Translate

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2568

อรรถกถา สังกิจจชาดก ว่าด้วย สังกิจจฤาษีแสดงธรรมและอธรรมแก่พระเจ้าพรหมทัตต์

ว่าด้วย สังกิจจฤาษีแสดงธรรมและอธรรมแก่พระเจ้าพรหมทัตต์  จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา  หน้าต่างที่ [ ๑. ] ๒ ]
                   พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในชีวกัมพวนาราม ทรงพระปรารภปิตุฆาตกรรมของพระเจ้าอชาตศัตรู จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีพระดำรัสเริ่มต้นว่า ทิสฺวา นิสินฺนํ ราชานํ ดังนี้. 
         ความพิสดารว่า พระเจ้าอชาตศัตรูนั้นอาศัยพระเทวทัต ได้ให้ปลงพระชนม์พระบิดาตามคำของพระเทวทัตแล้ว ได้ทรงสดับว่า 
         พระเทวทัตมีบริษัทแตกกัน ในกาลที่สุดแห่งการทำลายสงฆ์ เมื่อมีโรคเกิดขึ้น จึงคิดว่า เราจักยังพระตถาคตเจ้าให้ยกโทษให้แก่เรา ดังนี้แล้ว จึงไปสู่กรุงสาวัตถีด้วยเตียงคานหาม ถูกแผ่นดินสูบที่ใกล้ประตูพระเชตวันมหาวิหาร. 
 จึงทรงรำพึงว่า พระเทวทัตเป็นปฏิปักษ์ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าไปสู่แผ่นดินมีอเวจีมหานรกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า แม้ตัวเราได้ให้ปลงพระชนม์พระบิดาผู้เป็นพระธรรมราชาตั้งอยู่ในธรรม ก็เพราะอาศัยพระเทวทัตนั้น ก็ตัวเราจักถูกแผ่นดินสูบหรือไม่หนอ ดังนี้แล้ว จึงกลัว ไม่ได้ความสบายใจในสิริราชสมบัติ ทรงคิดว่า เราจักนอนหลับสักหน่อย พอจะเคลิ้มหลับเท่านั้น ก็ปรากฏคล้ายกับว่า นายนิรยบาลมาผลักให้ตกไปในแผ่นดินเหล็กหนา ๙ โยชน์ แล้วทิ่มแทงด้วยหลาวเหล็ก หรือมีอาการคล้ายกับว่า ถูกสุนัขทั้งหลายแทะเนื้อกินอยู่ จึงทรงเปล่งพระสุรเสียงด้วยสำเนียงอันน่ากลัวแล้ว เสด็จลุกขึ้น. 
 ครั้นในวันต่อมา เมื่อวันเพ็ญแห่งเดือนที่ ๔ ซึ่งเป็นที่เบ่งบานแห่งดอกโกมุท (คือวันเพ็ญกัตติกมาส) พระเจ้าอชาตศัตรูมีหมู่อำมาตย์แวดล้อมแล้ว ทอดพระเนตรเห็นอิสริยยศของพระองค์ จึงทรงดำริว่า อิสริยยศแห่งพระบิดาของเรายิ่งใหญ่กว่านี้ เราสั่งให้ปลงพระชนม์พระองค์ผู้เป็นธรรมราชา ชื่อเห็นปานนั้นเสีย เพราะอาศัยพระเทวทัต. 
 เมื่อพระองค์ทรงดำริอยู่อย่างนี้นั่นแหละ ความเร่าร้อนก็บังเกิดขึ้นในพระวรกายแล้ว พระสรีระทุกส่วนก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ. ในลำดับนั้น ท้าวเธอจึงทรงดำริว่า ใครหนอแลจักสามารถบรรเทาภัยอันนี้ของเราได้ ดังนี้แล้ว ทรงทราบว่า บุคคลอื่นเว้นพระทศพลเสียแล้ว ย่อมไม่มี จึงทรงดำริว่า เราเป็นผู้มีความผิดอย่างใหญ่หลวงต่อพระตถาคตเจ้า ใครเล่าหนอจักพาเราไปเฝ้าพระองค์ได้ ทรงกำหนดมั่นหมายว่า ใครอื่นนอกจากหมอชีวกเป็นไม่มีแน่ ทรงถือเอาการตกลงพระทัยนั้น. 
 ทรงทำอุบายที่จะเสด็จไป เปล่งอุทานว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ราตรีค่ำคืนนี้มีดวงจันทร์แจ่มกระจ่าง น่ารื่นรมย์เสียจริงๆ หนอ แล้วตรัสว่า วันนี้เราควรไปหาสมณะหรือพราหมณ์ที่ไหนดีหนอ เมื่อเสวกามาตย์ผู้เป็นสาวกของท่านปูรณกัสสปะเป็นต้น กล่าวพรรณนาคุณของครูทั้ง ๖ มีปูรณกัสสปะเป็นต้น ให้สดับก็ไม่ทรงเชื่อถ้อยคำของคนเหล่านั้น กลับตรัสถามถึงหมอชีวก ถึงหมอชีวกนั้นก็กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระตถาคตเจ้าก่อนแล้ว กราบทูลว่า พระองค์ผู้ประเสริฐจงเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเถิด ดังนี้ 
 พระองค์จึงตรัสสั่งให้ตระเตรียมยานพาหนะคือช้าง แล้วเสด็จไปยังชีวกัมพวัน เข้าไปเฝ้าพระตถาคตเจ้าพระองค์นั้น ถวายบังคมแล้วทรงได้รับการปฏิสันถารจากพระตถาคตเจ้าแล้ว จึงทูลถามถึงสามัญญผลอันจะพึงเห็นด้วยตนเอง ได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาว่าด้วยสามัญญผลอันไพเราะของพระตถาคตเจ้าแล้ว. 
         ในเวลาจบการแสดงสามัญญผลสูตร ได้ทรงประกาศพระองค์เป็นอุบาสก ให้พระตถาคตเจ้าทรงอดโทษแล้ว จึงเสด็จกลับไป. 
         จำเดิมแต่นั้นมา ท้าวเธอก็ทรงถวายทาน รักษาศีล ทรงทำการสมาคมกับพระตถาคต ทรงสดับธรรมกถาอันไพเราะ เพราะได้คบกับกัลยาณมิตร จึงทรงละความหวาดกลัวเสียได้ โลมชาติชูชันหวั่นไหวก็หายไป กลับได้แต่ความสบายพระทัย สำเร็จพระอิริยาบถทั้ง ๔ ด้วยความสุขสำราญ. 
 ครั้นต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายพากันสนทนาในโรงธรรมสภาว่า แน่ะอาวุโสทั้งหลาย พระเจ้าอชาตศัตรูทรงทำปิตุฆาตกรรมแล้ว ทรงสะดุ้งหวาดกลัวต่อภัย ไม่ได้ความสบายพระทัย เพราะอาศัยสิริราชสมบัติ ทรงเสวยแต่ความทุกข์ในทุกๆ อิริยาบถ บัดนี้ ท้าวเธอมาอาศัยพระตถาคตเจ้า กลับหายสะดุ้งกลัวได้ เพราะการสมาคมกับกัลยาณมิตร จึงได้เสวยความสุขในอิสริยสมบัติ. 
         พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าอชาตศัตรูกระทำปิตุฆาตกรรมแล้ว อยู่เป็นสุขสบาย เพราะอาศัยเราตถาคตแต่เฉพาะในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ ถึงในกาลก่อน เธอก็ทำปิตุฆาตกรรมแล้ว อยู่อย่างเป็นสุขสบาย เพราะอาศัยเราเหมือนกัน ดังนี้แล้ว. 
         ทรงชักนำอดีตนิทานมาตรัสว่า 
 ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในเมืองพาราณสี มีพระโอรสทรงพระนามว่าพรหมทัตตกุมาร ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในเรือนของปุโรหิต. เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นเกิดแล้ว มารดาบิดาได้ตั้งชื่อว่า สังกิจจกุมาร. พรหมทัตตกุมารและสังกิจจกุมาร แม้ทั้งสองนั้นเจริญเติบโตด้วยกันมาในราชนิเวศน์ ทั้งสองคนได้เป็นสหายกัน. ครั้นเจริญวัยจึงได้พากันไปเรียนศิลปะยังกรุงตักกสิลา เรียนศิลปะทั้งหมดจบแล้วจึงกลับมา. 
 อยู่ต่อมา พระราชาทรงพระราชทานฐานันดรศักดิ์ที่อุปราชแก่พระโอรส. แม้พระโพธิสัตว์ก็ได้อยู่ในสำนักท่านอุปราชเหมือนกัน. ภายหลังต่อมา ท่านอุปราชได้ทอดพระเนตรเห็นอิสริยยศอันยิ่งใหญ่ของพระบิดาผู้เสด็จประพาสเล่นในพระอุทยาน ก็บังเกิดความโลภในราชสมบัตินั้นขึ้น จึงทรงดำริวางแผนว่า พระบิดาของเราก็เหมือนกับพระภาดาของเรา ถ้าเราจะรออยู่จนพระบิดานี้สวรรคต เราก็จักได้ราชสมบัติ เมื่อเวลาแก่ ราชสมบัติที่เราได้ในเวลาแก่นั้นจะมีประโยชน์อะไร เราจักให้ปลงพระชนม์พระบิดาเสียแล้ว จึงยึดเอาราชสมบัติ ดังนี้แล้วบอกเนื้อความนั้นให้พระโพธิสัตว์ทราบ. 
         พระโพธิสัตว์จึงทูลห้ามว่า ข้าแต่ท่านสหาย ธรรมดาว่า ปิตุฆาตกรรมเป็นกรรมหนัก เป็นทางแห่งนรก ใครๆ ไม่อาจจะทำกรรมอันนี้ได้ ขอพระองค์อย่าได้ทรงกระทำเลย. 
         ท่านอุปราชนั้นตรัสอุบายวิธีนั้นบ่อยๆ เข้าก็ถูกพระโพธิสัตว์ทูลทัดทานไว้ถึง ๓ ครั้ง จึงเปลี่ยนไปปรึกษากับพวกคนรับใช้ใกล้ชิด. คนเหล่านั้นทูลรับรองแล้ว ก็คอยมองหาอุบายที่จะลอบปลงพระชนม์พระราชา. 
 พระโพธิสัตว์ทราบถึงพฤติการณ์นั้นจึงได้แต่คิดว่า เราจักไม่อยู่ร่วมเป็นอันเดียวกับคนพาลนี้เด็ดขาด ดังนี้แล้ว จึงมิได้อำลามารดาบิดาเลย ออกไปทางประตูใหญ่แล้ว เข้าไปยังป่าหิมวันต์ บวชเป็นฤๅษี บำเพ็ญฌานและอภิญญาให้บังเกิดขึ้นแล้ว มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร เป็นอยู่อย่างผาสุก. ในขณะเดียวกันนั้น ทางฝ่ายพระราชกุมารก็ใช้ให้คนฆ่าพระบิดาแล้ว เสวยอิสริยยศอันยิ่งใหญ่. 
         พวกกุลบุตรทั้งหลายเป็นอันมาก พอทราบข่าวว่าสังกิจจกุมารบวชเป็นฤๅษีแล้ว จึงพากันออกบวชในสำนักแห่งสังกิจจดาบสนั้น. พระสังกิจจฤๅษีนั้นมีหมู่ฤๅษีเป็นอันมากแวดล้อมแล้ว อยู่ในหิมวันตประเทศนั้น. แม้ดาบสทั้งหมดก็พลอยได้สมาบัติด้วยเหมือนกัน. 
         ฝ่ายพระราชา ครั้นให้คนฆ่าพระบิดาแล้ว ก็เสวยความสุขสบายในราชสมบัติ ตลอดกาลเวลามีประมาณเล็กน้อยเท่านั้น ต่อแต่นั้นมา ก็สะดุ้งหวาดกลัวไม่ได้ความสบายพระทัย ได้เป็นเหมือนถึงกรรมกรณ์ในนรก. 
 ท้าวเธอทรงระลึกถึงพระโพธิสัตว์แล้ว ทรงดำริว่า สหายของเราได้ห้ามปรามแล้วว่า ปิตุฆาตกรรมเป็นกรรมอันหนักมาก เมื่อเขาไม่สามารถจะให้เราเชื่อถือถ้อยคำของตนได้ จึงแสดงตนให้หมดโทษ แล้วหลบไปเสีย ถ้าเขาจักอยู่ในที่นี้ไซร้ คงจักไม่ยอมให้เรากระทำปิตุฆาตกรรมเป็นแน่ พึงนำภัยแม้นี้ของเราไปเสีย เดี๋ยวนี้เขาอยู่ในที่ไหนหนอ ถ้าเรารู้ที่อยู่ของเขาก็จะได้ให้คนไปเรียกมา ใครกันหนอจะพึงบอกที่อยู่ของเขาให้แก่เราได้. ตั้งแต่บัดนั้นมา ท้าวเธอก็ตรัสสรรเสริญคุณของพระโพธิสัตว์แต่อย่างเดียว ทั้งภายในพระราชวังและในราชสภา. 
 ครั้นกาลล่วงไปนานแล้วอย่างนั้น พระโพธิสัตว์นั้นจึงคิดว่า พระราชาทรงระลึกถึงเรา เราควรไปในราชสำนักนั้น แล้วแสดงธรรมแก่ท้าวเธอ ทำท้าวเธอให้หายหวาดกลัว ดังนี้แล้ว อยู่ในหิมวันต์ได้ ๕๐ ปี มีพระดาบส ๕๐๐ เป็นบริวาร พากันมาโดยทางอากาศ ลงในอุทยานชื่อทายปัสสะ มีหมู่ฤาษีเป็นบริวารนั่งอยู่ ณ แผ่นศิลา. 
 คนเฝ้าสวนเห็นหมู่ฤๅษีนั้น จึงถามว่า ท่านผู้เจริญขอรับ ก็ท่านผู้เป็นศาสดาของคณะมีนามว่ากระไร. พอเขาได้ฟังว่า ชื่อว่าสังกิจจบัณฑิต ดังนี้ แม้ตัวเขาเองก็จำได้ จึงได้เรียนให้ทราบว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงรออยู่ในที่นี้จนกว่า ข้าพเจ้าจะทูลเชิญพระราชาให้เสด็จมา พระราชาของพวกข้าพเจ้าทรงมีพระประสงค์จะพบพระคุณเจ้า ดังนี้ ไหว้แล้วจึงรีบเข้าไปยังพระราชวัง กราบทูลแด่พระราชาว่า พระโพธิสัตว์นั้นมาแล้ว. 
         พระราชาเสด็จไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงกระทำสักการะบูชาอันเหมาะสมที่พระองค์จะพึงทำถวายแล้ว จึงตรัสถามปัญหา.
         พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า 
 ลำดับนั้น คนเฝ้าสวนเห็นพระเจ้าพรหมทัต ผู้เป็นจอมทัพประทับนั่งอยู่ ได้กราบทูลท้าวเธอว่า พระสังกิจจฤๅษีที่พระองค์ทรงพระกรุณา ซึ่งยกย่องกันว่า ได้ดีแล้วในหมู่ฤๅษีทั้งหลาย มาถึงแล้ว ขอเชิญพระองค์รีบเสด็จออกไปพบ ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่โดยเร็วเถิด 
 ก็ลำดับนั้น พระราชาผู้จอมทัพอันหมู่มิตรและอำมาตย์แวดล้อมแล้ว เสด็จขึ้นรถอันเทียมด้วยม้าอาชาไนยรีบเสด็จไป พระราชาผู้ทรงบำรุงแว่นแคว้นของชาวกาสีให้เจริญ ทรงเปลื้องเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๕ อย่าง คือ พัดวาลวีชนี อุณหิส พระขรรค์ เศวตฉัตร และฉลองพระบาท ทรงเก็บวางไว้แล้ว เสด็จลงจากรถ ทรงดำเนินเข้าไปหาท่านสังกิจจฤๅษี ผู้นั่งอยู่ในพระราชอุทยานอันมีนามว่า ทายปัสสะ 
         ครั้นเสด็จเข้าไปหาแล้ว ก็ทรงบันเทิงอยู่กับฤๅษี ครั้นทรงสนทนาปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นประทับนั่งแล้ว ลำดับนั้น ได้ทรงสำคัญกาลอยู่ แต่นั้นทรงปฏิบัติ เพื่อจะตรัสถามถึงกรรมอันเป็นบาป จึงตรัสว่า 
         ข้าพเจ้าขอถาม ท่านสังกิจจฤๅษีผู้ได้รับยกย่องว่า ได้ดีแล้วในหมู่ฤๅษีทั้งหลาย อันหมู่ฤๅษีทั้งหลายห้อมล้อมนั่งอยู่ ในทายปัสสะอุทยานว่า 
         นรชนผู้ประพฤติล่วงธรรม (เหมือน) ข้าพเจ้าประพฤติล่วงธรรมแล้ว จะไปสู่คติอะไรในปรโลก ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอได้โปรดบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิสฺวา ความว่า พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็คนเฝ้าสวนนั้น เห็นพระราชาประทับนั่งในราชสภา จึงกราบทูลให้พระองค์ได้ทรงทราบแล้ว. 
         บทว่า ยสฺสาสิ ความว่า กราบทูลให้ทรงทราบถึงผู้ที่พระองค์ทรงรำพันถึง. 
 บทว่า ยสฺสาสิ ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทรงเอ็นดู มีพระหฤทัยอ่อนโยนแก่ท่านผู้ใด. อธิบายว่า พระองค์ทรงรำพันถึงคุณของท่านผู้ใดอยู่เนืองๆ ท่านผู้นั้น คือสังกิจจฤๅษีนี้ที่ยกย่องกันว่า เป็นผู้ได้ดีแล้วในหมู่ฤๅษีทั้งหลายมาถึงแล้วโดยลำดับ มีหมู่ฤๅษีห้อมล้อมนั่งอยู่บนแผ่นศิลา ในพระราชอุทยานของพระองค์ ดูงดงามเปรียบปานรูปทองคำ ฉะนั้น. 
 บทว่า ตรมานรูโป ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ธรรมดาว่า บรรพชิตทั้งหลายเป็นผู้ไม่คลุกคลีในตระกูล หรือว่าในหมู่คณะ เมื่อพระองค์เสด็จไปยังมิทันได้ถึง ก็เกรงว่าจะหลีกไปเสียก่อน เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงรีบเสด็จออกไปพบ ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เพราะท่านแสวงหาคุณมีศีลเป็นต้นอันใหญ่ยิ่ง. 
         บทว่า ตโต ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระองค์นั้นพอได้ทรงสดับถ้อยคำของคนเฝ้าสวนนั้นแล้ว ก็ทรงรีบร้อนเสด็จไปในลำดับแห่งคำกราบทูลของคนเฝ้าสวนนั้นทันที. 
 บทว่า นิกฺขิปฺป ความว่า ได้ยินว่า พระราชาพระองค์นั้น พอเสด็จถึงประตูพระราชอุทยาน ก็ทรงฉุกคิดขึ้นว่า ธรรมดาว่า บรรพชิตทั้งหลายเป็นผู้ตั้งอยู่ในฐานะที่ควรเคารพ เราไม่ควรไปยังสำนักของท่านสังกิจจดาบส ด้วยทั้งเพศที่สูงสุด ท้าวเธอจึงได้นำออกเสียซึ่งเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๕ อย่างเหล่านี้ คือ พัดวาลวีชนีมีด้ามเป็นทองคำประดับด้วยแก้วมณี ๑ แผ่นอุณหิสที่ทำด้วยทองคำ ๑ พระขรรค์มงคลที่หุ้มห่อไว้ดีแล้ว ๑ เศวตฉัตร ๑ ฉลองพระบาททองคำ ๑ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทรงเปลื้องแล้ว. 
         บทว่า ปฏิจฺฉทํ ความว่า ทรงเก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์นั้นนั่นแลเสีย คือทรงมอบไว้ในมือของผู้รักษาเรือนคลัง. 
         บทว่า ทายปสฺสสฺมึ ได้แก่ ในอุทยานอันมีชื่ออย่างนั้น. 
         บทว่า อถ กาลํ อมญฺญถ ความว่า ลำดับนั้น พระองค์ทรงทราบว่า บัดนี้เป็นเวลาที่จะถามปัญหาได้ แต่ในบาลีว่า ยถากาลํ ดังนี้. อธิบายว่า พระองค์ทรงสำคัญการถามปัญหา โดยสมควรแก่กาลที่พระองค์เสด็จมาแล้ว. 
         บทว่า ปฏิปชฺชถ คือ ปฏิบัติแล้ว. 
         บทว่า เปจฺจ ความว่า ละไปแล้ว. อีกอย่างหนึ่ง คำว่าละไปแล้วนั้นเป็นชื่อของปรโลก เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายถึงปรโลก. 
         บทว่า มยา ความว่า พระราชาตรัสถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ประพฤติล่วงสุจริตธรรมแล้ว คือได้กระทำปิตุฆาตกรรมแล้ว ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิดว่า บุคคลผู้ฆ่าบิดาย่อมไปสู่สุคติอะไร คือย่อมไหม้ในนรกขุมไหน. 
         พระโพธิสัตว์ได้สดับคำนั้นแล้วจึงทูลว่า ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์จงตั้งพระทัยสดับเถิด แล้วจึงได้ถวายโอวาทเป็นอันดับแรก. 
         พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า 
 สังกิจจฤๅษีได้กล่าวตอบพระราชา ผู้ทรงบำรุงแว่นแคว้นของชาวกาสีให้เจริญ ประทับนั่งอยู่ในทายปัสสะอุทยานว่า ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรทรงฟังอาตมภาพ ถ้าเมื่อบุคคลเว้นทางผิด ทำตามคำของบุคคลผู้บอกทางถูกให้ โจรผู้เป็นดุจเสี้ยนหนาม ก็ไม่พึงพบหน้าของบุคคลนั้น. เมื่อบุคคลปฏิบัติอธรรม แต่ถ้ากระทำตามคำของบุคคลผู้พร่ำสอนธรรม บุคคลนั้นไม่พึงไปสู่ทุคติเลย. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปเถน ได้แก่ หนทางที่พวกโจรซ่องสุมกันอยู่. 
         บทว่า มคฺคมนุสาสติ ความว่า บอกหนทางอันเกษมให้. 
         บทว่า นาสฺส มคฺเคยฺย กณฺฏโก ความว่า หนาม คือพวกโจรไม่พึงเห็นหน้าของบุรุษผู้ทำตามโอวาทนั้นตามหนทางเลย. 
         บทว่า โย ธมฺมํ คือ ผู้บอกสุจริตธรรมให้. 
         บทว่า น โส ความว่า บุรุษนั้นไม่พึงถึงทุคติชนิดต่างๆ มีนรกเป็นต้น. 
 ดูก่อนมหาบพิตร จริงอยู่ อธรรมเป็นเช่นกับหนทางที่ผิด สุจริตธรรมเป็นเช่นกับหนทางอันเกษม ก็พระองค์ เมื่อกาลก่อนได้รับสั่งแก่อาตมภาพว่า เราจักปลงพระชนม์พระบิดาแล้ว จักเป็นพระราชาเอง ถึงถูกอาตมภาพคัดค้านห้ามไว้แล้ว ก็มิได้เชื่อถ้อยฟังคำของอาตมภาพเลย ฆ่าพระบิดาแล้ว ทรงเศร้าโศกอยู่ในบัดนี้ ธรรมดาว่า บุคคลผู้ไม่ทำตามโอวาทของบัณฑิตทั้งหลาย ก็เหมือนบุคคลผู้ดำเนินไปในหนทางที่มีโจร ย่อมถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวงแล. 
         พระโพธิสัตว์ ครั้นได้ถวายโอวาทแด่พระราชาพระองค์นั้นอย่างนี้แล้ว 
         เมื่อจะแสดงธรรมชั้นสูงขึ้นไป จึงทูลว่า 
         ขอถวายพระพร ธรรมเป็นทางถูก ส่วนอธรรมเป็นทางผิด อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมส่งให้ถึงสุคติ นรชนผู้ประพฤติอธรรม มีความเป็นอยู่ไม่สม่ำเสมอ ละโลกนี้ไปแล้วย่อมไปสู่คติใด อาตมภาพจะกล่าวคติคือนรกเหล่านั้น ขอพระองค์ทรงสดับคำของอาตมภาพเถิด. 
         นรก ๘ ขุมเหล่านี้ คือ สัญชีวนรก ๑ กาฬสุตตนรก ๑ สังฆาฏนรก ๑ โรรุวนรก ๑ มหาโรรุวนรก ๑ ต่อมาก็ถึงมหาอเวจีนรก ๑ ตาปนนรก ๑ ปตาปนนรก ๑ อันบัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้แล้ว ก้าวล่วงได้ยาก เกลื่อนกล่นไปด้วยเหล่าสัตว์ผู้มีกรรมหยาบช้า 
 ก็เฉพาะนรกขุมหนึ่งๆ มีอุสสทนรก ๑๖ ขุม เป็นที่ทำบุคคลผู้กระด้างให้เร่าร้อนน่ากลัว มีเปลวเพลิงรุ่งโรจน์ มีภัยใหญ่ ขนลุกขนพองน่าสะพรึงกลัว มีภัยรอบข้าง เป็นทุกข์ มี ๔ มุม ๔ ประตู จัดแบ่งไว้เป็นส่วนๆ มีกำแพงเหล็กกั้นโดยรอบ มีฝาเหล็กครอบ ภาคพื้นของนรกเหล่านั้นล้วนแต่เป็นเหล็กแดงลุกโพลง ประกอบด้วยเปลวไฟลุกแผ่ไปตลอดที่ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบตั้งอยู่ทุกเมื่อ. 
 สัตว์ทั้งหลายมีเท้าในเบื้องบน มีศีรษะในเบื้องต่ำตกลงไปในนรกนั้น สัตว์เหล่าใดกล่าวล่วงเกินฤๅษีทั้งหลายผู้สำรวมแล้ว ผู้มีตบะ สัตว์เหล่านั้น ผู้มีความเจริญอันขจัดแล้ว ย่อมหมกไหม้อยู่ในนรก เหมือนปลาที่ถูกเฉือนให้เป็นส่วนๆ ฉะนั้น 
 สัตว์ทั้งหลายผู้มีปกติกระทำกรรมอันหยาบช้า มีตัวถูกไฟไหม้ ทั้งข้างในข้างนอก เป็นนิตย์ แสวงหาประตูออกจากนรก ก็ไม่พบประตูที่จะออก ตลอดปีนับไม่ถ้วน สัตว์เหล่านั้นวิ่งไปทางประตูด้านหน้า จากประตูด้านหน้า วิ่งกลับมาทางประตูด้านหลัง วิ่งไปทางประตูด้านซ้าย จากประตูด้านซ้าย วิ่งกลับมาทางประตูด้านขวา วิ่งไปถึงประตูใดๆ ประตูนั้นก็ปิดเสีย 
         สัตว์ทั้งหลายผู้ไปสู่นรก ย่อมประคองแขนคร่ำครวญ เสวยทุกข์มิใช่น้อย นับเป็นหลายๆ พันปี เพราะเหตุนั้น บุคคลไม่ควรรุกรานท่านที่เป็นคนดี ผู้สำรวม มีตบธรรม ซึ่งเป็นดุจอสรพิษมีเดชกำเริบร้ายล่วงได้ยาก ฉะนั้น. 
         พระเจ้าอัชชุนะผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้นเกตกะ มีพระกายกำยำ เป็นนายขมังธนู มีพระหัตถ์ตั้งพัน มีมูลอันขาดแล้ว เพราะประทุษร้ายพระฤๅษีโคตมโคตร 
 ฝ่ายพระเจ้าทัณฑกีได้เอาธุลีโปรยลงรดกีสวัจฉฤๅษี ผู้หาธุลีมิได้ พระราชาพระองค์นั้นถึงแล้วซึ่งความพินาศ ดุจต้นตาลขาดแล้วจากราก ฉะนั้น พระเจ้าเมชฌะคิดประทุษร้ายในมาตังคฤๅษี ผู้เรืองยศ รัฐมณฑลของพระเจ้าเมชฌะพร้อมด้วยบริษัท ก็สูญสิ้นไปในครั้งนั้น ชาวเมืองอันธกวินทัยประทุษร้ายกัณหทีปายนฤๅษี โดยช่วยกันเอาไม้พลองรุมตีจนตาย ก็ไปเกิดในยมสาธนนรก ส่วนพระเจ้าเจติยราชนี้ได้ประทุษร้ายกปิลดาบส แต่ก่อนเคยเหาะเหินเดินอากาศได้ ภายหลังเสื่อมสิ้นฤทธิ์ ถูกแผ่นดินสูบ ถึงมรณกาล 
         เพราะเหตุนั้นแล บัณฑิตทั้งหลายจึงไม่สรรเสริญการลุอำนาจแห่งฉันทาคติเป็นต้น บุคคลไม่ควรเป็นผู้มีจิตประทุษร้าย พึงกล่าววาจาอันประกอบด้วยสัจจะ ถ้าว่า นรชนผู้ใดมีใจประทุษร้าย เพ่งเล็งท่านผู้รู้ ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ นรชนผู้นั้นย่อมไปสู่นรกเบื้องต่ำ. 
         ชนเหล่าใดพยายามกล่าววาจาหยาบคาย บริภาษบุคคลผู้เจริญทั้งหลาย ชนเหล่านั้นไม่ใช่เหล่ากอ ไม่ใช่ทายาท เป็นเหมือนต้นตาลมีรากอันขาดแล้ว อนึ่ง ผู้ใดฆ่าบรรพชิตผู้ทำกิจเสร็จแล้ว ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้นั้นจะต้องหมกไหม้อยู่ในกาฬสุตตนรก ตลอดกาลนาน. 
 อนึ่ง พระราชาพระองค์ใดตั้งอยู่ในอธรรม กำจัดชาวแว่นแคว้น ทำชาวชนบทให้เดือดร้อน สิ้นพระชนม์ไปแล้ว จะต้องหมกไหม้อยู่ในตาปนนรกในโลกหน้า และพระราชาพระองค์นั้นจะต้องหมกไหม้อยู่ตลอดแสนปีทิพย์ อันกองเพลิงห้อมล้อมเสวยทุกขเวทนา เปลวไฟมีรัศมีซ่านออกจากกายของสัตว์นั้น สรรพางค์กายพร้อมทั้งปลายขนและเล็บของสัตว์ ผู้มีไฟเป็นภักษา มีเปลวไฟเป็นอันเดียวกัน สัตว์นรกมีตัวถูกไฟไหม้ ทั้งข้างในและข้างนอกอยู่เป็นนิตย์ เป็นผู้อันทุกข์เบียดเบียน ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ เหมือนช้างถูกนายหัตถาจารย์แทงด้วยขอ ฉะนั้น. 
 ผู้ใดเป็นคนต่ำช้า ฆ่าบิดาเพราะความโลภ หรือเพราะความโกรธ ผู้นั้นต้องหมกไหม้อยู่ในกาฬสุตตนรกสิ้นกาลนาน บุคคลผู้ฆ่าบิดาเช่นนั้น ต้องหมกไหม้อยู่ในโลหกุมภีนรก นายนิรยบาลทั้งหลายเอาหอกแทงสัตว์นรกนั้นผู้ถูกไฟไหม้อยู่จนไม่มีหนัง ทำให้ตาบอด ให้กินมูตรกินคูถ กดสัตว์นรกเช่นนั้น ให้จมลงในน้ำแสบ 
 นายนิรยบาลทั้งหลายให้สัตว์นรกกินก้อนคูถที่ร้อนจัด และก้อนเหล็กแดงอันลุกโพลง ให้ถือผาลทั้งยาวทั้งร้อนสิ้นกาลนาน งัดปากให้อ้าแล้วเอาเชือกผูกไว้ ยัดก้อนเหล็กแดงเข้าไปในปาก ฝูงสุนัขแดง ฝูงสุนัขด่าง ฝูงแร้ง ฝูงกาและฝูงนกตระกรุม ล้วนมีปากเป็นเหล็ก ต่างมารุมจิกกัดลิ้นให้ขาดแล้ว กินลิ้นอันมีเลือดไหล เหมือนกินของอันเป็นเดนเต็มไปด้วยเลือด ฉะนั้น 
         นายนิรยบาลเที่ยวเดินทุบตีสัตว์นรกผู้ฆ่าบิดานั้น ซึ่งมีร่างกายอันแตกไปทั่ว เหมือนผลตาลที่ถูกไฟไหม้ จริงอยู่ ความยินดีของนายนิรยบาลเหล่านั้น เป็นการเล่นสนุก แต่สัตว์นรกต้องได้รับทุกข์ คนผู้ฆ่าบิดาเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้ ต้องอยู่ในนรกเช่นนั้น. 
 ก็บุตรฆ่ามารดาจากโลกนี้แล้ว ต้องไปสู่ที่อยู่แห่งพระยายม ย่อมเข้าถึงความทุกข์อย่างยิ่ง ด้วยผลแห่งกรรมของตน พวกนายนิรยบาลที่ร้ายกาจ ย่อมบีบคั้นสัตว์ผู้ฆ่ามารดา ด้วยผาลเหล็กแดงบ่อยๆ ให้สัตว์นรกดื่มกินโลหิตที่เกิดแต่ตน อันไหลออกจากกายของตน ร้อนดุจทองแดงที่ละลายคว้างบนแผ่นดิน สัตว์นรกนั้นลงไปสู่ห้วงน้ำเช่นกับหนองและเลือด น่าเกลียดดังซากศพเน่า มีกลิ่นเหม็นดุจก้อนคูถ หมู่หนอนในห้วงน้ำนั้น มีกายใหญ่ มีปากเป็นเหล็กแหลม ทำลายผิวหนัง ชอนไชไปในเนื้อและเลือด กัดกินสัตว์นรกนั้น ก็สัตว์นั้นถึงนรกนั้นแล้ว จมลงไปประมาณชั่วร้อยบุรุษ ศพเน่าเหม็นฟุ้งไปตลอดร้อยโยชน์โดยรอบ จริงอยู่ แม้จักษุของคนผู้มีจักษุ ย่อมคร่ำคร่า เพราะกลิ่นนั้น ดูก่อนพระเจ้าพรหมทัต บุคคลผู้ฆ่ามารดา ย่อมได้รับทุกข์เห็นปานนี้. 
 พวกหญิงผู้รีดลูกย่อมก้าวล่วงลำธารนรกอันคมแข็ง ที่ก้าวล่วงได้แสนยาก ดุจคมมีดโกน แล้วตกไปสู่แม่น้ำเวตรณีที่ไปได้ยาก ต้นงิ้วทั้งหลายล้วนแต่เป็นเหล็กมีหนาม ๑๖ องคุลี มีกิ่งห้อยย้อยปกคลุมแม่น้ำเวตรณี ที่ไปได้ยากทั้ง ๒ ฟาก สัตว์นรกเหล่านั้น มีตัวสูงโยชน์หนึ่งถูกไฟที่เกิดเองแผดเผา มีเปลวรุ่งเรืองยืนอยู่ ดุจกองไฟตั้งอยู่ที่ไกล ฉะนั้น. 
 หญิงผู้ประพฤตินอกใจสามีก็ดี ชายที่คบหาภรรยาผู้อื่นก็ดี ต้องตกอยู่ในนรกอันเร่าร้อนมีหนามคม สัตว์นรกเหล่านั้นถูกนายนิรยบาลทิ่มแทงด้วยอาวุธ กลับเอาศีรษะลง ตกลงมานอนอยู่ ถูกทิ่มแทงด้วยหลาวเป็นอันมาก ตื่นอยู่ตลอดกาลทุกเมื่อ ครั้นพอรุ่งสว่าง นายนิรยบาลก็ให้สัตว์นรกนั้น เข้าไปสู่โลหกุมภีอันใหญ่ เปรียบดังภูเขามีน้ำเสมอด้วยไฟอันร้อน บุคคลผู้ทุศีล ถูกโมหะครอบงำ ย่อมเสวยกรรมของตน ที่ตนเองกระทำชั่วไว้ในปางก่อน ตลอดวันตลอดคืนด้วยประการฉะนี้. 
 อนึ่ง ภรรยาใดที่เขาช่วยมาด้วยทรัพย์ ย่อมดูหมิ่นสามี แม่ผัวพ่อผัว หรือพี่ผัวน้องผัว นายนิรยบาลเอาเบ็ดมีสายเกี่ยวปลายลิ้นของหญิงนั้น ฉุดคร่ามา สัตว์นรกนั้นเห็นลิ้นของตนซึ่งยาวประมาณ ๑ วา เต็มไปด้วยหมู่หนอน ไม่อาจอ้อนวอนนายนิรยบาล ย่อมตายไปหมกไหม้ในตาปนนรก. 
 พวกคนฆ่าแกะ ฆ่าสุกร ฆ่าปลาดักเนื้อ พวกโจร คนฆ่าโค พวกพราน พวกคนผู้กระทำคุณในเหตุมิใช่คุณ (คนส่อเสียด) ถูกนายนิรยบาลเบียดเบียนด้วยหอกเหล็ก ค้อนเหล็ก ดาบและลูกศร พุ่งหัวให้ตกลงสู่แม่น้ำแสบ คนทำคดีโกง ถูกนายนิรยบาลทุบตีด้วยค้อนเหล็ก ทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า แต่นั้น ย่อมกินอาเจียนของสัตว์นรกเหล่าอื่น ผู้ได้รับความทุกข์ทุกๆ เมื่อ ฝูงกาบ้าน ฝูงสุนัข ฝูงแร้ง ฝูงกาป่า ล้วนมีปากเหล็ก ต่างพากันรุมจิกกัดกินสัตว์นรก ผู้กระทำกรรมอันหยาบช้า ดิ้นรนอยู่ ชนเหล่าใดเป็นอสัตบุรุษ อันธุลีปกปิดให้เนื้อชนกันจนตายก็ดี ให้นกตีกันจนตายก็ดี ชนเหล่านั้นต้องไปตกอุสสทนรก.
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺโม ปโถ ความว่า ธรรมคือกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเป็นทางที่ดำเนินไปสู่สุคติ เป็นทางเกษม ไม่มีภัยเฉพาะหน้า. 
         บทว่า วิสมชีวิโน คือ สำเร็จการเลี้ยงชีพโดยอธรรม. 
         บทว่า นิรเย ความว่า อาตมภาพจะกล่าวนรกที่บังเกิดแก่สัตว์เหล่านี้แด่พระองค์. 
         บทว่า สุโณหิ เม ความว่า พระมหาสัตว์ แม้ถูกพระราชาตรัสถามถึงนรกที่พวกชนผู้ฆ่าบิดาบังเกิดเกล้า ก็มิได้แสดงนรกนั้นก่อนแล้วจึงกล่าวอย่างนี้ เพื่อจะแสดงมหานรก ๘ ขุม และอุสสทนรก ๑๖ ขุม. 
         ถามว่า เพราะเหตุไร? 
ว่าด้วย สังกิจจฤาษีแสดงธรรมและอธรรมแก่พระเจ้าพรหมทัตต์  จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา  หน้าต่างที่ [ ๑ ] [ ๒. ]
 แก้ว่า เพราะเมื่อพระมหาสัตว์แสดงถึงนรกที่ตรัสถามนั้นก่อน พระราชาพึงมีพระหฤทัยแตกสวรรคตเสียในที่นั้นเป็นแน่แท้ ก็พระราชาทอดพระเนตรเห็นสัตว์ทั้งหลายผู้ไหม้อยู่ในนรกเหล่านี้ ย่อมจะถือเอาไว้เป็นตัวอย่าง ทรงมีอุปัตถัมภกกรรมอันเกิดพร้อมแล้ว ด้วยทรงเข้าพระทัยว่า แม้สัตว์เหล่าอื่นก็มีกรรมอันชั่วช้าเลวทรามมากเหมือนกับตัวเรา เราจักต้องหมกไหม้ในระหว่างแห่งนรกเหล่านี้ ดังนี้แล้ว ก็จักเป็นผู้หาพระโรคคือความกลัวมิได้. 
         ก็เมื่อพระมหาสัตว์แสดงนรกเหล่านั้น ทำแผ่นดินให้แยกออกเป็น ๒ ภาค ด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ก่อนแล้ว จึงแสดงภายหลัง. 
         เนื้อความแห่งคำเหล่านั้น มีดังต่อไปนี้ 
         สัตว์นรกทั้งหลายอันนายนิรยบาลถืออาวุธต่างๆ อันลุกโพลงแล้วตัดให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ย่อมมีชีวิตอยู่บ่อยๆ (คือตายแล้วก็เกิดมารับกรรมอีก) ในนรกนี้ เหตุนั้น นรกนั้นจึงชื่อว่าสัญชีวะ
 นายนิรยบาลทั้งหลายพากันบันลือโห่ร้อง ติดกันไม่ขาดระยะ ถืออาวุธต่างชนิดที่ไฟลุกโพลง ติดตามไล่ฆ่าสัตว์นรกทั้งหลาย ผู้กำลังวิ่งหนีไปๆ มาๆ อยู่บนเหนือแผ่นดินโลหะอันลุกโพลงด้วยไฟ เมื่อสัตว์ล้มลงบนแผ่นดินที่ลุกเป็นไฟแล้ว จึงขึงสายบรรทัดอันลุกโชนด้วยไฟ แล้วถือขวานที่ไฟกำลังติด พากันโห่ร้องทำสัตว์นรกผู้คร่ำครวญอยู่ ด้วยเสียงอันน่าเวทนาเป็นอย่างมากให้เป็น ๘ ส่วนบ้าง ๑๖ ส่วนบ้าง เป็นไปอยู่ในนรกนี้ เหตุนั้น นรกนั้นจึงชื่อว่ากาฬสุตตะ. 
         ภูเขาเหล็กลุกเป็นไฟทั้งหลายลูกใหญ่ๆ หลายลูกกระทบสัตว์อยู่ในนรกนี้ เหตุนั้น นรกนั้นจึงชื่อว่าสังฆาฏะ. 
         ได้ยินว่า นายนิรยบาลทั้งหลายให้ สัตว์นรกเข้าไปในแผ่นดินเหล็กที่ลุกโพลงได้ ๙ โยชน์เพียงเอว แล้วกระทำไม่ให้หวั่นไหวในนรกนั้น. 
         ลำดับนั้น ภูเขาเหล็กอันลุกโพลง ลูกใหญ่ๆ เกิดขึ้นแต่ด้านทิศบูรพา ครางกระหึ่มอยู่ เหมือนเสียงอสนีบาต กลิ้งมาบดสัตว์เหล่านั้น ราวกะว่าบดงากระทำให้เป็นผง แล้วไปตั้งอยู่ในทิศปัจฉิม แม้ภูเขาเหล็กที่ตั้งขึ้นแต่ทิศปัจฉิม ก็กลิ้งไปเหมือนอย่างนั้นนั่นแลแล้ว ตั้งอยู่ในทิศบูรพา 
         อนึ่ง ภูเขาทั้ง ๒ ลูกนั้นได้กลิ้งมาปะทะกันแล้ว บดขยี้สัตว์นรก ดุจบีบลำอ้อยในเครื่องยนตร์สำหรับบีบอ้อย ฉะนั้น สัตว์นรกทั้งหลายย่อมเสวยทุกข์ในสังฆาฏนรกนั้น ตลอดหลายแสนปีเป็นอันมาก ด้วยประการฉะนี้. 
         บทว่า เทฺว จ โรรุวา ความว่า โรรุวนรก ๒ คือ ชาลโรรุวะ ๑ ธูมโรรุวะ ๑. 
         บรรดาโรรุวนรกทั้ง ๒ นั้น ชาลโรรุวะเต็มไปด้วยเปลวไฟอันแดงคล้ายเลือด ดำรงอยู่ตลอดกัป. ธูมโรรุวะเต็มไปด้วยควันอันแสบ. 
 ในโรรุวนรกทั้ง ๒ นั้น เปลวไฟจะแทรกเข้าไปตามปากแผลทั้ง ๙ ของพวกสัตว์นรกผู้หมกไหม้อยู่ในชาลโรรุวะแล้ว จึงเผาสรีระ. ควันแสบแทรกเข้าไปตามปากแผลทั้ง ๙ ของเหล่าสัตว์นรกผู้ไหม้อยู่ในธูมโรรุวะ แล้วจึงค่อยทำสรีระให้เป็นผงไหลออกมาคล้ายดังแป้ง ฉะนั้น. สัตว์นรกผู้หมกไหม้อยู่ในนรก แม้ทั้ง ๒ นั้นย่อมร้องดัง ท่านจึงเรียกนรกแม้ทั้ง ๒ นั้นว่า โรรุวะ. 
         ความว่างเปล่า คือระหว่างคั่นของเปลวไฟ สัตว์ผู้หมกไหม้อยู่ และทุกข์ของสัตว์เหล่านั้น ย่อมไม่มีในนรกนี้ เหตุนั้น นรกนั้นจึงชื่อว่าอวิจิ. อวีจินรกเป็นสถานที่ใหญ่จึงได้ชื่อว่ามหาอวีจิ
 จริงอยู่ ในมหาอวีจินรกนั้น เปลวไฟทั้งหลายตั้งขึ้นแต่ฝาด้านทิศบูรพาเป็นต้นแล้ว กลับมากระทบในฝาด้านทิศปัจฉิมเป็นต้น ทะลุฝาก่อนแล้วจับข้างหน้าได้ ๑๐๐ โยชน์ เปลวไฟที่ตั้งขึ้นในเบื้องต่ำย่อมกระทบเบื้องบน เปลวไฟที่ตั้งขึ้นเบื้องบนย่อมกระทบในเบื้องต่ำ ขึ้นชื่อว่าเปลวไฟทั้งหลายในอวีจิมหานรกนี้ ย่อมไม่มีระหว่างอย่างนี้นั่นแหละ ก็สถานที่มีประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ภายในมหานรกนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ทั้งหลาย หาระหว่างคั่นไม่ได้เลย ประดุจดังทะนานเต็มไปด้วยน้ำนมและแป้ง ฉะนั้น ประมาณของเหล่าสัตว์ผู้หมกไหม้อยู่ ย่อมไม่มีด้วยอิริยาบถทั้ง ๔ และสัตว์เหล่านั้นย่อมไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ย่อมไหม้อยู่ในที่เฉพาะของตนเท่านั้น. ขึ้นชื่อว่า ระหว่างแห่งสัตว์ทั้งหลายในมหานรกนี้ ย่อมไม่มีด้วยประการฉะนี้. 
 อุเบกขาอันเป็นอกุศลวิบาก ๖ อย่างที่เหลือ ย่อมเป็นอัพโภหาริก เพราะความที่ทุกข์ในมหานรกนั้นมีกำลัง เผาอยู่เนืองๆ เปรียบเหมือนหยาดแห่งน้ำผึ้ง ๖ หยาดในปลายลิ้น ย่อมเป็นอัพโภหาริก เพราะความที่หยาดของทองแดงอันเป็นส่วนที่ ๗ เป็นของมีกำลังเผาอยู่เนืองๆ ฉะนั้น. ทุกข์เท่านั้นย่อมปรากฏ คือ ย่อมปรากฏหาระหว่างมิได้. ขึ้นชื่อว่าระหว่างแห่งความทุกข์ในมหานรกนี้ ย่อมไม่มีด้วยประการฉะนี้. อวีจิมหานรกนี้นั้นรวมทั้งฝาทั้งหลาย วัดโดยผ่ากลางได้ ๓๑๘ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๙๕๔ โยชน์ รวมทั้งอุสสทนรกด้วยเป็นหมื่นโยชน์. 
         บัณฑิตพึงทราบความที่อวีจิมหานรกนั้น เป็นสถานที่ใหญ่ถึงเพียงนี้. 
 นรกใดเผาสัตว์ทั้งหลายไม่ให้กระดิกได้ เพราะฉะนั้น นรกนั้นจึงชื่อว่าตาปนะ. นรกใดย่อมยังสัตว์ทั้งหลายให้เร่าร้อนอย่างเหลือเกิน เพราะฉะนั้น นรกนั้นจึงชื่อว่าปตาปนะ. นายนิรยบาลทั้งหลายย่อมให้สัตว์นั่งบนหลาวเหล็กที่ลุกโพลง มีประมาณเท่าลำตาล ในตาปนนรกนั้น แผ่นดินภายใต้แต่ที่นั้น ย่อมลุกโพลง ส่วนหลาวไม่ติดไฟ สัตว์ทั้งหลายย่อมลุกเป็นเปลวเพลิง นรกนั้นย่อมเผาสัตว์ไม่ให้กระดิกได้ ด้วยประการฉะนี้. 
 อนึ่ง นายนิรยบาลย่อมประหารสัตว์ผู้เกิดในนรกนอกนี้ ด้วยอาวุธทั้งหลายที่กำลังลุกโชน แล้วให้ขึ้นสู่ภูเขาเหล็กมีไฟโพลง. ในเวลาที่สัตว์เหล่านั้นยืนอยู่บนยอดภูเขา ลมอันมีกรรมเป็นปัจจัย ย่อมประหารสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นไม่อาจจะทรงตัวอยู่ได้บนภูเขานั้น ก็มีเท้าในเบื้องบน มีศีรษะในเบื้องต่ำตกลงมา. 
 ลำดับนั้น หลาวเหล็กลุกเป็นไฟย่อมตั้งขึ้นแต่แผ่นดินเหล็กเบื้องต่ำ. สัตว์นรกเหล่านั้นก็เอาศีรษะกระแทกหลาวเหล็กเหล่านั้นทีเดียว มีร่างกายทะลุเข้าไปในหลาวเหล็กเหล่านั้นลุกโพลงไหม้อยู่. นรกนั้นย่อมเผาสัตว์ให้เร่าร้อนเหลือเกิน ด้วยประการฉะนี้แล. 
 ก็พระโพธิสัตว์ เมื่อจะแสดงนรกเหล่านี้ให้ปรากฏ จึงแสดงถึงสัญชีวนรกก่อน เพราะได้เห็นสัตว์นรกทั้งหลายผู้หมกไหม้อยู่ในสัญชีวนรกนั้น มหาชนจึงเกิดความหวาดกลัวขึ้นเป็นอย่างมากแล้ว จึงให้สัญชีวนรกนั้นอันตรธานหายไป ทำแผ่นดินให้แยกออกเป็น ๒ ส่วนอีกครั้งหนึ่งแล้ว จึงแสดงกาฬสุตตนรก. พอเมื่อความหวาดกลัวเป็นอย่างมากเกิดขึ้นแก่มหาชน เพราะได้เห็นสัตว์ทั้งหลายหมกไหม้อยู่ในกาฬสุตตนรกเช่นนั้น จึงบันดาลให้กาฬสุตตนรกนั้นอันตรธานหายไป.
         พระโพธิสัตว์แสดงนรกโดยลำดับอย่างนี้ด้วยประการฉะนี้. 
         ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงเชิญเสด็จพระราชามาแล้ว ทูลว่า ขอถวายพระพร พระองค์ควรจะได้ทอดพระเนตรสัตว์ทั้งหลายผู้หมกไหม้อยู่ในมหานรกทั้ง ๘ ขุมเหล่านี้บ้าง จะได้ทรงบำเพ็ญความไม่ประมาท ดังนี้แล้ว หวังจะกล่าวถึงหน้าที่แห่งมหานรกเหล่านั้นซ้ำอีกครั้ง จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า นรก ๘ ขุม ดังนี้. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกฺขาตา ความว่า นรกทั้ง ๘ ขุมที่อาตมภาพทูลแล้วแก่พระองค์นี้ บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อน ก็ได้เคยกล่าวไว้แล้วเหมือนกันนะ. 
         บทว่า อากิณฺณา คือ บริบูรณ์. 
         บทว่า ปจฺเจกา โสฬสุสฺสทา ความว่า มหานรกทั้ง ๘ ขุมเหล่านี้ แต่ละขุมๆ มีประตูอยู่ ๔ ประตู แต่ละประตูมีอุสสทนรกประตูละ ๔ มหานรกแห่งหนึ่งๆ จึงได้มีอุสสทนรกแห่งละ ๑๖ ขุม รวมอุสสทนรกทั้งหมดเป็น ๑๒๘ (เป็นนรกย่อย) รวมกับมหานรกอีก ๘ ขุม จึงเรียกว่านรก ๑๓๖ ขุม ด้วยประการฉะนี้ (๘x๔ = ๓๒x๔ = ๑๒๘+๘ = ๑๓๖). 
         บทว่า กทริยตาปนา ความว่า นรกเหล่านี้แม้ทั้งหมด เป็นสถานที่ทำคนผู้แข็งกระด้างให้เร่าร้อน น่ากลัว เพราะมีความทุกข์เป็นกำลัง มีเปลวไฟ เพราะมีเปลวไฟเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ตลอดกัป มีภัยมากมาย เพราะมีความน่ากลัวอยู่อย่างมาก มีรูปร่างน่าขนลุกขนพอง เพราะพอบุคคลเห็นเข้าก็ขนลุกขนพอง ดูพิลึก เพราะน่าเกลียดน่ากลัว มีภัยรอบด้าน เพราะเป็นที่เกิดขึ้นแห่งภัย มีความลำบาก เพราะหาความสุขไม่ได้เลย. 
         บทว่า จตุกฺโกณา ได้แก่ นรกแม้ทั้งหมดก็เป็นเช่นกับหีบ ๔ เหลี่ยม. 
         บทว่า วิภตฺตา คือ แบ่งไว้เป็นประตูทั้ง ๔ ด้าน. 
         บทว่า ภาคโส มิตา คือ นับตั้งไว้เป็นส่วนๆ ด้วยสามารถทางประตูทั้งหลาย. 
         บทว่า อยสา ปฏิกุชฺชิตา ความว่า นรกแม้ทั้งหมดถูกปิดแล้วด้วยกระเบื้องเหล็กประมาณ ๙ โยชน์. 
         บทว่า ผุฏา ติฏฺฐนฺติ ความว่า นรกแม้ทั้งหมด แผ่ไปตั้งอยู่ตลอดเนื้อที่ประมาณเพียงเท่านี้. 
         บทว่า อุทฺธํปาทา อวํสิรา อธิบายว่า พระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้ หมายถึงสัตว์ผู้กลิ้งเกลือกตกไปอยู่ ในนรกนั้นบ่อยๆ. 
         บทว่า อติวตฺตาโร ความว่า สัตว์ที่กล่าวล่วงเกินด้วยวาจาหยาบคายทั้งหลาย. ได้ยินมาว่า สัตว์ทั้งหลายผู้กระทำความผิดในสมณพราหมณ์ผู้ดำรงอยู่ในธรรม ย่อมหมกไหม้อยู่ในมหานรกโดยมาก เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวอย่างนี้. 
         บทว่า เต ภูนหนา อธิบายว่า สัตว์ผู้กล่าวล่วงเกินพระฤๅษีเหล่านั้น เป็นผู้มีความเจริญอันถูกกำจัดแล้ว เพราะกำจัดความเจริญของตนเอง ย่อมหมกไหม้อยู่ คล้ายกับปลาที่เขาทำให้เป็นชิ้นๆ. 
         บทว่า อสงฺเขยฺย ความว่า ใครๆ ไม่สามารถจะนับได้. 
         บทว่า กิพฺพิสการิโน คือ ผู้มีปกติกระทำกรรมอันทารุณโหดร้าย.
         บทว่า นิกฺขมเนสิโน ความว่า สัตว์เหล่านั้นแม้จะค้นหาแสวงหาหนทางออกจากนรก ก็มิได้ถึงประตูทางออกเลย. 
         บทว่า ปุรตฺถิเมน ความว่า ในเวลาที่ประตูยังไม่ปิด สัตว์เหล่านั้นก็จะพากันมุ่งหน้าวิ่งไปยังประตูนั้น. อวัยวะมีผิวพรรณเป็นต้นของสัตว์เหล่านั้น ก็จะถูกไหม้ไฟในที่นั้นเอง. พอเมื่อสัตว์เหล่านั้นวิ่งไปใกล้จะถึงประตู ประตูก็ปิดเสีย ประตูข้างหลังก็ปรากฏ คล้ายเหมือนว่าถูกเปิดแล้ว. แม้ในประตูด้านอื่นๆ ทั้งหมดก็นัยนี้เหมือนกัน. 
         บทว่า น สาธุรูเป ความว่า บุคคล (อย่า) พึงเข้าไปเบียดเบียนพระฤๅษี ผู้มีรูปดีดุจดังงูมีประการดังกล่าวแล้ว ด้วยที่นั่ง ด้วยคำหยาบ หรือด้วยกายกรรม. 
         ถามว่า เพราะเหตุไร? 
         ตอบว่า เพราะจะต้องได้เสวยความทุกข์อย่างใหญ่หลวงในมหานรกทั้ง ๘ ขุม เหตุกระทบกระทั่งท่านผู้สำรวมแล้ว และมีตบธรรม. 
         บัดนี้ พระโพธิสัตว์หวังจะแสดงถึงพระราชาผู้ทรงกระทบกระเทียบพระฤๅษีเห็นปานนั้นแล้ว ประสบความทุกข์นั้นๆ จึงได้กล่าวคำเป็นต้นว่า อติกาโย ดังนี้. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อติกาโย ได้แก่ มีพระวรกายใหญ่โต สมบูรณ์ด้วยกำลัง. 
         บทว่า มหิสฺสาโส ได้แก่ ผู้ถือธนู. 
         บทว่า สหสฺสพาหุ ความว่า มีแขนพันหนึ่ง เพราะสามารถยกธนูได้ด้วยแขนพันแขนที่ต้องใช้บุคคลผู้ถือธนู ๕๐๐ คน ถึงจะยกขึ้นได้. 
         บทว่า เกกกาธิโป คือ ผู้เป็นใหญ่ในเกกกรัฐ. 
         บทว่า วิภวงฺคโต ได้แก่ ถึงความพินาศ. 
         เรื่องทั้งหลายมีพิสดารแล้วในสรภังคชาดก. 
         บทว่า อุปหจฺจ มนํ ได้แก่ ทำจิตของตนให้ประทุษร้าย. 
         บทว่า มาตงฺคสฺมึ คือ ในมาตังคบัณฑิต. เรื่องได้เล่าไว้แล้วในมาตังคชาดก. 
         บทว่า กณฺหทีปายนาสชฺช คือ ทำร้ายพระดาบสผู้มีชื่อว่า กัณหทีปายนะ. 
         บทว่า ยมสาธนํ ได้แก่ นรก. เรื่องมีพิสดารแล้วในฆฏชาดก. 
         บทว่า อิสินา ได้แก่ พระดาบสชื่อว่า กปิละ. 
         บทว่า ปาเวกฺขี ได้แก่ เข้าไปแล้ว. 
         บทว่า เจจฺโจ ได้แก่ พระเจ้าเจติยราช. 
         บทว่า หีนตฺโต ได้แก่ มีอัตภาพอันเสื่อมไปรอบแล้ว คือ หมดฤทธิ์. 
         บทว่า กาลปริยายํ ได้แก่ ถึงเวลาตายโดยปริยาย. เรื่องกล่าวไว้แล้วในเจติยราชชาดก. 
         บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่บุคคลผู้เป็นไปในอำนาจแห่งจิต ผิดในฤาษีทั้งหลายแล้ว ย่อมหมกไหม้อยู่ในมหานรกทั้ง ๘. 
         บทว่า ตสฺมา หิ ฉนฺทาคมนํ ความว่า บัณฑิตย่อมไม่สรรเสริญการถึงอคติแม้ทั้ง ๔ อย่างมีฉันทาคติเป็นต้น. 
         บทว่า ปทุฏเฐน คือ โกรธแล้ว. 
         บทว่า คนฺตฺวา โส นิรยํ อโธ ความว่า บุคคลผู้นั้นย่อมไปสู่นรกเบื้องต่ำนั้นแล ด้วยผลกรรมที่ตนควรไปสู่เบื้องต่ำนั้น. แต่ในพระบาลีท่านเขียนไว้เป็น นิรยุสฺสทํ ดังนี้. ความข้อนั้นหมายถึงว่า ย่อมไปสู่อุสสทนรก. 
         บทว่า วุฑฺเฒ ได้แก่ ท่านผู้เจริญโดยวัย และท่านผู้เจริญโดยคุณ.
         บทว่า อนปจฺจา ความว่า คนเหล่านั้นย่อมไม่ได้ เหล่ากอหรือทายาท แม้ในระหว่างแห่งภพ. 
         บทว่า ตาลวตฺถุ ความว่า คนเหล่านั้นย่อมถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง แม้ในทิฏฐธรรม คล้ายต้นตาลที่มีรากอันขาดแล้ว ฉะนั้น แล้วไปบังเกิดในนรกทั้งหลาย. 
         บทว่า หนฺติ ได้แก่ ทำให้ตาย. 
         บทว่า จิรํ รตฺตาย ได้แก่ ตลอดกาลยาวนาน. 
         พระมหาสัตว์ ครั้นแสดงนรกที่พวกคนผู้เบียดเบียนฤๅษีทั้งหลาย หมกไหม้อยู่อย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงนรกที่พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมหมกไหม้อยู่ต่อไป จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า โย จ ดังนี้. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รฏฺฐํ วิทฺธํสโน ได้แก่ เป็นผู้ถึงอคติ ด้วยอำนาจฉันทาคติเป็นต้นแล้ว กำจัดชาวแว่นแคว้นเสีย. 
         บทว่า อจฺจิสงฺฆปเรโต โส ได้แก่ พระราชาพระองค์นั้นเป็นผู้อันกลุ่มแห่งเปลวไฟโหมล้อมแล้ว. 
         บทว่า เตโชภกฺขสฺส ได้แก่ เคี้ยวกินไฟอยู่ทีเดียว. 
         บทว่า คตฺตานิ ได้แก่ องค์อวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหมดในสรีระ ในที่ประมาณ ๓ คาวุต คือ เปลวไฟเป็นกลุ่มเดียวกันทั้งหมด มีพร้อมกับอวัยวะเหล่านี้ คือ ปลายขนและเล็บ. 
         บทว่า ตุณฺฑทฺทิโต ความว่า สัตว์นรกนั้นย่อมคร่ำครวญ คล้ายช้างที่นายหัตถาจารย์แทงแล้วด้วยขอ กระทำให้มีอาการไม่หวั่นไหว. 
         พระมหาสัตว์ ครั้นแสดงนรกที่พวกพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม หมกไหม้อยู่อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงถึงนรกที่พวกบุคคลผู้ฆ่าบิดาเป็นต้น หมกไหม้อยู่ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า โย โลภา ดังนี้. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โลภา ได้แก่ เพราะความโลภในยศและในทรัพย์. 
         บทว่า โทสา ได้แก่ เพราะตนมีจิตอันโทสะประทุษร้ายแล้ว. 
 บทว่า นิตฺตจํ ความว่า นายนิรยบาลนำคนผู้ฆ่าบิดานั้น ซึ่งหมกไหม้อยู่ในโลหกุมภีตลอดหลายพันปี ออกมาแล้ว ทำสรีระซึ่งสูง ๓ คาวุตของสัตว์นั้นไม่ให้มีหนัง (ลอกหนังออก) แล้วผลักให้ล้มลงบน แผ่นดินโลหะอันไฟลุกโพลง ทิ่มแทงด้วยหลาวเหล็กอันคม จนละเอียดเป็นผุยผง. 
 บทว่า อนฺธํ กริตฺวา ความว่า พระโพธิสัตว์ทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร นายนิรยบาลทั้งหลายทรมานคนผู้ฆ่าบิดานั้น ให้ล้มหงายลงบนแผ่นดินโลหะที่ไฟกำลังลุกโพลง แล้วเอาหลาวเหล็กที่ติดไฟลุกโพลง ทิ่มแทงนัยน์ตาทั้ง ๒ ข้างให้บอดสนิท แล้วเอามูตร และกรีสอันร้อนยัดใส่เข้าไปในปาก แล้วหมุนเวียนสัตว์นั้นไป คล้ายตั่งที่ทำด้วยฟาง แล้วกดให้จมลงในน้ำโลหะอันแสบ ซึ่งตั้งอยู่โดยตลอดกัป. 
 บทว่า ตตฺตํ ปกฺกุฏฺฐิตมโยคุฬยฺจ ความว่า นายนิรยบาลทั้งหลายให้ สัตว์นรกนั้นเคี้ยวกินเปือกตม คือคูถอันเดือดพล่านแล้ว และก้อนเหล็กอันลุกโชนอีกด้วย ก็สัตว์นรกนั้นพอเห็นคูถและก้อนเหล็กที่ นายนิรยบาลนำมาอยู่นั้นแล้ว ก็ปิดปากเสีย 
         ลำดับนั้น นายนิรยบาลจึงเอาผาลไถยาวมีปลายร้อนยิ่งนัก ลุกเป็นเปลวไฟ งัดปากของสัตว์นรกนั้นให้อ้าออกแล้ว ใส่เบ็ดเหล็กที่ผูกสายเชือก เข้าไปเกี่ยวเอาลิ้นออกมา แล้วยัดใส่ก้อนเหล็กนั้นลงไปในปากที่อ้าอยู่นั้น. 
         บทว่า รกฺขสา ได้แก่ นายนิรยบาล. 
 บทว่า สามา จ ความว่า พระโพธิสัตว์ทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร ฝูงสุนัขแดง ฝูงสุนัขมีสีด่าง ฝูงแร้งมีปากเป็นโลหะ ฝูงกาป่า และฝูงนกนานาชนิด เหล่าอื่น ก็พากันมาชุมนุมฉุดกระชาก ลากเอาลิ้นของบุคคลผู้ฆ่าบิดานั้นออกมาด้วยเบ็ด แล้วกัดลิ้นที่นำออกไว้บนแผ่นดิน ด้วยขอเหล็กหลายอัน คล้ายกะเอาอาวุธมาตัดทำให้เป็นส่วนๆ โดยอาการเหมือนกากบาท. 
         บทว่า วิปฺผนฺทมานํ ความว่า ฝูงสัตว์เหล่านั้นย่อมพากันเคี้ยวกินสัตว์นรกทั้งหลาย เหมือนเคี้ยวกินของอันเป็นเดนที่มีเลือดออก ฉะนั้น.
         บทว่า ตํ ทฑฺฒกาฬํ ความว่า นายนิรยบาลเที่ยวเดินทุบตีสัตว์นรกผู้ฆ่าบิดานั้น ซึ่งมีสรีระอันไฟไหม้แล้วลุกโพลงอยู่ ประดุจดังผลกะเบาอันไฟไหม้อยู่ ฉะนั้น. 
         บทว่า ปริภินฺนคตฺตํ ได้แก่ มีตัวอันแตกแล้วในที่นั้นๆ. 
         บทว่า นิปฺโปถยนฺตา ได้แก่ เอาค้อนเหล็กที่ไฟลุกโพลงทุบตี. 
         บทว่า รตี หิ เตสํ ความว่า ความยินดีนั้นย่อมเป็นความสนุกสนานของพวกนายนิรยบาลเหล่านั้น. 
         บทว่า ทุกฺขิโน ปนีตเร ความว่า ส่วนสัตว์นรกนอกนี้ ย่อมเป็นผู้ได้รับความทุกข์. 
         บทว่า เปตฺติฆาฏิโน คือ ผู้ฆ่าบิดา. 
         พระราชา ครั้นทอดพระเนตรเห็นนรกที่บุคคลผู้ฆ่าบิดาทั้งหลายหมกไหม้อยู่นี้ ได้เป็นผู้สะดุ้งกลัวแล้ว ด้วยประการฉะนี้. 
         ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ ครั้นได้ปลอบพระราชาพระองค์นั้นแล้ว จึงแสดงนรกที่บุคคลผู้ฆ่ามารดาทั้งหลายหมกไหม้อยู่. 
         บทว่า ยมกฺขยํ คือ ที่อยู่ของพระยายม ได้แก่ นรก. 
         บทว่า อตฺตกมฺมผลูปโค ได้แก่ เข้าถึงแล้วด้วยผลกรรมของตน. 
         บทว่า อมนุสฺสา ได้แก่ พวกนายนิรยบาล. 
         บทว่า หนฺตารํ ชนยนฺติยา คือ ผู้ฆ่ามารดา. 
         บทว่า พาเลหิ ความว่า นายนิรยบาลพันด้วยผาลผูกด้วยขอเหล็ก และบีบคั้นอยู่ด้วยยนต์เหล็ก. 
         บทว่า ตํ คือ บุคคลผู้ฆ่ามารดานั้น. 
 บทว่า ปาเยนฺตี ความว่า ก็เมื่อสัตว์นรกนั้นถูกบีบคั้นอยู่ โลหิตย่อมไหลออกจนเต็มกระเบื้องเหล็ก ลำดับนั้น พวกนายนิรยบาลย่อมนำสัตว์นรกนั้นออกมาจากเครื่องยนต์ สรีระของสัตว์นรกนั้นย่อมกลับเป็นปกติตามเดิม ในขณะนั้นทีเดียว พวกนายนิรยบาลจึงให้สัตว์นรกนั้นนอนหงายบนแผ่นดิน แล้วให้ดื่มโลหิตที่กำลังเดือดพล่าน ดุจทองแดงที่กำลังละลายอยู่ ฉะนั้น.
         บทว่า โอคฺคยฺห ติฏฺฐติ ความว่า นายนิรยบาลทั้งหลายบีบสัตว์นรกนั้นด้วยยนต์เหล็ก แล้วโยนลงในบ่อตม คือคูถอันมากมายน่าเกลียด และปฏิกูลด้วยกลิ่นเหม็นฟุ้งตลอดหลายพันปี. สัตว์นรกนั้นดิ่งลงสู่ห้วงน้ำนั้นอยู่. 
         บทว่า อติกายา คือ มีสรีระประมาณเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง. 
         บทว่า อโยมุขา คือ มีปากเป็นเหล็กแหลม. 
         บทว่า ฉวึ เภตฺวาน ความว่า ทำลายตั้งแต่ผิวหนังไปจนกระทั่งกระดูก บางทีก็กินเข้าไปถึงเยื่อในกระดูก. 
         บทว่า ปคิทฺธา คือ เลื้อยไต่ไป. 
 ก็หมู่หนอนเหล่านั้น ย่อมกัดกินอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ ยังจะได้เข้าไปทางปากล่างเป็นต้น ออกทางปากบนเป็นต้น เข้าไปทางข้างเบื้องซ้ายเป็นต้นแล้ว ออกจากทางข้างเบื้องขวาเป็นต้น ย่อมทำสรีระทุกส่วนให้เป็นช่องน้อยช่องใหญ่ สัตว์นรกนั้นได้รับความลำบากเป็นอย่างยิ่ง ร้องไห้คร่ำครวญหมกไหม้อยู่ในนรกนั้น. 
         บทว่า โส จ ความว่า บุคคลผู้ฆ่ามารดานั้น ตกสู่นรกมีประมาณลึกได้ร้อยชั่วบุรุษนั้นแล้ว ย่อมจมลงไปจนมิดศีรษะทีเดียว ก็ซากศพนั้น ย่อมเน่าเปื่อยส่งกลิ่นฟุ้งตลบไปจนตลอดที่ร้อยโยชน์โดยรอบ. 
         บทว่า มาตุฆาฎี คือ ผู้ฆ่ามารดา. 
         พระมหาสัตว์ ครั้นได้แสดงนรกที่บุคคลผู้ฆ่ามารดาหมกไหม้อยู่อย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงถึงนรกที่พวกหญิงผู้ทำสัตว์เกิดในครรภ์ ให้ตกไปไหม้อยู่ จึงกล่าวคาถาต่อไปอีก. 
         บทว่า บุรธารมนุกฺกมฺมา ได้แก่ ก้าวล่วงนรกที่มีคมประดุจมีดโกน. 
 ได้ยินว่า นายนิรยบาลทั้งหลายในนรกนั้น ย่อมถือเอามีดโกนที่คมเล่มใหญ่ๆ แล้ววางไว้เบื้องบน แต่นั้น หญิงเหล่าใดดื่มกินยาร้อนที่ทำครรภ์ให้ตกไปเป็นต้นแล้ว ทำครรภ์ให้ตกไป นายนิรยบาลก็ติดตามโบยตี หญิงผู้ที่ทำครรภ์ให้ตกไปเหล่านั้นด้วยอาวุธทั้งหลายที่มีไฟลุกโพลง หญิงเหล่านั้นก็ขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บนคมแห่งมีดโกนที่คมกริบ ลุกขึ้นบ่อยๆ ก้าวล่วงซึ่งนรกมีคมแห่งมีดโกนอันก้าวล่วงได้ยากอย่างยิ่งนั้น ครั้นล่วงพ้นไปแล้วก็ยังถูกนายนิรยบาลไล่ติดตาม ย่อมตกลงไปสู่แม่น้ำเวตรณี อันไม่เสมอข้ามไปได้ยาก เหตุแห่งกรรมในนรกนั้นๆ จักมีแจ้งในเนมิราชชาดก.
         พระมหาสัตว์ ครั้นได้แสดงนรกแห่งพวกหญิงผู้ทำครรภ์ให้ตกไปอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงถึงนรกไม้งิ้วมีหนามแหลมที่พวกบุรุษผู้ผิดในภริยาของคนอื่น และพวกหญิงผู้ประพฤตินอกใจสามี หมกไหม้อยู่นั้น จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า อโยมยา ดังนี้. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุภโต มภิลมฺพนฺติ ความว่า กิ่งของไม้งิ้วเหล่านั้นห้อยลงมา ริมฝั่งแห่งแม่น้ำเวตรณีทั้ง ๒ ฟาก สัตว์ทั้งหลายผู้มีสรีระที่ไฟลุกโพลงอยู่เหล่านั้น เป็นผู้มีเปลวไฟตั้งอยู่. 
         บทว่า โยชนํ ความว่า สัตว์เหล่านั้นมีสรีระสูง ๓ คาวุต แต่ย่อมเป็นผู้สูงถึงโยชน์หนึ่ง กับเปลวไฟที่ตั้งขึ้นแต่สรีระ. 
         บทว่า เอเต สชนฺติ ความว่า สัตว์ทั้งหลายผู้ผิดในภริยาของคนเหล่าอื่นนั้น ถูกนายนิรยบาลทิ่มแทงด้วยอาวุธนานาชนิด ต้องขึ้นอยู่ในนรกไม้งิ้วเหล่านี้. 
         บทว่า เต ปตนฺติ ความว่า สัตว์นรกเหล่านั้น ติดอยู่ที่ค่าคบแห่งต้นไม้ ไหม้อยู่หลายพันปี ถูกนายนิรยบาลเอาอาวุธทิ่มแทงเข้าอีก ก็กลิ้งเอาศีรษะลงเบื้องต่ำ ตกลงมา. 
         บทว่า ปุถู คือ มากมาย. 
         บทว่า วินิวทฺธงฺคา ความว่า ในเวลาที่สัตว์นรกเหล่านั้น ตกลงจากต้นงิ้วนั้น หลาวทั้งหลายแทงขึ้นแต่แผ่นดินเหล็กในภายใต้ คอยรับศีรษะของสัตว์เหล่านั้นพอดี หลาวเหล่านั้นย่อมแทงทะลุออกทางเบื้องต่ำของสัตว์เหล่านั้น. สัตว์นรกเหล่านั้นถูกหลาวอันเป็นอาวุธทิ่มแทงเอาแล้วอย่างนี้ ย่อมนอนอยู่ตลอดกาลนาน. 
         บทว่า ทีฆํ ความว่า เมื่อไม่ได้การนอนหลับ จึงตื่นอยู่ตลอดกาลยืดยาว. 
         บทว่า ตโต รตฺยา วิวสเน ความว่า โดยล่วงกาลนานในเวลาที่ล่วงไปแห่งราตรีทั้งหลาย. 
         บทว่า ปวชฺชนฺติ ความว่า สัตว์นรกเหล่านั้นถูกนายนิรยบาล จับโยนเข้าไปยังโลหกุมภี อันไฟลุกโพลงมีเนื้อที่ประมาณ ๖๐ โยชน์ คือโลหกุมภีที่เต็มไปด้วยน้ำทองแดง อันไฟลุกโพลงอยู่ ตั้งอยู่ตลอดกัปแล้ว ไหม้อยู่ในโลหกุมภีนั้น. 
         บทว่า ทุสฺสีลา ได้แก่ ผู้ประพฤติผิดในภริยาของคนอื่น. 
         พระมหาสัตว์ ครั้นได้แสดงนรกไม้งิ้วที่พวกบุรุษผู้ปรารถนาผิดในภริยาของคนอื่นและพวกหญิงผู้ประพฤตินอกใจสามี หมกไหม้อยู่อย่างนี้แล้ว เบื้องหน้าแต่นี้ไป เมื่อจะประกาศถึงสถานที่ของพวกหญิงผู้ไม่บำเพ็ญวัตรในสามีและวัตรในพ่อผัวเป็นต้น พากันหมกไหม้อยู่ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ยา จ ดังนี้. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อติมญฺญติ ความว่า หญิงผู้ทำซึ่งสามิกวัตร ดังที่กล่าวไว้แล้วในภิงสชาดก ล่วงละเมิดดูหมิ่นสามี. 
         บทว่า เชฏฐํ วา ได้แก่ พี่ชายของสามี. 
         บทว่า นนนฺทนํ ได้แก่ น้องสาวของสามี. 
         จริงอยู่ ภริยาไม่บำเพ็ญวัตรต่างๆ ชนิดเป็นต้นว่า การนวดมือ นวดเท้า นวดหลัง ให้อาบน้ำ ให้บริโภคอาหารแก่ชนเหล่านี้แม้แต่คนใดคนหนึ่งให้บริบูรณ์ ไม่ตั้งหิริและโอตตัปปะในชนเหล่านั้น ชื่อว่าย่อมดูหมิ่นชนเหล่านั้น แม้หญิงนั้นก็ไปบังเกิดในนรก. 
         บทว่า วงฺเกน ความว่า ก็เมื่อหญิงนั้นไม่บำเพ็ญสามิกวัตรเป็นต้นให้บริบูรณ์ ด่าบริภาษสามีเป็นต้น บังเกิดในนรก นายนิรยบาลทั้งหลายจับหญิงนั้น ให้นอนลงบนแผ่นดินโลหะแล้วเอาขอเหล็กงัดปากให้อ้าแล้ว เอาเบ็ดเกี่ยวปลายลิ้น ฉุดกระชากลากออกมาพร้อมทั้งสายเชือกที่ผูกไว้. 
         บทว่า กิมินํ คือเต็มไปด้วยหมู่หนอน. 
         ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ดูก่อนมหาบพิตร สัตว์นรกนั้นถูกกระชากมาแล้วอย่างนี้ ย่อมมองเห็นปลายลิ้นยาวประมาณวาหนึ่ง โดยวาของตนนั้น เต็มไปด้วยหนอนทั้งหลาย ตัวโตประมาณเท่าเรือโกลนลำใหญ่ อันเกิดขึ้นในที่ที่ถูกทุบด้วยอาวุธ. 
         บทว่า วิญฺญาเปตํ น สกฺโกติ ความว่า แม้ต้องการจะอ้อนวอนนายนิรยบาล ก็ไม่อาจจะกล่าวถ้อยคำอะไรๆ ได้. 
         บทว่า ตาปเน ความว่า หญิงนั้นไหม้อยู่ในตาปนนรกนั้นตั้งหลายพันปีอย่างนี้แล้ว ยังจะต้องถูกหมกไหม้อยู่ในมหานรกชื่อตาปนะอีก. 
         พระมหาสัตว์ ครั้นได้แสดงถึงมหานรกที่พวกหญิงผู้ไม่บำเพ็ญวัตรในสามี และวัตรในแม่ผัวพ่อผัวเป็นต้นอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงถึงนรกที่พวกคนผู้ฆ่าสุกรเป็นต้น หมกไหม้อยู่ในบัดนี้ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า โอรพฺภิกา ดังนี้. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวณฺเณ วณฺณการกา ได้แก่ ผู้ทำการส่อเสียด. 
         บทว่า ขารนทึ ความว่า บุคคลผู้ฆ่าแกะเป็นต้นเหล่านี้ ถูกเบียดเบียนด้วยอาวุธทั้งหลายเหล่านี้มีหอกเป็นต้น ย่อมตกลงไปสู่แม่น้ำเวตรณี. สถานที่ที่พวกฆ่าแกะเป็นต้นหมกไหม้ที่เหลือ จักมีแจ้งในเนมิราชชาดก. 
         บทว่า กูฏการี ท่านกล่าวหมายถึงบุคคลผู้ทำการตัดสินคดีโกง และผู้ทำการโกงด้วยตาชั่งเป็นต้น. ในข้อนั้น นรกที่พวกผู้ตัดสินคดีโกง พิจารณาคดีโกงและโกงด้วยราคา หมกไหม้อยู่ จักมีแจ้งในเนมิชาดก. 
         บทว่า วนฺตํ คือ สิ่งที่สำรอกออกมา. 
         บทว่า ทุรตฺตานํ ได้แก่ มีอัตภาพอันเป็นไปได้ยาก. 
 ข้อนี้ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ดูก่อนมหาบพิตร สัตว์ผู้มีอัตภาพอันถึงความลำบากเหล่านั้น เมื่อศีรษะถูกทุบด้วยค้อนเหล็ก ก็ย่อมอาเจียนออกมา แต่นั้น ย่อมใส่สิ่งอาเจียนออกมานั้นเข้าไปในปากของสัตว์บางพวกในบรรดาสัตว์เหล่านั้น ด้วยกระเบื้องเหล็กอันไฟลุกโพลง. สัตว์เหล่านั้นชื่อว่าย่อมบริโภคสิ่งที่สัตว์เหล่าอื่นอาเจียนออกมา ด้วยประการฉะนี้. 
         บทว่า เภรณฺฑกา ได้แก่ สุนัขจิ้งจอก. 
         บทว่า วิปฺผนฺทมานํ ความว่า ถูกจับให้นอนคว่ำหน้า และดึงเอาลิ้นออกมา ดิ้นรนไปมาข้างโน้นข้างนี้. 
         บทว่า มิเคน คือ เนื้อที่เที่ยวหากินน้ำ. 
         บทว่า ปกฺขินา คือ นกชนิดนั้นนั่นเอง. 
         บทว่า คนฺตฺวา เต ได้แก่ คนเหล่านั้นไปแล้ว. 
         บทว่า นิรยุสฺสทํ ได้แก่ อุสสทนรก แต่ในบาลีท่านเขียนไว้ว่า นรกเบื้องต่ำ. ก็นรกนั้นจักมีแจ้งในเนมิชาดกแล. 
         พระมหาสัตว์ ครั้นได้แสดงถึงนรกมีประมาณเท่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว. 
 บัดนี้ เมื่อจะทำการเปิดเทวโลกแด่พระราชาแล้ว แสดงเทวโลกแด่พระราชา จึงทูลว่า สัตบุรุษทั้งหลายย่อมไปสู่เบื้องบน เพราะกรรมที่ตนประพฤติดีแล้ว ในโลกนี้ ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรผลของกรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว เทพเจ้าทั้งหลายพร้อมทั้งพระอินทร์ พระพรหมมีอยู่  ดูก่อนมหาบพิตรผู้เป็นอธิบดีแห่งรัฐ เพราะเหตุนั้น อาตมภาพขอทูลมหาบพิตร ขอมหาบพิตรจงทรงประพฤติธรรม ดูก่อนพระราชา ขอเชิญพระองค์ทรงประพฤติธรรม เหมือนอย่างธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ไม่เดือดร้อนในภายหลัง ฉะนั้น.
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺโต ได้แก่ ผู้เข้าไปสงบระงับทวาร ๓ มีกายทวารเป็นต้น. 
         บทว่า อุทฺธํ ได้แก่ เทวโลก. 
         บทว่า สหินฺทา ได้แก่ พร้อมด้วยพระอินทร์ทั้งหลายในเทวโลกนั้นๆ. 
         จริงอยู่ พระมหาสัตว์ เมื่อจะแสดงถึงหมู่เทวดาทั้งหลายอันประกอบด้วยเทวดาชั้นจาตุมหาราช แด่พระราชาพระองค์นั้น จึงทูลว่า ขอถวายพระพร ขอพระองค์จงทอดพระเนตรเทวดาชั้นจาตุมหาราชทั้งหลาย จงทอดพระเนตรท้าวมหาราชทั้ง ๔ จงทอดพระเนตรเทวดาชั้นดาวดึงส์ จงทอดพระเนตรท้าวสักกะเถิด ดังนี้ เมื่อจะแสดงเทวดาทั้งหลาย พร้อมทั้งพระอินทร์และพระพรหม แม้ทั้งหมดเหล่านั้นอย่างนี้ จึงแสดงต่อไปว่า นี้เป็นผลของกรรมที่ประพฤติดีแล้ว แม้นี้ก็เป็นผลของกรรมที่ประพฤติดีแล้วเช่นเดียวกัน. 
         บทว่า ตนฺตํ พฺรูมิ ความว่า เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจะขอทูลกะพระองค์. 
         บทว่า ธมฺมํ ความว่า ตั้งแต่วันนี้ไป ขอพระองค์จงงดเว้นเวรทั้ง ๕ มีปาณาติบาตเป็นต้นแล้วจงบำเพ็ญบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้นเถิด. 
 บทว่า ยถา ตํ สุจิณฺณํ นานุตปฺเปยฺย ความว่า ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมนั้นให้เป็นอันประพฤติดีแล้ว คือ จงทำบุญให้มาก โดยประการที่บุญกรรมมีทานเป็นต้นนั้น อันบุคคลประพฤติดีแล้ว กรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้วนั้น ย่อมไม่ตามเดือดร้อนในภายหลัง เพราะสามารถปกปิดเสียได้ ซึ่งความเดือดร้อนมีปิตุฆาตกรรมเป็นต้นเหตุ. 
         พระราชาพระองค์นั้น ครั้นได้ทรงสดับธรรมกถาของพระมหาสัตว์แล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ทรงได้รับความปลอดโปร่งพระหฤทัย. ฝ่ายพระโพธิสัตว์อาศัยอยู่ในพระราชอุทยานนั้นสิ้นกาลเล็กน้อยแล้ว ก็กลับไปยังสถานที่อยู่ของตนตามเดิมแล. 
         พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จะใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ แม้ในกาลก่อน พระเจ้าอชาตศัตรูพระองค์นี้ ก็ได้เราตถาคตทำให้ทรงสบายพระหฤทัยแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว. 
         ทรงประชุมชาดกว่า 
         พระราชาในกาลครั้งนั้น ได้เป็น พระเจ้าอชาตศัตรู 
         หมู่ฤๅษี ได้เป็นพุทธบริษัท 
         ส่วนสังกิจจบัณฑิต ก็คือ เราตถาคต นั่นแล.
 จบอรรถกถาสังกิจจชาดกที่ ๒ รวมชาดกในสัฏฐินิบาตนั้น 
         เชิญท่านทั้งหลายฟังภาษิตของข้าพเจ้าในสัฏฐินิบาต (ในนิบาตนี้) มี ๒ ชาดก คือ 
         ๑. โสณกชาดก ว่าด้วยเรื่องพระราชาจะพระราชทานรางวัลแก่ผู้พบโสณกกุมาร 
         ๒. สังกิจจชาดก ว่าด้วยสังกิจจฤาษีแสดงธรรมและอธรรมแก่พระเจ้าพรหมทัตต์
จบ สัฏฐินิบาตชาดก.

ไม่มีความคิดเห็น: