะเทือน ฝนตกลงเป็นท่อธาร ครั้งนั้น พระเวสสันดรราชได้สมาคมร่วมด้วยพระญาติ คือ พระราชา พระเทวี พระโอรส พระสุณิสา และพระราชนัดดาทั้งสองพระองค์  พระญาติทั้งหลายมาประชุมพรักพร้อมกันแล้ว ณ กาลใด  ในกาลนั้น ได้เกิดความอัศจรรย์น่าขนพองสยองเกล้า ประชาราษฎร์ทั้งปวงพร้อมใจกัน  ประนมอัญชลีถวายบังคมพระมหาสัตว์ คร่ำครวญวิงวอนพระเวสสันดรและพระนางเจ้ามัทรี  ในป่าอันน่าหวาดกลัวว่า  พระองค์เป็นพระราชาผู้เป็นใหญ่แห่งข้าพระบาททั้งหลาย  ขอทั้งสองพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดรับเสวยราชสมบัติเป็นพระราชาแห่งข้าพระบาททั้งหลายเทอญ.
(นี้) ชื่อฉขัตติยบรรพ.
[๑๒๕๗] ฝ่าพระบาท  ชาวชนบทและชาวนิคม  พร้อมใจกันเนรเทศข้าพระบาท
        ผู้ครองราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรม จากแว่นแคว้น.
[๑๒๕๘] ดูกรพระลูกรัก จริงทีเดียว การที่พ่อขับไล่ลูกผู้ไม่มีโทษผิดออกไปจาก
        แว่นแคว้น เพราะถ้อยคำของชาวสีพีนั้น ชื่อว่าพ่อได้ทำกรรมอันชั่วช้า
        และชื่อว่าพ่อได้ทำกรรมเครื่องทำลายความเจริญ.
[๑๒๕๙] ขึ้นชื่อว่าบุตร ควรช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ของมารดาบิดาและพี่น้องที่เกิดขึ้น เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ด้วยชีวิตของตน (ข้าแต่พระมหาราชา เวลานี้เป็นเวลาสมควรที่จะสรงสนาน ขอเชิญทรงชำระพระสรีระมลทินเถิด พระเจ้าข้า).
[๑๒๖๐] ลำดับนั้น พระเวสสันดรบรมกษัตริย์ ทรงชำระพระสรีระมลทิน ครั้นแล้วไม่ทรงเพศดาบส.
[๑๒๖๑] พระเวสสันดรบรมกษัตริย์  สระพระเกศาแล้ว ทรงเศวตพัสตร์อันสะอาด  ทรงประดับด้วยเครื่องราชปิลันทนาภรณ์ทุกอย่าง  ทรงสอดพระแสงขรรค์อันทำให้ราชปัจจามิตรเกรงขาม เสด็จขึ้นทรงพระยาปัจจยนาคเป็นพระคชาธาร ครั้งนั้น เหล่าสหชาติโยธาหาญทั้งหกหมื่นสวมสอดสรรพาวุธและประดับสรรพาภรณ์ล้วนด้วยทอง  เป็นสง่างามน่าดู ต่างชื่นชมยินดี แวดล้อมพระมหากษัตริย์ผู้เป็นจอมทัพ ลำดับนั้น เหล่าพระสนมกำนัลของพระเจ้าสีพีมาประชุมพร้อมกัน  เชิญพระมัทรีให้โสรจสรงด้วยสุคนธวารี แล้วทูลถวายพระพรว่า ขอพระเวสสันดรจงทรงอภิบาลรักษาพระแม่เจ้าของพระชาลี และพระกัณหาชินาทั้งสองพระองค์จงทรงบำรุงรักษาพระแม่เจ้าต่อไป  อนึ่ง ขอพระเจ้าสญชัยมหาราช จงทรงคุ้มครองรักษาพระแม่เจ้ายิ่งขึ้นไป เทอญ.
[๑๒๖๒] ก็พระเวสสันดรบรมกษัตริย์และพระมัทรี กลับมาได้ดำรงในสิริราชสมบัตินี้ตามเดิมแล้ว ทรงระลึกถึงความลำบากขณะที่เสด็จไปประทับอยู่ในป่าในกาลก่อน  จึงรับสั่งให้นำกลองนันทเภรีไปตีประกาศที่เวิ้งว้างหว่างเขาวงกต อันเป็นรัมณียสถาน ก็พระเวสสันดรบรมกษัตริย์และพระมัทรี กลับมาได้ดำรงในสิริราชสมบัตินี้ตามเดิมแล้ว พระมัทรีผู้สมบูรณ์ด้วยลักขณา  ทรงระลึกถึงความลำบากขณะที่เสด็จไปประทับอยู่ในป่าในกาลก่อน  ครั้นได้ทรงประสบพระโอรสพระธิดา ก็มีพระทัยปราโมทย์ เกิดโสมนัส  ก็พระเวสสันดรบรมกษัตริย์และพระมัทรีผู้มีลักขณา  กลับมาได้ดำรงในสิริราชสมบัตินี้ตามเดิมแล้ว ทรงระลึกถึงความลำบากขณะที่เสด็จไปประทับอยู่ในป่าในกาลก่อน  และได้มาอยู่ร่วมกับพระโอรสและพระธิดา จึงมีพระหฤทัยชื่นชมยินดีปิติโสมนัส.
[๑๒๖๓] ดูกรลูกรักทั้งสอง ในกาลก่อน คือ เมื่อพราหมณ์นำลูกทั้งสองไป แม่มีความปรารถนาลูกทั้งสอง  แม่จึงได้บำเพ็ญวัตรนี้ คือ แม่บริโภคอาหารวันละครั้ง นอนเหนือพื้นแผ่นดินเป็นนิตย์ วัตรของแม่นั้นสำเร็จแล้วในวันนี้ เพราะได้พบพระลูกทั้งสองแล้ว ดูกรลูกรักทั้งสอง ขอความโสมนัสอันเกิดจากแม่และแม้ที่เกิดจากพระบิดา  จงคุ้มครองลูกอนึ่งเล่า ขอพระเจ้าสญชัยมหาราช  จงทรงอภิบาลรักษาลูก บุญกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่แม่ก็ดี พระบิดาของลูกก็ดี กระทำแล้วมีอยู่ ด้วยบุญกุศลทั้งหมดนั้น ขอให้ลูกจงเป็นผู้ไม่แก่ตาย.
[๑๒๖๔] พระนางมัทรีจะทรงงดงามด้วยพระภูษาอย่างใด สมเด็จพระผุสดีสัสสุราชเทวีก็ทรงจัดพระภูษาอย่างนั้น คือ พระภูษากัปปาสิกพัตร โกสัยพัตร โขมพัตร และโกทุมพรพัตร ส่งไปประทานแก่พระมัทรีราชสุณิสา พระนางมัทรีจะทรงงดงามด้วยเครื่องประดับอย่างใด  พระสัสสุผุสดีราชเทวี  ก็ทรงจัดเครื่องประดับอย่างนั้น คือ พระธำมรงค์สุวรรณรัตน์  สร้อยพระศอนพรัตน์ ส่งไปประทานแก่พระมัทรีราชสุณิสา พระนางมัทรีจะทรงงดงามด้วยเครื่องประดับอย่างใด พระผุสดีสัสสุราชเทวีก็ทรงจัดเครื่องประดับอย่างนั้น  คือ พระวลัยสำหรับประดับต้นพระพาหาพระกุณฑลสำหรับประดับพระกรรณ  สายรัดพระองค์ฝังแก้วมณีตาบเพชร ไปประทานแก่พระมัทรีราชสุณิสา พระนางมัทรีจะทรงงดงามด้วยเครื่องประดับอย่างใด พระผุสดีสัสสุราชเทวีก็ทรงจัดเครื่องประดับอย่างนั้น คือ ดอกไม้กรองเครื่องประดับพระ
เมาฬี เครื่องประดับพระนลาต และเครื่องประดับฝังแก้วมณีสีต่างๆ กัน  ไปประทานแก่พระมัทรีราชสุณิสา พระนางมัทรีจะทรงงดงามด้วยเครื่องประดับอย่างใด พระผุสดีสัสสุราชเทวี ก็ทรงจัดเครื่องประดับอย่างนั้น คือ เครื่องประดับพระถัน เครื่องประดับพระอังษา  สอิ้งเพชร ฉลองพระบาทส่งไปประทานแก่พระมัทรีราชสุณิสา เครื่องประดับที่สมเด็จพระนางผุสดีส่งไปประทานนั้นมีทั้งที่ต้องร้อยด้วยเชือก ทั้งที่ไม่ต้องร้อยด้วยเชือก  สมเด็จพระผุสดีทรงตรวจดูเครื่องประดับพระนางมัทรี  ทรงเห็นที่ใดยังบกพร่องก็รับสั่งให้นำมาประดับเพิ่มเติมจนเต็ม  พระนางมัทรีราชบุตรีทรงงดงามยิ่งนัก  ดังนางเทพกัญญาในนันทวัน พระนางมัทรีราชบุตรีสระพระเกศาแล้วทรงเศวตพัสตร์ ประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวง ทรงงดงามยิ่งนัก ดังนางเทพอัปสรในดาวดึงส์  วันนั้น พระนางมัทรีราชบุตรีทรงงดงามน่าพิศวง  ดังต้นกล้วยอันเกิดในสวนจิตตลดาถูกลมรำเพยพัดไหวไปมา ฉะนั้น พระนางมัทรีราชบุตรี  ทรงมีไรพระทนต์แดงดังผลตำลึงสุกงามยิ่งนัก มีพระโอษฐ์แดงดังผลไทรสุก งดงามยิ่งนัก ปานดังกินรีมีขนปีกงามวิจิตร บินร่อนอยู่ในอากาศ ฉะนั้น.
[๑๒๖๕] เหล่าพนักงานตกแต่งตรุณหัตถี มีวัยปานกลาง  อันเป็นช้างพระที่นั่งต้นตัวประเสริฐอดทนต่อหอกซัดและลูกศร  มีงางอนงามดังงอนรถ มีกำลังกล้าหาญ เสร็จแล้วให้นำมาประเทียบเกยคอยรับเสด็จ  สมเด็จพระมัทรี เสด็จขึ้นประทับบนหลังตรุณหัตถี อันมีวัยปานกลาง เป็นช้างพระที่นั่งต้นตัวประเสริฐ อดทนต่อหอกซัดและลูกศร มีงางอนงามดังงอนรถ มีกำลังกล้าหาญ.
[๑๒๖๖] เนื้อประมาณเท่าใดที่มีอยู่ในป่าทั้งปวง ณ เขาวงกตนั้น เนื้อประมาณเท่านั้น  ไม่เบียดเบียนกันและกันด้วยเดชของพระเวสสันดร  นก  ประมาณเท่าใดที่มีอยู่ในป่าทั้งปวง ณ เขาวงกตนั้น นกประมาณเท่านั้น ไม่เบียดเบียนกันและกันด้วยเดชของพระเวสสันดร เนื้อประมาณเท่าใด ที่มีอยู่ในป่าทั้งปวง ณ เขาวงกตนั้น   มาประชุมในที่เดียวกัน ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญจะเสด็จกลับ นกประมาณเท่าใดที่มีอยู่ในป่าทั้งปวง ณ เขาวงกตนั้น  มาประชุมในที่เดียวกัน  ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญจะเสด็จกลับ  เนื้อประมาณเท่าใดที่มีอยู่ในป่าทั้งปวง ณ เขาวงกตนั้น เนื้อประมาณเท่านั้นต่างพากันมีทุกข์ เพราะจะต้องพลัดพรากจากพระเวสสันดร  มิได้ส่งเสียงร้องอันไพเราะเหมือนกาลก่อน ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญจะเสด็จกลับ นกประมาณเท่าใด ที่มีอยู่ในป่าทั้งปวง ณ เขาวงกตนั้น นกประมาณเท่านั้น ต่างพากันมีทุกข์ เพราะจะต้องพลัดพรากจากพระเวสสันดรมิได้ส่งเสียงอันไพเราะเหมือนในกาลก่อน ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ จะเสด็จกลับ.
[๑๒๖๗] ราชวิถีที่จะเสด็จพระราชดำเนินนั้น ประชาราษฎร์ช่วยกันตกแต่งราบรื่นงามวิจิตร ลาดด้วยดอกไม้ ตั้งแต่เขาวงกตที่พระเวสสันดรราชประทับอยู่  ตราบเท่าถึงพระนครเชตุดร ลำดับนั้น เหล่าอำมาตย์สหชาติโยธาหาญทั้งหกหมื่น แต่งเครื่องพร้อมสรรพงามสง่าน่าดู พากันตามเสด็จแวดล้อมโดยรอบ ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญเสด็จกลับพระนคร พระสนมกำนัลใน พระกุมารที่เป็นพระประยูรญาติ และบุตรอำมาตย์ พวกพ่อค้าและพราหมณ์ทั้งหลาย พากันตามเสด็จแวดล้อมโดยรอบ ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญเสด็จกลับพระนคร กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ กองพลเดินเท้า พากันตามเสด็จแวดล้อมโดยรอบ ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญเสด็จกลับพระนคร  ชาวชนบทและชาวนิคม พร้อมใจกันมาประชุมแวดล้อมอยู่โดยรอบ ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญเสด็จกลับพระนครเหล่าโยธาสวมหมวกแดง สวมเกราะหนัง ถือธนู ถือโล่ห์ดั้ง เดินนำหน้า ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญเสด็จกลับพระนคร.
[๑๒๖๘] กษัตริย์ทั้งหกพระองค์นั้น เสด็จเข้าสู่พระนครอันน่ารื่นรมย์ มีป้อมปราการและทวารเป็นอันมาก  บริบูรณ์ด้วยข้าวน้ำ บริบูรณ์ด้วยการฟ้อนรำขับร้องทั้งสองอย่าง ชาวชนบทและชาวนิคมต่างชื่นชมยินดี มาประชุมพร้อมกัน ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญเสด็จมาถึง เมื่อพระมหาสัตว์ผู้พระราชทานทรัพย์เสด็จมาถึงแล้ว  ชาวชนบทและชาวนิคมต่างเปลื้องผ้าโพกออกโบกสะบัดอยู่ไปมา พระองค์รับสั่งให้นำกลองนันทเภรีไปตีประกาศในพระนคร  รับสั่งให้ประกาศปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลายจากเครื่องจองจำ.
[๑๒๖๙] ขณะเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ เสด็จเข้าพระนครแล้ว ท้าวสักกเทวราชทรงบันดาลฝนเงินให้ตกลงในขณะนั้น ลำดับนั้น พระเวสสันดรบรมกษัตริย์ผู้มีพระปัญญา ทรงบำเพ็ญทานแล้ว ครั้นสวรรคตพระองค์ก็ได้เสด็จเข้าถึงสวรรค์ ฉะนี้แล.
(นี้) ชื่อนครกัณฑ์. จบ มหาเวสสันตรชาดกที่ ๑๐.
จบ มหานิบาตชาดก.
จบชาดก
ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี   อรรถกถา  หน้าต่างที่ [ ๑ ] [ ๒ ] [ ๓ ] [ ๔ ] [ ๕ ] [ ๖ ] [ ๗ ] [ ๘ ] 

ไม่มีความคิดเห็น: