Translate

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

อรรถกถา ๙ /๑๐ มหาเวสสันตรชาดก ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี

ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี    จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา  หน้าต่างที่ [ ๑ ] [ ๒ ] [ ๓ ] [ ๔ ] [ ๕ ] [ ๖ ] [ ๗ ] [ ๘ ] 
สักกบรรพ 
 เมื่อกษัตริย์ทั้งสององค์ คือพระเวสสันดรและพระนางมัทรี ตรัสสัมโมทนียกถาต่อกันและกันอยู่อย่างนี้. ท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า เมื่อวันวานนี้ พระเวสสันดรมหาราชนี้ได้ประทานปิยบุตรแก่ชูชกพราหมณ์ แผ่นดินไหว. บัดนี้ ถ้าจะมีคนต่ำช้าผู้หนึ่งไปเฝ้าพระเวสสันดร ทูลขอพระนางมัทรีผู้สมบูรณ์ด้วยลักษณะทั้งปวง มีศีลาจารวัตรบริบูรณ์ พาพระนางมัทรีไป ทำให้ท้าวเธออยู่คนเดียว แต่นั้น ท้าวเธอก็จะเปล่าเปลี่ยวขาดผู้ปฏิบัติ อย่ากระนั้นเลย เราจะจำแลงเพศเป็นพราหมณ์ ไปเฝ้าท้าวเธอ ทูลขอพระนางมัทรี ให้ถือเอาทานนั้นเป็นยอดแห่งทานบารมี. ทำให้ไม่ควรสละแก่ใครๆ แล้วถวายพระนางเจ้านั้นคืนท้าวเธอไว้อีก แล้วกลับเทวสถานของเรา. ท้าวสักกเทวราชนั้นได้เสด็จไปสู่สำนักแห่งพระบรมโพธิสัตว์ ในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น. 
             พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า   ลำดับนั้น เมื่อราตรีสิ้นไป ดวงอาทิตย์อุทัยขึ้นมา ท้าวสหัสสนัยจำแลงเพศเป็นพราหมณ์ ได้ปรากฏแก่สองกษัตริย์นั้น แต่เช้า. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาโต เนสํ อทิสฺสถ ความว่า ได้มีรูปปรากฏ ยืนอยู่เบื้องหน้าของกษัตริย์ทั้งสอง แต่เช้าทีเดียว 
 ก็และครั้นประทับยืนอยู่แล้ว เมื่อจะทรงทำปฏิสันถาร จึงตรัสว่า  พระองค์ไม่มีพระโรคาพาธกระมัง พระองค์มีความผาสุกสำราญกระมัง พระองค์ทรงยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยเสาะแสวงหาผลาหารสะดวกกระมัง มูลผลาหารมีมากกระมัง. เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานทีจะมีน้อยกระมัง. ความเบียดเบียนให้ลำบาก ในวนประเทศที่เกลื่อนไปด้วยเนื้อร้าย ไม่ค่อยมีกระมัง. 
             เมื่อท้าวสักกเทวราชทูลถามอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ เมื่อทรงทำปฏิสันถารกับท้าวสักกเทวราชนั้น ตรัสว่า 
 ดูก่อนพราหมณ์ เราทั้งหลายไม่มีอาพาธ สุขสำราญดี ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยเสาะแสวงหาผลไม้สะดวกดี และผลาผลก็มีมาก อนึ่ง เหลือบ ยุงและสัตว์เลื้อยคลานมีบ้างก็เล็กน้อย. ความเบียดเบียนให้ลำบากในวนประเทศ ที่เกลื่อนไปด้วยเนื้อร้าย ก็ไม่ค่อยมีแก่เรา. เมื่อพวกเรามาอยู่ป่า มีชีวิตเตรียมตรมตลอด ๗ เดือน เราพึงเห็นพราหมณ์ผู้มีเพศดังเพศแห่งเทพ ถือไม้เท้ามีสีดังผลมะตูม ทรงหนังเสือเหลืองเป็นเครื่องปกปิดกาย แม้นี้เป็นคนที่สอง. 
 ดูก่อนมหาพราหมณ์ ท่านมาดีแล้ว และมาไกล ก็เหมือนใกล้ เชิญเข้าข้างใน ขอให้ท่านเจริญเถิด ชำระล้างเท้าของท่านเสีย ดูก่อนพราหมณ์ ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเม่า เป็นผลไม้มีรสหวานปานน้ำผึ้ง เชิญท่านเลือกบริโภคแต่ที่ดีๆ เถิด. ดูก่อนพราหมณ์ น้ำดื่มนี้เย็นนำมาแต่ซอกเขา ขอเชิญดื่มเถิด ถ้าปรารถนาจะดื่ม. 
             พระมหาสัตว์ทรงทำปฏิสันถารกับพราหมณ์นั้นอย่างนี้แล้ว ตรัสถามว่า  ก็ท่านมาถึงป่าใหญ่ด้วยเหตุการณ์เป็นไฉน เราถามท่านแล้ว ขอท่านจงบอกความนั้นแก่เราเถิด. 
             พระมหาสัตว์ตรัสถามถึงเหตุที่ท้าวสักกะมา ด้วยประการฉะนี้ ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชทูลสนองว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระองค์เป็นคนแก่มาในที่นี้ มาเพื่อทูลขอประทานพระนางมัทรีอัครมเหสีของพระองค์ ขอพระองค์โปรดประทานพระนางเจ้านั้นแก่ข้าพระองค์. 
             ครั้นทูลฉะนี้แล้ว กล่าวคาถาว่า 
             ห้วงน้ำซึ่งเต็มเปี่ยมตลอดเวลา ไม่มีเวลาเหือดแห้ง ฉันใด. พระองค์มีพระหฤทัยเต็มเปี่ยมด้วยศรัทธา ฉันนั้น. ข้าพระองค์มาเพื่อทูลขอพระนางมัทรีกะพระองค์ ขอพระองค์โปรดพระราชทานพระมเหสีแก่ข้าพระองค์ ผู้ทูลขอเถิด. 
 เมื่อท้าวสักกเทวราชแปลงทูลอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์มิได้ตรัสว่า เมื่อวานนี้อาตมาได้ให้บุตรบุตรีแก่พราหมณ์ไปแล้ว อาตมาจะต้องอยู่ในป่ารูปเดียวเท่านั้น จักให้มัทรีแก่ท่านได้อย่างไร ดังนี้ เป็นเพียงดัง ผู้มีกำลังวางถุงกหาปณะพันหนึ่ง ลงบนหัตถ์ที่เหยียดออกรับ มีพระมนัสไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่หดหู่ เป็นราวกะยังภูผาให้บันลือลั่น ตรัสว่า 
             ดูก่อนพราหมณ์ อาตมาให้สิ่งที่ท่านขอต่ออาตมา อาตมาไม่หวั่นหวาด ไม่ซ่อนสิ่งที่มีอยู่ ใจของอาตมายินดีในทาน. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตํ นปฺปฏิคุยฺหามิ ความว่า ไม่ซ่อนสิ่งที่มีอยู่. 
             ก็และครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ทรงนำน้ำมาด้วยพระเต้าทันทีทีเดียว หลั่งน้ำลงในมือของพราหมณ์ พระราชทานปิยทารทานแก่พราหมณ์ มหัศจรรย์ทั้งปวงมีประการดังกล่าวแล้ว ในหนหลัง ได้ปรากฏในขณะนั้นนั่นเทียว. 
 พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  พระเวสสันดรผู้ยังแคว้นสีพีให้เจริญ ทรงจับพระกรพระนางมัทรีด้วยพระหัตถ์ข้างหนึ่ง จับพระเต้าน้ำด้วยพระหัตถ์ข้างหนึ่ง หลั่งอุทกลงในมือพราหมณ์ ได้พระราชทานพระนางมัทรีแก่พราหมณ์. มหัศจรรย์อันให้สยดสยอง และยังโลมชาติให้ชูชัน คือเมื่อพระเวสสันดรทรงบริจาคพระนางมัทรีแก่พราหมณ์. แผ่นดินได้กัมปนาทหวั่นไหว ในกาลนั้น พระนางมัทรีมิได้ทำพระพักตร์สยิ้วกริ้วพระภัสดา ไม่ทรงแสดงพระอาการขวยเขิน ไม่ทรงกันแสง เมื่อพระภัสดาทอดพระเนตรพระนางเจ้าก็ทรงดุษณีภาพ พระภัสดาก็ทรงทราบพระอัธยาศัยอันประเสริฐของพระนางเจ้า.
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทา ทานํ ความว่า พระเวสสันดรมหาสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ผู้เจริญ พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้นเป็นที่รักของอาตมา ยิ่งกว่าแม้พระนางมัทรีร้อยเท่าพันเท่าแสนเท่า ขอทานของอาตมานี้ จงเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ดังนี้แล้ว ได้ทรงบริจาคปิยทารทาน. 
 สมจริงดังพระพุทธดำรัสที่ตรัสไว้ว่า  เราตถาคต เมื่อสละชาลีโอรส กัณหาชินาธิดา และมัทรีเทวีผู้เคารพต่อภัสดา มิได้คิดเสียดายเลย เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น ลูกทั้งสองเป็นที่เกลียดชังของเรา ก็หามิได้. มัทรีเทวีไม่เป็นที่รักของเรา ก็หามิได้ พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรายิ่งกว่า เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้บุตรธิดาและเทวีผู้เป็นที่รักเสีย. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมกมฺปถ(๑. ม. สมปกมฺปถ.) ความว่า แผ่นดินไหวจดถึงน้ำ. บทว่า เนวสฺส มทฺที ภกุฏี ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้นพระนางมัทรีมิได้มีพระพักตร์สยิ้ว เพราะกริ้วว่า พระราชาเวสสันดรประทานเราแก่พราหมณ์แก่. บทว่า น สนฺธียติ น โรทติ ความว่า มิได้ทรงเก้อเขิน มิได้ทรงกันแสง จนน้ำตาเต็มพระเนตรทั้งสอง ด้วยทรงคิดว่า พระสวามีดูเราทำไม ทั้งทรงดุษณีภาพเข้าพระทัยว่า เมื่อให้นางแก้วเช่นเรา จักไม่ให้เพราะไร้เหตุ อธิบายว่า พระนางมัทรีประทับยืนทอดพระเนตร ดูพระพักตร์ของพระเวสสันดรซึ่งมีวรรณะดังดอกปทุมบาน ด้วยเข้าพระทัยว่า พระสวามีของเรานี้แหละ ทรงทราบสิ่งที่ประเสริฐ. 
             ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทอดพระเนตรดูพระพักตร์ของพระนางมัทรี ด้วยทรงคิดว่า มัทรีจะเป็นอย่างไร. พระนางเจ้าจึงทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ทอดพระเนตรดูหน้าหม่อมฉัน ทำไม. 
             เมื่อทรงบันลือสีหนาท จึงตรัสคาถานี้ว่า 
             หม่อมฉันผู้ยังเป็นสาว เป็นเทวีของพระองค์ท่านใด พระองค์ท่านนั้นเป็นพระภัสดา เป็นใหญ่ของหม่อมฉัน พระองค์ท่านทรงปรารถนาจะพระราชทานแก่บุคคลใด ก็จงพระราชทานแก่บุคคลนั้น หรือจะพึงขายพึงฆ่าเสีย ก็ย่อมได้. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส ความว่า หม่อมฉันเป็นเทวีสาวของพระองค์ท่านใด พระองค์ท่านนั้นแหละเป็นพระภัสดาด้วย เป็นใหญ่ด้วยของหม่อมฉัน พระองค์ท่านปรารถนาจะพระราชทานแก่ผู้ใด ก็พึงพระราชทานแก่ผู้นั้น หรือเมื่อต้องการทรัพย์ ก็พึงขายหม่อมฉัน หรือเมื่อต้องการเนื้อก็พึงฆ่าหม่อมฉัน เพราะฉะนั้น พระองค์จงกระทำสิ่งที่ทรงชอบพระทัยเถิด หม่อมฉันไม่โกรธ. 
             ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงทราบอัธยาศัยอันประณีตของกษัตริย์ทั้งสอง จึงทรงชมเชยสองกษัตริย์นั้น. 
 พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  ท้าวสักกะจอมเทพทรงทราบพระดำริของสองกษัตริย์ จึงได้ตรัสคำนี้ว่า ข้าศึกทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์ พระองค์ทั้งสองทรงชนะแล้ว ปฐพีบันลือลั่นเสียงสาธุการก้องไปถึงสวรรค์ชั้นไตรทิพ สายฟ้าก็แวบวาบไปโดยรอบ เสียงโกลาหลนั้นปรากฏ ดังหนึ่งเสียงภูเขาถล่มทลาย เทพนิกายทั้งสอง คือนารทะและปัพพตะเหล่านั้น ย่อมอนุโมทนาแก่สองกษัตริย์นั้น พระอินทร์ พระพรหม พระปชาบดี พระโสม พระยม และพระเวสวัณมหาราช เทพเจ้าทั้งหมดย่อมอนุโมทนาว่า 
 พระองค์ทรงทำกิจที่ทำได้ยากแท้ เพราะความที่เหล่าผู้ให้ทานให้ด้วยยาก เพราะความที่เหล่าผู้ทำบุญกรรมทำด้วยยาก อสัตบุรุษทั้งหลายทำตามไม่ได้ ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย อันอสัตบุรุษทั้งหลายนำไปยาก เหตุดังนั้น คติภูมิที่ไปจากโลกนี้ของสัตบุรุษและอสัตบุรุษทั้งหลายต่างกัน อสัตบุรุษทั้งหลายย่อมไปสู่นรก สัตบุรุษทั้งหลายมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. 
             ข้อที่พระองค์ เมื่อเสด็จประทับแรมอยู่ในป่า ได้พระราชทานกุมารกุมารีและพระมเหสีนี้ นับว่าเป็นพรหมยานอันสัมฤทธิ์แล้วแด่พระองค์ เพราะจะมิต้องเสด็จไปในอบายภูมิ ขอพระกุศลทานอันนั้น จงอำนวยวิบากสมบัติแด่พระองค์ในสวรรค์เถิด. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปจฺจูหา ได้แก่ ข้าศึก. บทว่า ทิพฺพา ได้แก่ ห้ามเสียซึ่งทิพยสมบัติ. บทว่า มานุสา ได้แก่ ห้ามเสียซึ่งมนุษยสมบัติ แต่อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า บทว่า เต ได้แก่ ธรรม คือความตระหนี่. ความตระหนี่ทุกอย่างนั้น อันพระมหาสัตว์ผู้ประทานโอรสธิดาและมเหสี ทรงชำนะแล้ว เพราะเหตุนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสว่า สพฺเพ ชิตา เต ปจฺจูหา ดังนี้. 
             บทว่า ทุกฺกรํ หิ กโรติ โส ความว่า ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า เทวดาทั้งปวงเหล่านั้นอนุโมทนาอย่างนี้ว่า พระราชาเวสสันดรนั้นประทับอยู่ในป่า พระองค์เดียวเท่านั้น เมื่อประทานพระมเหสีแก่พราหมณ์ ย่อมกระทำกรรมที่ทำได้โดยยาก ท้าวสักกเทวราช เมื่อทรงทำอนุโมทนา จึงตรัสคาถาว่า ยเมตํ เป็นต้น. 
             บทว่า วเน วสํ แปลว่า ประทับอยู่ในป่า. 
             บทว่า พฺรหฺมยานํ ได้แก่ ยานอันประเสริฐก็ธรรม คือความสุจริตสามอย่าง และธรรม คือการบริจาค เห็นปานนี้ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งอริยมรรค ดังนั้น ท่านจึงเรียกว่าพรหมยาน เพราะฉะนั้น พรหมยานนี้จึงสำเร็จแก่พระองค์ ผู้ให้ทานในวันนี้เพราะไม่ต้องเสด็จไปสู่อบายภูมิ. 
             บทว่า สคฺเค เต ตํ วิปจฺจตุ ความว่า จงให้พระสัพพัญญุตญาณ ในที่สุดแห่งวิบากนั่นเทียว 
             ท้าวสักกเทวราชทรงอนุโมทนาแด่พระเวสสันดรอย่างนี้แล้ว ทรงดำริว่า บัดนี้ ควรที่เราจะไม่ชักช้าในที่นี้ ควรถวายคืนพระนางมัทรีแด่พระเวสสันดร แล้วกลับไป. 
 ทรงดำริฉะนี้ แล้วตรัสว่า  ข้าพระองค์ขอถวายพระนางมัทรีพระมเหสีผู้งามทั่วสรรพางค์ คืนแด่พระองค์ผู้เจริญ เพราะพระองค์มีพระฉันทะอัธยาศัย เสมอด้วยพระนางมัทรี และพระนางมัทรีก็ทรงมีพระฉันทะอัธยาศัย เสมอด้วยพระองค์ผู้พระสวามี น้ำนมและสังข์มีสีเสมอเหมือนกัน ฉันใด พระองค์และพระนางมัทรี ก็มีพระมนัสเจตนาเสมอเหมือนกัน ฉันนั้น พระองค์ทั้งสองเป็นขัตติยชาติ สมบูรณ์ด้วยพระวงศ์ เกิดดีแล้วแต่พระมารดาพระบิดา ถูกเนรเทศเสด็จมาแรมอยู่ ณ อาศรมในราวไพรนี้ ขอพระองค์ เมื่อทรงบำเพ็ญทานต่อๆ ไป พึงบำเพ็ญบุญกุศล ตามสมควรเถิด. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺโน ได้แก่ สมควร. บทว่า อุโภ สมานวณฺณิโน ความว่า ทั้งสองมีวรรณะเสมอกันบริสุทธิ์แท้. บทว่า สมานมนเจตสา ความว่า ประกอบด้วยใจ กล่าวคือมนะที่เสมอกัน โดยคุณมีอาจาระเป็นต้น. บทว่า อวรุทฺเธตฺถ ความว่า ถูกเนรเทศจากแว่นแคว้น ประทับอยู่ในอรัญประเทศนี้.
             บทว่า ยถา ปุญฺญานิ ความว่า พระองค์อย่าทรงยินดีด้วยบุญเพียงเท่านี้ คือบุญที่ทรงทำไว้เป็นอันมากในกรุงเชตุดร บุญที่ทรงทำ เช่นเมื่อวันวานพระราชทานพระโอรสธิดา วันนี้พระราชทานพระมเหสี ทรงบริจาคทานต่อๆ ไป แม้ยิ่งขึ้นกว่าที่กล่าวแล้วนั้น พึงบำเพ็ญบุญทั้งหลายตามสมควรเถิด. 
             ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงมอบพระนางมัทรีแด่พระมหาสัตว์แล้ว เมื่อจะแจ้งพระองค์ว่าเป็นพระอินทร์ เพื่อถวายพระพร จึงตรัสว่า 
             หม่อมฉัน คือท้าวสักกะจอมเทพ มาสู่สำนักของพระองค์ ข้าแต่พระราชฤาษี ขอพระองค์จงทรงเลือกเอาพระพร หม่อมฉันขอถวายพระพร ๘ ประการแด่พระองค์ท่าน. 
             เมื่อท้าวสักกะจอมเทพตรัสอยู่นั่นเอง ก็รุ่งเรืองเปล่งปลั่งด้วยอัตภาพทิพย์ สถิตอยู่ในอากาศ ปานประหนึ่งภาณุมาศเปล่งรัศมีอ่อนๆ ฉะนั้น. 
 แต่นั้น พระโพธิสัตว์ เมื่อจะทรงรับพระพร จึงตรัสว่า  ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ของสรรพสัตว์ ถ้าพระองค์จะประทานพระพรแก่หม่อมฉัน ขอพระชนกของหม่อมฉันพึงทรงยินดี ให้หม่อมฉันกลับจากป่านี้สู่นิเวศน์ของหม่อมฉัน พึงเชื้อเชิญด้วยราชบัลลังก์ หม่อมฉันขอเลือกข้อนี้เป็นพระพรข้อที่ ๑. หม่อมฉันไม่ชอบการฆ่าคน แม้ทำผิดร้ายแรง พึงยังคนมีโทษให้พ้นจากการประหารชีวิต หม่อมฉันขอเลือกข้อนี้เป็นพระพรข้อที่ ๒. ชนเหล่าใดเป็นคนแก่ เป็นคนหนุ่ม และเป็นคนกลางคน ชนเหล่านั้นพึงอาศัยหม่อมฉันเลี้ยงชีพ หม่อมฉันขอเลือกข้อนี้เป็นพระพรข้อที่ ๓. หม่อมฉันไม่พึงถึงภรรยาของชนอื่น พึงขวนขวายแต่ในภรรยาของตน และไม่พึงตกอยู่ในอำนาจแห่งสตรีทั้งหลาย หม่อมฉันขอเลือกข้อนี้เป็นพระพรข้อที่ ๔. 
 ข้าแต่ท้าวสักกะ บุตรของหม่อมฉันที่พลัดพรากไปนั้น พึงมีอายุยืน พึงครองแผ่นดินโดยธรรม หม่อมฉันขอเลือกข้อนี้เป็นพระพรข้อที่ ๕. เมื่อราตรีสิ้นไป พระอาทิตย์อุทัยขึ้นมา ขอให้ภิกษาหารอันเป็นทิพย์พึงปรากฏมี หม่อมฉันขอเลือกข้อนี้เป็นพระพรข้อที่ ๖. เมื่อหม่อมฉันบริจาคทาน ทรัพย์สมบัติพึงไม่หมดสิ้นไป บริจาคแล้วไม่พึงเดือดร้อนภายหลัง เมื่อกำลังบริจาคพึงทำจิตให้ผ่องใส หม่อมฉันขอเลือกข้อนี้เป็นพระพรข้อที่ ๗. เมื่อหม่อมฉันพ้นจากอัตภาพนี้ พึงไปสู่สวรรค์ถึงชั้นดุสิตอันวิเศษ จุติจากชั้นดุสิตนั้นมาเป็นมนุษย์ พึงเป็นผู้ไม่เกิดอีก หม่อมฉันขอเลือกข้อนี้เป็นพระพรข้อที่ ๘. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนโมเทยฺย ได้แก่ พึงทรงรับ คือไม่กริ้ว. บทว่า อิโต ปตฺตํ ได้แก่ จากป่านี้ถึงนิเวศน์ของตน. บทว่า อาสเนน ได้แก่ ด้วยราชบัลลังก์ คือพระเวสสันดรตรัสว่า ขอพระชนกจงประทานราชสมบัติแก่หม่อมฉัน. บทว่า อปิ กิพฺพิสการกํ ความว่า หม่อมฉันเป็นพระราชา พึงปล่อยนักโทษประหาร แม้เป็นผู้ทำความผิดต่อพระราชา ให้พ้นจากถูกประหาร. หม่อมฉัน แม้เป็นถึงอย่างนี้ก็ไม่ชอบการประหาร. บทว่า มเมว อุปชีเวยฺยุํ ความว่า ขอเขาเหล่านั้นทั้งหมดพึงอาศัยหม่อมฉันนี่แหละเลี้ยงชีพ. บทว่า ธมฺเมน ชิเน ความว่า จงชนะโดยธรรม คือจงครองราชสมบัติโดยเรียบร้อย. บทว่า วิเสสคู ความว่า พระเวสสันดรตรัสว่า ขอหม่อมฉันจงเป็นผู้ไปสู่สวรรค์ชั้นพิเศษ คือเป็นผู้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต. บทว่า อนิพฺพตฺตี ตโต อสฺสํ ความว่า พระเวสสันดรตรัสว่า หม่อมฉันจุติจากดุสิตพิภพนั้นแล้วมาสู่ความเป็นมนุษย์ พึงเป็นผู้ไม่บังเกิดในภพใหม่ทีเดียว คือ พึงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ. 
             พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  ท้าวสักกะจอมเทพได้ทรงสดับพระดำรัสของพระมหาสัตว์นั้นแล้ว ได้ตรัสคำนี้ว่า พระราชบิดาผู้บังเกิดเกล้าของพระองค์จักเสด็จมาพบพระองค์ โดยไม่นานนัก. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทฏฺฐเมสฺสติ ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระบิดาของพระองค์ประสงค์จะเยี่ยมพระองค์ จักเสด็จมาที่นี้โดยไม่นานนัก ก็และครั้นเสด็จมาแล้ว จักพระราชทานเศวตฉัตรแด่พระองค์ แล้วเชิญเสด็จไปกรุงเชตุดรทีเดียว ความปรารถนาของพระองค์ทุกอย่างจักถึงที่สุด อย่าร้อนพระหฤทัยไปเลย จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด มหาราช. 
             ครั้นประทานโอวาทแด่พระมหาสัตว์อย่างนี้แล้ว ท้าวสักกเทวราชก็เสด็จไปสู่ทิพยสถานของพระองค์ นั่นแล. 
             พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  ท้าวมัฆวานสุชัมบดีเทวราชตรัสดังนี้แล้ว ประทานพระพรแด่พระเวสสันดร แล้วเสด็จไปสู่ หมู่เทพในสรวงสวรรค์. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวสฺสนฺตเร ได้แก่ แด่พระเวสสันดร. บทว่า อปกฺกมิ ได้แก่ เสด็จไปแล้ว คือเสด็จถึงแล้วโดยลำดับ นั่นแล. 
จบสักกบรรพ 
 กาลนั้น พระเวสสันดรโพธิสัตว์และพระนางมัทรี ทรงบันเทิงเสด็จแรมอยู่ในอาศรม ที่ท้าวสักกะประทาน. ครั้งนั้น พราหมณ์ชูชกพาพระชาลีพระกัณหาทั้งสององค์เดินทาง ๖๐ โยชน์ เหล่าเทพเจ้าได้อารักขาพระกุมารกุมารี. ฝ่ายชูชก ครั้นดวงอาทิตย์อัสดงคต ก็ผูกพระกุมารกุมารีทั้งสองไว้ที่กอไม้ ให้บรรทมเหนือพื้นดิน ตนเองขึ้นต้นไม้นอนที่หว่างค่าคบกิ่งไม้ ด้วยเกรงพาลมฤคที่ดุร้าย. 
 ในขณะนั้น มีเทพบุตรองค์หนึ่งแปลงเพศเป็นพระเวสสันดรมา ภายหลังมีเทพธิดาองค์หนึ่งแปลงเพศเป็นพระนางมัทรี มาแก้สองกุมาร นวดพระหัตถ์และพระบาทของสองกุมาร สรงน้ำ ประดับ ให้เสวยทิพยโภชนาหาร ตกแต่งด้วยสรรพาลังการ ให้บรรทมบนพระยี่ภู่ทิพย์. พออรุณขึ้น ก็ให้บรรทมด้วยเครื่องพันธนาการตามเดิมอีก แล้วอันตรธานหายไป ราชกุมารกุมารีทั้งสองนั้น หาพระโรคมิได้ เสด็จไปด้วยเทวสงเคราะห์อย่างนี้. เมื่อราตรีนั้นสว่างแล้ว ชูชกลงจากต้นไม้ ล้างหน้าบ้วนปากสีฟัน แล้วบริโภคผลาผล. กาลนั้น แกพาสองกุมารไปถึงมรรคาหนึ่ง คิดว่า เราจักไปกาลิงครัฐ แล้วเดินไปเห็นทางสองแพร่ง. ทางหนึ่งไปกาลิงครัฐ ทางหนึ่งไปกรุงเชตุดร เทวดาดลใจ แกจึงละทางไปกาลิงครัฐ เห็นทางหนึ่งไปกรุงเชตุดร จึงนำสองกุมารไป ด้วยสำคัญว่า ทางนี้เป็นทางไปกาลิงครัฐ. แกคิดว่า เราจักไปกาลิงครัฐ ล่วงเชิงภูผาของภูผาที่ไปยากทั้งหลาย ถึงกรุงเชตุดรโดยกาล นับได้กึ่งเดือน. 
 วันนั้นเวลาใกล้รุ่ง พระเจ้ากรุงสญชัยสีวีมหาราชทรงพระสุบิน พระสุบินนั้นมีข้อความนี้ว่า เมื่อพระเจ้าสญชัยมหาราชประทับนั่ง ในสถานที่มหาวินิจฉัย มีชายคนหนึ่งผิวดำ นำดอกปทุมสองดอกมาวางไว้ในพระหัตถ์แห่งพระราชา พระราชาทรงรับดอกปทุมทั้งสองดอกนั้นไว้ ทรงประดับที่พระกรรณสองข้าง ละอองเกสรแห่งดอกปทุมสองดอกนั้น ล่วงลงบนพระอุระแห่งพระราชา. พระเจ้าสญชัยตื่นบรรทม ตรัสเรียกพวกพราหมณ์ผู้รู้ทำนายสุบิน มาตรัสถาม พราหมณ์เหล่านั้นทูลพยากรณ์ว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระประยูรญาติของพระองค์ที่จากไปนานจักมา. พระเจ้ากรุงสญชัยได้ทรงสดับคำพยากรณ์นั้น ทรงยินดี โปรดให้พราหมณ์เหล่านั้นกลับไป สนานพระเศียรแต่เช้า แล้วเสวยโภชนาหารมีรสเลิศต่างๆ ตกแต่งพระองค์ด้วยเครื่องอลังการ คืออาภรณ์ทั้งปวง ประทับนั่ง ณ สถานมหาวินิจฉัย. เทวดานำพราหมณ์กับกุมาร มายืนอยู่ที่พระลานหลวง.
 ขณะนั้น พระเจ้ากรุงสญชัยทอดพระเนตรดูมรรคาทรงเห็นสองกุมาร จึงตรัสว่า  นั่นเป็นดวงหน้าของใครงามนัก ราวกะว่าทองคำที่หลอมร้อนแล้วด้วยไฟ หรือประหนึ่งว่า ลิ่มแห่งทองคำที่ละลายคว้างในปากเบ้า ทั้งสองกุมารกุมารีมีอวัยวะคล้ายกัน ทั้งสองกุมารกุมารีมีลักษณะคล้ายกัน คนหนึ่งเหมือนพระชาลี คนหนึ่งเหมือนแม่กัณหาชินา ทั้งสองกุมารกุมารีมีรูปสมบัติ ดังราชสีห์ออกจากถ้ำ กุมารกุมารีเหล่านี้ปรากฏประดุจหล่อด้วยทองคำทีเดียว. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วุตฺตตฺตมคฺคินา ได้แก่ หลอมร้อนแล้วด้วยไฟ. 
             บทว่า สีหา วิลาว นิกฺขนฺตา ความว่า เป็นราวกะราชสีห์ออกจากถ้ำทอง ทีเดียว. 
             พระเจ้าสญชัยตรัสสรรเสริญสองกุมารด้วยคาถา ๓ คาถาอย่างนี้แล้ว มีพระราชดำรัสสั่ง อมาตย์คนหนึ่งผู้ฉลาดศึกษาดีแล้วว่า เจ้าจงไปนำพราหมณ์กับทารกทั้งสองมา. อมาตย์นั้นได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นไปโดยเร็ว นำพราหมณ์กับทารกทั้งสองมาแสดงแด่พระเจ้าสญชัย.
             ลำดับนั้น พระเจ้าสญชัย เมื่อตรัสถามพราหมณ์ชูชก ตรัสว่า  ดูก่อนตาพราหมณ์ภารทวาชโคตร แกนำทารกทั้งสองนี้มาแต่ไหน แกมาจากไหนถึงแว่นแคว้น ในวันนี้. 
             ชูชกกราบทูลสนองว่า 
             ข้าแต่พระเจ้าสญชัย พระราชกุมารราชกุมารีทั้งสองนี้ พระเวสสันดรทรงยินดี พระราชทานแก่ข้าพระบาท ๑๕ ราตรีทั้งวันนี้ นับแต่ข้าพระบาทได้พระราชกุมารกุมารีมา. 
             พระเจ้าสญชัยได้ทรงสดับคำชูชกกราบทูล จึงตรัสว่า  แกได้มาด้วยวาจาพึงให้รักอย่างไร ต้องให้พวกข้าเชื่อด้วยเหตุโดยชอบ ใครบ้างจะให้บุตรบุตรี อันเป็นทานสูงสุดเป็นทานแก่แก. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทินฺนา จิตฺเตน ได้แก่ ยินดี คือเลื่อมใส. บทว่า อชฺช ปณฺณรสา รตฺตี ความว่า ชูชกกราบทูลว่า จำเดิมแต่วันที่ข้าพระบาทได้สองกุมารกุมารีนี้มา ๑๕ ราตรีเข้าวันนี้. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เกน วาจาย เปยฺเยน ความว่า ตาพราหมณ์ แกได้สองกุมารกุมารีเหล่านั้น ด้วยคำอันเป็นที่รักอย่างไร. บทว่า สมฺมา ญาเยน สทฺทเห ความว่า แกอย่าทำมุสาวาท ต้องให้พวกข้าเชื่อด้วยเหตุการณ์ โดยชอบทีเดียว. บทว่า ปุตฺตเก ความว่า ใครจะทำลูกน้อยๆ ที่น่ารักของตน ให้เป็นทานอันสูงสุดแล้วให้ทานนั้นแก่แก. 
 ชูชกกราบทูลว่า  พระราชาเวสสันดรพระองค์ใด เป็นที่พึ่งอาศัยของยาจกทั้งหลาย ดุจธรณีเป็นที่พึ่งอาศัยของสัตว์ทั้งหลาย หรือเป็นที่ไปมาของยาจกทั้งหลาย ดุจสาครเป็นที่ไหลหลั่งไปมาแห่งแม่น้ำทั้งหลาย พระราชาเวสสันดรพระองค์นั้น เมื่อเสด็จประทับแรม ณ ราวไพร ได้พระราชทานพระโอรสพระธิดาแก่ข้าพระบาท. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปติฏฺฐาสิ ได้แก่ เป็นที่พึ่ง. 
             อำมาตย์ทั้งหลายได้ฟังชูชกกล่าวดังนั้น เมื่อจะติเตียนพระเวสสันดร จึงกล่าวว่า 
             เรื่องนี้พระราชาเวสสันดร ถึงมีพระราชศรัทธา แต่ยังครองฆราวาสวิสัย ทำไม่ถูก พระองค์ถูกขับจากราชอาณาจักรไปประทับอยู่ในป่า พึงพระราชทานพระโอรสพระธิดาเสีย อย่างไรหนอ ท่านผู้เจริญทั้งหลายผู้มาประชุมกัน ณ ที่นี้ จงพิจารณาเรื่องนี้ดู. 
             พระราชาเวสสันดร เมื่อประทับอยู่ในป่า พระราชทานพระโอรสพระธิดาเสียอย่างไร พระราชาเวสสันดรควรพระราชทานทาส ทาสี ม้า แม่ม้าอัสสดร รถ ช้างตัวประเสริฐ พระองค์ต้องพระราชทานพระโอรสพระธิดา ทำไมหนอ พระองค์ควรพระราชทานทอง เงิน ศิลา แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ แก้วมณี แก้วประพาฬ พระองค์ต้องพระราชทานพระโอรสพระธิดา ทำไม. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺเธน ความว่า แม้มีศรัทธา. บทว่า ฆรเมสินา ความว่า เรื่องนี้ พระราชาเวสสันดร เมื่อทรงอยู่ครองฆราวาสวิสัย ทรงทำไม่ถูก คือทรงทำไม่ควรหนอ. บทว่า อวรุทฺธโก ความว่า พระเวสสันดรถูกขับไล่จากแว่นแคว้น ประทับแรมในป่า. บทว่า อิมํ โภนฺโต ความว่า อมาตย์ทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ ด้วยความประสงค์ว่า ขอชาวพระนครผู้เจริญทั้งหลาย บรรดาที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ทั้งหมด จงพิจารณา คือใคร่ครวญเรื่องนี้ดูเถิด พระเวสสันดรนี้พระราชทานพระโอรสน้อยๆ ของพระองค์ให้เป็นทาสได้อย่างไร เรื่องอย่างนี้เคยมีใครทำไว้. บทว่า ทชฺชา ความว่า จงพระราชทานทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาทรัพย์ทั้งหลายมีทาสเป็นต้น. บทว่า กถํ โส ทชฺชา ทารเก ความว่า อมาตย์ทั้งหลายกล่าวว่า พระเวสสันดรได้พระราชทานพระโอรสธิดาเหล่านี้ ด้วยเหตุไร. 
 พระชาลีราชกุมารได้ทรงฟังคำอมาตย์เหล่านั้น เมื่อทรงอดทนคำครหาพระชนกไม่ได้ เป็นผู้ราวกะจะค้ำจุนเขาสิเนรุที่ถูกลมประหาร ด้วยพระพาหาของพระองค์ จึงตรัสคาถานี้ว่า  ทาส ม้า แม่ม้าอัสสดร รถ และช้างกุญชรตัวประเสริฐ ไม่มีในนิเวศน์แห่งพระราชบิดา ข้าแต่พระอัยกาเจ้า พระราชบิดาจะพึงพระราชทานอะไรเล่า. ในอาศรมแห่งพระราชบิดาไม่มีศิลา ทอง เงิน แก้วมณีและแก้วประพาฬ ข้าแต่พระอัยกาเจ้า พระราชบิดาจะพึงพระราชทานอะไรเล่า. 
             พระเจ้ากรุงสญชัยได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสว่า 
             ดูก่อนพระหลานน้อย พวกเราสรรเสริญทานของบิดาเจ้าดอก มิได้ติเตียนเลย บิดาของหลานให้หลานทั้งสองแก่คนขอทาน หฤทัยของเขาเป็นอย่างไรหนอ. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทานมสฺส ปสํสาม ความว่า ดูก่อนพระหลานน้อย พวกเราสรรเสริญทานของบิดาเจ้า มิได้ติเตียน. 
             พระชาลีราชกุมารได้สดับดังนั้น จึงตรัสว่า 
             ข้าแต่พระอัยกามหาราช พระบิดาของหม่อมฉันพระราชทานหม่อมฉันทั้งสอง แก่คนขอทานแล้ว. ได้ทรงฟังวาจาอันน่าสงสาร ที่น้องหญิงกัณหากล่าว. 
             พระองค์ทรงมีพระทัยเป็นทุกข์และเร่าร้อน มีพระเนตรแดงก่ำดังดาวโรหิณี มีพระอัสสุชลหลั่งไหล. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขสฺส ความว่า ข้าแต่พระอัยกาเจ้า พระบิดานั้นทรงสดับคำนี้ ที่น้องกัณหาชินาของหม่อมฉันกล่าว พระองค์ได้มีพระหฤทัยเป็นทุกข์. บทว่า โรหิณีเหว ตามฺพกฺขี ความว่า พระบิดาของหม่อมฉันมีพระเนตรแดงก่ำ ราวกะดาวโรหิณีที่มีสีแดง ฉะนั้น. ทรงมีพระอัสสุชลหลั่งไหลเป็นดังสายเลือด ในขณะนั้น.
 บัดนี้ พระชาลีราชกุมาร เมื่อจะทรงแสดงพระวาจาของพระกัณหาชินานั้น จึงตรัสว่า  น้องกัณหาชินาได้กราบทูลพระบิดาว่า ข้าแต่พระบิดา พราหมณ์นี้ตีหม่อมฉันด้วยไม้เท้า ดุจตีทาสีผู้เกิดในเรือน. ข้าแต่พระบิดา พราหมณ์ทั้งหลายเป็นผู้ประกอบด้วยธรรม แต่พราหมณ์นี้หาเป็นเช่นนั้นไม่ แกเป็นยักษ์แปลงเพศเป็นพราหมณ์ มานำหม่อมฉันทั้งสองไปเคี้ยวกิน ข้าแต่พระบิดา หม่อมฉันทั้งสองถูกปีศาจนำไป พระองค์ทอดพระเนตรเห็นหรือหนอ. 
             ลำดับนั้น พระเจ้ากรุงสญชัยทอดพระเนตรเห็นพระราชนัดดาทั้งสอง ยังไม่พ้นจากมือพราหมณ์ชูชก จึงตรัสคาถาว่า 
             พระมารดาของหลานทั้งสองก็เป็นราชบุตรี พระบิดาของหลานทั้งสองก็เป็นราชโอรส แต่ก่อน หลานทั้งสองขึ้นนั่งบนตักปู่ เดี๋ยวนี้มายืนอยู่ไกล เพราะอะไรหนอ. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพ เม ความว่า แต่ก่อนนี้ หลานทั้งสองเห็นปู่เข้ามาโดยเร็วขึ้นตักปู่ บัดนี้ เหตุอะไรหนอ หลานทั้งสองจึงยืนอยู่ไกล. 
             พระชาลีราชกุมารกราบทูลว่า 
             พระชนนีของหม่อมฉันทั้งสองเป็นพระราชบุตรี พระชนกของหม่อมฉันทั้งสองเป็นพระราชบุตร แต่หม่อมฉันทั้งสองเป็นทาสของพราหมณ์ เพราะเหตุนั้น หม่อมฉันทั้งสองจึงต้องยืนอยู่ไกล. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทาสา มยํ ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เมื่อก่อน หม่อมฉันทั้งสองรู้ตัวว่าเป็นราชบุตร แต่เดี๋ยวนี้ หม่อมฉันทั้งสองเป็นทาสของพราหมณ์ ไม่ได้เป็นนัดดาของพระองค์. 
 พระเจ้าสญชัยตรัสว่า  หลานรักทั้งสองอย่าได้พูดอย่างนี้เลย หทัยของปู่เร่าร้อน กายของปู่เหมือนถูกยกขึ้นไว้บนจิตกาธาน ปู่ไม่ได้ความสุขในราชบัลลังก์ หลานรักทั้งสองอย่าได้พูดอย่างนี้เลย เพราะยิ่งเพิ่มความโศกแก่ปู่ ปู่จักไถ่หลานทั้งสองด้วยทรัพย์ หลานทั้งสองจักไม่ต้องเป็นทาส.  แน่ะพ่อชาลี บิดาของหลานให้หลานทั้งสองแก่พราหมณ์ ตีราคาไว้เท่าไร หลานจงบอกปู่ตามจริง พนักงานจะได้ให้พราหมณ์รับทรัพย์ไป. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺม เป็นคำแสดงความรัก. บทว่า จิตกายํว เม กาโย ความว่า บัดนี้ กายของปู่เป็นเหมือนถูกยกขึ้นสู่เชิงตะกอนถ่านเพลิง. บทว่า ชเนถ มํ ความว่า ให้เกิดแก่ปู่ บาลีก็อย่างนี้แหละ. บทว่า นิกฺกีณิสฺสามิ ทพฺเพน ความว่า จักให้ทรัพย์แล้วเปลื้องจากความเป็นทาส. บทว่า กิมคฺฆิยํ ความว่า ตีราคาไว้เท่าไร. บทว่า ปฏิปาเทนฺติ ความว่า ให้รับทรัพย์. 
             พระชาลีราชกุมารได้สดับดังนั้น จึงตรัสว่า 
             ข้าแต่พระอัยกา พระบิดาพระราชทานหม่อมฉันแก่พราหมณ์ ทรงตีราคาพันตำลึงทองคำ ทรงตีราคาน้องกัณหาชินาผู้มีพระพักตร์ผ่องใส ด้วยทรัพย์มีช้างเป็นต้น อย่างละร้อย. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สหสฺสคฺฆํ หิ มํ ความว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระบิดาพระราชทานหม่อมฉันแก่พราหมณ์ ทรงตีราคาพันลิ่มทองคำ. บทว่า อจฺฉํ ความว่า แต่น้องหญิงกัณหาชินาของหม่อมฉัน. บทว่า หตฺถิอาทิสเตน ความว่า พระชาลีทูลว่า พระบิดาทรงตีราคาด้วยช้าง ม้ารถ เหล่านี้ทั้งหมดอย่างละร้อย. แม้โดยที่สุดจนเตียงและตั่ง ก็อย่างละร้อยทั้งนั้น. 
             พระเจ้าสญชัยได้ทรงฟังพระชาลีกราบทูล เมื่อจะทรงโปรดให้ไถ่พระกุมารกุมารีทั้งสององค์ จึงตรัสว่า 
             ดูก่อนเสวกามาตย์ เจ้าจงลุกขึ้นรีบให้ทาสี ทาส โคเมีย โคผู้ ช้าง อย่างละร้อยๆ แก่พราหมณ์เป็นค่าไถ่แม่กัณหา และจงให้ทองคำพันตำลึง เป็นค่าไถ่พ่อชาลี. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวากรา ได้แก่ จงให้. บทว่า นิกฺกยํ ความว่า จงให้ค่าไถ่. 
             เสวกามาตย์ทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสสั่ง ดังนั้นแล้ว จึงกระทำตามนั้น ได้จัดค่าไถ่สองกุมารให้แก่พราหมณ์ทันที. 
             พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  แต่นั้น เสวกามาตย์รีบให้ทาสี ทาส โคเมีย โคผู้ ช้าง อย่างละร้อยๆ แก่พราหมณ์เป็นค่าไถ่พระกัณหา และได้ให้ทองคำพันตำลึงเป็นค่าพระชาลี. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวากริ ได้แก่ ได้ให้แล้ว. บทว่า นิกฺกยํ ความว่า ให้ค่าไถ่. 
             พระเจ้าสญชัยได้พระราชทาน สิ่งทั้งปวงอย่างละร้อย และทองคำพันตำลึง แก่พราหมณ์ชูชก เป็นค่าไถ่พระราชกุมารกุมารี และพระราชทานปราสาท ๗ ชั้นแก่ชูชก ด้วยประการฉะนี้ จำเดิมแต่นั้น ชูชกก็มีบริวารมาก แกรวบรวมทรัพย์ขึ้นสู่ปราสาท นั่งบนบัลลังก์ใหญ่ บริโภคโภชนะมีรสอันดี แล้วนอนบนที่นอนใหญ่. 
             พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  พระเจ้าสญชัยสีวีราชได้พระราชทานทาสี ทาส โคเมีย ช้าง โคผู้ แม่ม้าอัสดรและรถ ทั้งเครื่องบริโภคอุปโภคทั้งปวงอย่างละร้อยๆ และทองคำพันตำลึง แก่พราหมณ์ชูชกผู้แสวงหาทรัพย์ ผู้ร้ายกาจเหลือเกิน เป็นค่าไถ่สองกุมารกุมารี. 
             ลำดับนั้น พระเจ้าสญชัยมหาราชให้พระชาลีและพระกัณหา สนานพระเศียร แล้วให้เสวยโภชนาหาร ทรงประดับราชกุมารกุมารีทั้งสอง ทรงจุมพิตพระเศียร. พระเจ้าสญชัยให้พระชาลีประทับนั่งบนพระเพลา พระนางเจ้าผุสดีให้พระกัณหาชินาประทับนั่งบนพระเพลา. 
 พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  พระอัยกาพระอัยกีทรงไถ่พระชาลีพระกัณหาแล้ว ให้สนานพระกาย ให้เสวยโภชนาหาร แต่งองค์ด้วยราชาภรณ์ แล้วให้ประทับนั่งบนพระเพลา. เมื่อพระราชกุมารกุมารีสนานพระเศียร ทรงภูษาอันหมดจด ประดับด้วยสรรพาภรณ์และสรรพาลังการ คือกุณฑลซึ่งมีเสียงดังเสนาะ ทั้งระเบียบดอกไม้แล้ว พระอัยกาให้พระชาลีประทับนั่งบนพระเพลา แล้วตรัสถาม ด้วยคำนี้ว่า. 
 แน่ะพ่อชาลี พระชนกชนนีทั้งสองของพ่อ ไม่มีพระโรคาพาธกระมัง. ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยเสาะแสวงหาผลาหารสะดวกกระมัง. มูลผลาหารมีมากกระมัง. เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานทีจะมีน้อยกระมัง. ความเบียดเบียนให้ลำบาก ในวนประเทศที่เกลื่อนไปด้วยเนื้อร้าย ไม่ค่อยมีกระมัง. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุณฺฑเล ได้แก่ ให้ประดับกุณฑลทั้งหลาย. บทว่า ฆุสิเต ได้แก่ กุณฑลซึ่งมีเสียงดังเสนาะ คือส่งเสียงเป็นที่ยินดีแห่งใจ. บทว่า มาเล ได้แก่ ให้ประดับดอกไม้นั้นๆ ทั้งสอง. บทว่า องฺเก กริตฺวาน ได้แก่ ให้พระชาลีราชกุมารประทับนั่งบนพระเพลา. 
 พระชาลีราชกุมารได้ทรงฟังพระราชดำรัสถามดังนั้น จึงกราบทูลสนองว่า  ข้าแต่สมมติเทพ พระชนกชนนีทั้งสองของหม่อมฉัน ไม่ค่อยมีพระโรคาพาธ ยังอัตภาพให้เป็นไป ด้วยเสาะแสวงหาผลาหารสะดวกดี และมูลผลาหารก็มีมาก อนึ่ง เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลาน มีบ้างก็เล็กน้อย ความเบียดเบียนให้ลำบากในวนประเทศที่เกลื่อนไปด้วยเนื้อร้าย ก็ไม่ค่อยมีแด่พระชนกพระชนนีทั้งสองนั้น พระชนนีของหม่อมฉันทั้งสองเสด็จไปขุดมัน กระชากมันอ่อน มันมือเสือ มันนก และนำผลกะเบา ผลจาก ผลมะนาว มาเลี้ยงกัน พระชนนีเป็นผู้หามูลผลในป่า ทรงนำมาซึ่งมูลผลใด หม่อมฉันทั้งหลายประชุมพร้อมกันเสวยมูลผลนั้น ในเวลากลางคืน ไม่ได้เสวยในเวลากลางวัน. 
 พระชนนีของหม่อมฉันทั้งสองเป็นสุขุมาลชาติ ต้องทรงหาผลไม้ในป่ามาเลี้ยงกัน จนทรงซูบมีพระฉวีเหลือง เพราะลมและแดด ดุจดอกปทุมอยู่ในกำมือ เมื่อพระชนนีเสด็จเที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ ซึ่งเกลื่อนไปด้วยพาลมฤค มีแรดและเสือเหลืองอยู่อาศัย พระเกสาก็ยุ่งเหยิง พระองค์เกล้าพระชฎาบนพระเกสา ทรงเปรอะเปื้อนที่พระกัจฉประเทศ พระชนกทรงเพศบรรพชิตผู้ประเสริฐ ทรงถือไม้ขอ ภาชนะเครื่องบูชาเพลิงและชฎา ทรงหนังเสือเหลืองเป็นพระภูษา ทรงบรรทมเหนือแผ่นดิน นมัสการเพลิง. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขนนฺตาลุกลมฺพานิ ความว่า พระชาลีราชกุมารทรงพรรณนาถึงชีวิตลำเค็ญของพระชนกชนนี ด้วยคำว่า ขุดมันมือเสือ มันนกเป็นต้น. บทว่า โน ในบทว่า ตนฺโน นี้ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ปทุมํ หตฺถคตมิว ความว่า เหมือนดอกปทุมที่ถูกขยำด้วยมือ. บทว่า ปตนูเกสา ความว่า ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อพระชนนีของหม่อมฉันเสด็จเที่ยวไปหามูลผลาหารในป่าใหญ่ พระเกศาซึ่งดำมีสีเหมือนขนปีกแมลงภู่ ถูกกิ่งไม้เป็นต้นเกี่ยวเสียยุ่งเหยิง. บทว่า ชลฺลมธารยิ ความว่า มีพระกัจฉประเทศทั้งสองข้างเปรอะเปื้อน เสด็จเที่ยวไปด้วยเครื่องแต่งองค์ปอนๆ. 
             พระชาลีราชกุมารกราบทูลถึงความที่พระชนนีมีความทุกข์ยากอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทูลท้วงพระอัยกา จึงตรัสว่า 
             ลูกทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลก ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ผู้เป็นพ่อแม่ทั้งหลาย พระอัยกาของหม่อมฉันทั้งสอง คงไม่เกิดเสน่หาในพระโอรสเป็นแน่ทีเดียว. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทปชฺชึสุ ความว่า ย่อมเกิดขึ้น. 
 ลำดับนั้น พระเจ้าสญชัย เมื่อชี้โทษของพระองค์ จึงตรัสว่า  ดูก่อนพระหลานน้อย จริงทีเดียว การที่ปู่ให้ขับไล่พระบิดาของเจ้าผู้ไม่มีโทษ เพราะถ้อยคำของชาวสีพีนั้น ชื่อว่าปู่ได้กระทำกรรมอันชั่วช้า ทำกรรมอันทำลายความเจริญแก่พวกเรา สิ่งใดๆ ของปู่ที่อยู่ในนครนี้ก็ดี ทรัพย์และธัญชาติที่มีอยู่ก็ดี ปู่ขอยกให้แก่พระบิดาของเจ้าทั้งสิ้น ขอให้เวสสันดรจงมาเป็นราชาปกครองในสีพีรัฐเถิด. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โปต ความว่า ดูก่อนชาลีกุมารหลานน้อย นั่นเป็นกรรมที่พวกเราทำไว้ชั่ว. บทว่า ภูนหจจํ ได้แก่ เป็นกรรมที่ทำลายความเจริญ. บทว่า ยํ เม กิญฺจิ ความว่า สิ่งอะไรๆของปู่มีอยู่ในพระนครนี้ สิ่งนั้นทั้งหมดปู่ยกให้แก่พระบิดาของหลาน. บทว่า สิวิรฏฺเฐ ปสาสตุ ความว่า ขอพระเวสสันดรนั้น จงเป็นราชาปกครองในพระนครนี้. 
             พระชาลีราชกุมารกราบทูลว่า 
             ข้าแต่สมมติเทพ พระชนกของหม่อมฉันคงจักไม่เสด็จมาเป็นพระราชาของชาวสีพี เพราะถ้อยคำของหม่อมฉัน ขอพระองค์เสด็จไปอภิเษกพระราชโอรสด้วยราชสมบัติ ด้วยพระองค์เองเถิด. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิวิสุตฺตโม ได้แก่ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดของชาวสีพี. บทว่า สิญฺจ ความว่า อภิเษกด้วยราชสมบัติ เหมือนมหาเมฆโปรยหยาดน้ำฝน ฉะนั้น. 
             พระเจ้าสญชัยได้ทรงสดับฟังพระชาลีตรัส จึงมีพระราชดำรัสเรียกหาเสนาคุตอมาตย์มา สั่งให้ตีกลองใหญ่ป่าวประกาศทั่วเมือง 
             พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  แต่นั้น พระเจ้าสญชัยบรมกษัตริย์ตรัสกะเสนาบดีว่า กองทัพ คือกองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ จงผูกสอดศัสตราวุธ. ชาวนิคม พราหมณ์ปุโรหิตจงตามข้าไป. 
             แต่นั้น อมาตย์หกหมื่นผู้สหชาตของบุตรเรางามน่าดู ประดับแล้วด้วยผ้าสีต่างๆ. พวกหนึ่งทรงผ้าสีเขียว พวกหนึ่งทรงผ้าสีเหลือง พวกหนึ่งทรงผ้าสีแดงเป็นดุจอุณหิส พวกหนึ่งทรงผ้าสีขาว. ผูกสอดศัสตราวุธ จงมาโดยพลัน. 
             เขาหิมวันต์ เขาคันธรและเขาคันธมาทน์ ปกคลุมด้วยนานาพฤกษชาติ เป็นที่อยู่แห่งหมู่ยักษ์ ยังทิศทั้งหลายให้รุ่งเรืองฟุ้งตลบไปด้วยทิพยโอสถ ฉันใด. โยธาทั้งหลายผูกศัสตราวุธแล้ว จงมาพลัน จงยังทิศทั้งหลายให้รุ่งเรืองฟุ้งตลบไป ฉันนั้น. 
             จงผูกช้างหมื่นสี่พันเชือกให้มีสายรัดแล้วด้วยทองแท่ง เครื่องประดับแล้วด้วยทอง อันเหล่าควาญช้างถือโตมรและขอขึ้นขี่. ผูกสอดศัสตราวุธแล้ว มีอลังการปรากฏ บนคอช้าง จงรีบมา. 
             แต่นั้น จงผูกม้าหมื่นสี่พันตัว ที่เป็นชาติอาชาไนยสินธพมีกำลัง อันควาญม้าถือดาบและแล่งธนูขี่ ผูกสอดศัสตราวุธแล้ว ประดับกายแล้วอยู่บนหลังม้า จงรีบมา. 
             แต่นั้น จงเทียมรถหมื่นสี่พันคัน ซึ่งมีกงรถแล้วด้วยเหล็ก มีเรือนรถขจิตด้วยทอง จงยกขึ้นซึ่งธง โล่ เขน แล่งธนู ในรถนั้น เป็นผู้มีธรรมมั่นคง มุ่งประหารข้าศึก ผูกสอดศัสตราวุธแล้ว เป็นช่างรถอยู่ในรถ จงรีบมา. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺนาหยนฺตุ ได้แก่ จงผูกสอดอาวุธทั้งหลาย. บทว่า สฏฺฐีสหสฺสานิ ได้แก่ อมาตย์หกหมื่นผู้เป็นสหชาติกับบุตรของเรา. บทว่า นีลวตฺถาธราเนเก ความว่า พวกหนึ่งทรงผ้าสีเขียว คือเป็นผู้นุ่งห่มผ้าสีเขียวจงมา. บทว่า มหาภูตคณาลโย ได้แก่ เป็นที่อยู่ของหมู่ยักษ์ทั้งหลาย. บทว่า ทิสา ภนฺตุ ปวนฺตุ จ ความว่า จงให้รุ่งเรืองและฟุ้งตลบไปด้วยอาภรณ์และเครื่องลูบไล้ทั้งหลาย. บทว่า หตฺถิกฺขนฺเธหิ ความว่า ควาญช้างเหล่านั้นจงขี่คอช้างรีบมา. บทว่า ทสฺสิตา ได้แก่ มีเครื่องประดับปรากฏ. บทว่า อโยสุกตเนมิโย ได้แก่ มีกงรถที่ใช้เหล็กหุ้มอย่างดี. บทว่า สุวณฺณจิตฺรโปกฺขเร ความว่า พระเจ้าสญชัยตรัสว่า จงเทียมรถหมื่นสี่พันคันปานนี้ ซึ่งมีเรือนรถขจิตด้วยทอง. บทว่า วิปฺผาเลนฺตุ ได้แก่ จงยกขึ้น. 
             พระเจ้าสญชัยจัดกองทัพอย่างนี้แล้ว ตรัสสั่งว่า พวกเจ้าจงตกแต่งมรรคาเป็นที่มา ให้มีพื้นเรียบกว้างแปดอุสภะ ตั้งแต่เชตุดรราชธานีจนถึงเขาวงกต แล้วทำสิ่งนี้ด้วยๆ เพื่อต้องการตกแต่งมรรคาให้งดงาม แล้วตรัสว่า 
 พวกเจ้าจงจัดบุปผชาติทั้งระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องทา กับทั้งข้าวตอกเรี่ยรายลง ทั้งบุปผชาติและรัตนะอันมีค่า. จัดหม้อสุราเมรัย ๑๐๐ หม้อทุกประตูบ้าน. จัดมังสะ ขนม ขนมทำด้วยงา ขนมกุมมาสประกอบด้วยปลา และจัดเนยใส น้ำมัน น้ำส้ม นมสด สุราทำด้วยแป้งข้าวฟ่างให้มาก แล้วจงยืนอยู่ ณ ทางที่พ่อเวสสันดรลูกข้าจะมา ให้มีคนหุงต้ม พ่อครัว คนฟ้อนรำ คนโลดเต้น และคนขับร้องเพลง ปรบมือ กลองยาว คนขับเสียงแจ่มใส คนเล่นกลสามารถกำจัดความโศกได้ จงนำพิณทั้งปวง และกลอง ทั้งมโหระทึกมา จงเป่าสังข์ ตีกลองหน้าเดียว จงประโคมตะโพน บัณเฑาะว์ สังข์ และดุริยางค์ ๔ คือ โคธะ กลองใหญ่ กลองรำมะนา กุฏุมพะ. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลาชา โอโลกิยา ปุปฺผา ความว่า พระเจ้าสญชัยมีรับสั่งว่า จงจัดโปรยดอกไม้ดอกกับข้าวตอกทั้งหลาย ซึ่งชื่อว่าดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่ห้า โปรยดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้ในมรรคา ห้อยดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ที่เพดาน. บทว่า อคฺฆิยานิ จ ความว่า จงตั้งบุปผชาติและรัตนะอันมีค่าในทางที่ลูกของเราจะมา. บทว่า คาเม คาเม ได้แก่ ตั้งไว้ทุกๆ ประตูบ้าน. บทว่า ปติตา ฐนฺตุ ความว่า จงจัดแจงตั้งหม้อสุราเมรัยเป็นต้น เพื่อผู้ระหายจะได้ดื่ม. บทว่า มจฺฉสํยุตา ได้แก่ ประกอบด้วยปลาทั้งหลาย. บทว่า กงฺคุปิฏฺฐา ได้แก่ สำเร็จด้วยแป้งข้าวฟ่าง. บทว่า มุทฺทิกา ได้แก่ คนขับร้องเสียงใส. บทว่า โสกชฺฌายิกา ความว่า พวกเล่นกล หรือแม้คนอื่นๆใครก็ตามที่สามารถระงับความโศกที่เกิดขึ้นเสียได้ ท่านเรียกว่า โสกชฺฌายิกา. บทว่า ขรมุขานิ ได้แก่ สังข์ใหญ่เกิดแต่สมุทรเป็นทักษิณาวัฏ. บทว่า สํขา ได้แก่ สังข์สองชนิดคือ สังข์รูปกำมือ และสังข์รูปขวด ดนตรี ๔ อย่างเหล่านี้คือ โคธะ กลองใหญ่ กลองรำมะนา และกุฏุมพะ. 
 พระเจ้าสญชัยทรงสั่งจัดการประดับมรรคาด้วยประการฉะนี้. กาลนั้น ฝ่ายชูชกบริโภคอาหารเกินประมาณ ไม่อาจให้อาหารที่บริโภคนั้นย่อยได้ ก็ทำกาลกิริยาในที่นั้นเอง ครั้งนั้น พระเจ้าสญชัยให้ทำฌาปนกิจชูชก ให้ตีกลองใหญ่ป่าวประกาศในพระนครว่า คนใดคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติของชูชก จงเอาสมบัติที่พระราชทานเหล่านี้ไป. ครั้นไม่พบคนที่เป็นญาติของชูชก จึงโปรดให้ขนทรัพย์ทั้งปวงคืนเข้าพระคลังหลวงอีกตามเดิม.
             ครั้งนั้น พระเจ้าสญชัยจัดประชุมกองทัพทั้งปวงประมาณ ๑๒ อักโขภิณีสิ้น ๗ วัน พระบรมกษัตริย์พร้อมด้วยราชบริพารใหญ่ ยกกองทัพออกจากพระนคร ให้พระชาลีราชกุมารเป็นผู้นำทางเสด็จ. 
 พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  กองทัพใหญ่นั้น เป็นพาหนะของชนชาวสีพีควบคุมกัน มีพระชาลีราชกุมารเป็นผู้นำทางไปสู่เขาวงกต ช้างพลายกุญชรมีอายุ ๖๐ ปี พอควาญช้างผูกสายรัด ก็บันลือโกญจนาท ม้าอาชาไนยทั้งหลายก็ร่าเริง เสียงกงรถก็เกิดดังกึกก้อง ธุลีละอองก็ฟุ้งปิดนภากาศ. 
 เมื่อกองทัพพาหนะของชาวสีพีควบคุมกันยกไป กองทัพใหญ่นั้นควบคุมกัน นำสิ่งที่ควรนำไป มีพระชาลีราชกุมารเป็นผู้นำทางไปสู่เขาวงกต โยธาทั้งหลายเข้าไปสู่ป่าใหญ่อันมีกิ่งไม้มาก มีน้ำมาก ดาดาษไปด้วยไม้ดอกและไม้ผลทั้งสองอย่าง เสียงหยาดน้ำไหลในไพรสณฑ์นั้นดังลั่น นกทั้งหลายเป็นอันมากมีพรรณต่างๆ กัน เข้าไปร่ำร้องกะนกที่ร่ำร้องอยู่ที่แถวไม้อันมีดอกบานตามฤดูกาล. กษัตริย์ทั้ง ๔ องค์ เสด็จทางไกลล่วงวันและคืน ก็ลุถึงประเทศที่พระเวสสันดรประทับอยู่. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหตี ได้แก่กองทัพนับประมาณ ๑๒ อักโขภิณี. บทว่า อุยฺยุตฺตา ได้แก่ ควบคุมกัน. บทว่า โกญจํ นทติ ความว่า ในกาลนั้น พราหมณ์ชาวกาลิงครัฐ เมื่อฝนตกในแคว้นของตนแล้ว ก็นำช้างปัจจัยนาคตัวประเสริฐนั้นมาถวายคืนแด่พระเจ้าสญชัย. ช้างนั้นดีใจว่า จักได้พบนายละหนอ จึงได้บันลือโกญจนาท ท่านกล่าวคำนี้หมายเอาช้างนั้น. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กจฺฉาย ความว่า พอควาญช้างผูกสายรัดทองคำ ก็ดีใจบันลือโกญจนาท. บทว่า หสิสฺสนฺติ ได้แก่ ได้ส่งเสียงดัง. บทว่า หาริหารินี ได้แก่ สามารถนำสิ่งที่พึงนำไป. บทว่า ปาวึสุ ได้แก่ เข้าไปแล้ว. บทว่า พหุสาขํ ได้แก่ มีกิ่งไม้มาก. บทว่า ทีฆมทฺธานํ ได้แก่ ทางประมาณ ๖๐ โยชน์. บทว่า อุปาคญฺฉุํ ความว่า ลุถึงประเทศที่พระเวสสันดรประทับอยู่. 
 จบมหาราชบรรพ

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

อรรถกถา ๘ /๑๐ มหาเวสสันตรชาดก ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี

ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี    จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา  หน้าต่างที่ [ ๑ ] [ ๒ ] [ ๓ ] [ ๔ ] [ ๕ ] [ ๖ ] [ ๗ ] [ ๘ ] 
มัทรีบรรพ 
 ก็ในเมื่อ พระเวสสันดรราชฤาษีทรงบริจาคปิยบุตรมหาทาน เกิดมหัศจรรย์ มหาปฐพีบันลือลั่นโกลาหลเป็นอันเดียวกันตลอดถึงพรหมโลก หมู่เทวดาที่อยู่ ณ หิมวันตประเทศ เป็นประหนึ่งมีหทัยจะภินทนาการ ด้วยเหตุอันได้ยินเสียง พิลาปรำพันนั้นแห่งพระชาลีราชกุมาร และพระกัณหาชินาราชกุมารี ที่ชูชกพราหมณ์นำไป ต่างปรึกษากันว่า ถ้าพระนางมัทรีเสด็จมาสู่อาศรมสถานแต่วัน พระนางไม่เห็นพระโอรสธิดาในอาศรมนั้น ทูลถามพระเวสสันดรทรงทราบว่า พระราชทานแก่พราหมณ์ชูชกไปแล้ว พึงเสด็จแล่นตามไปด้วยความเสน่หาเป็นกำลัง ก็จะพึงเสวยทุกข์ใหญ่. 
 ลำดับนั้น เทวดาเหล่านั้นจึงบังคับสั่งเทพบุตร ๓ องค์ว่า ท่านทั้ง ๓ จงจำแลงกายเป็นราชสีห์ เป็นเสือโคร่ง เป็นเสือเหลือง กั้นทางเสด็จพระนางมัทรีไว้ แม้พระนางวิงวอนขอทางก็อย่าให้ จนกว่าดวงอาทิตย์อัสดงคต พึงจัดอารักขาให้ดี เพื่อไม่ให้ราชสีห์เป็นต้น เบียดเบียนพระนางได้ จนกว่าได้เสด็จเข้าอาศรม ด้วยแสงจันทร์. 
 พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  เทพเจ้าทั้งหลายได้ฟังความคร่ำครวญของราชกุมารกุมารี จึงได้กล่าวกะเทพบุตรทั้ง ๓ ว่า ท่านทั้งสามจงจำแลงกายเป็นสัตว์ร้ายในป่า คือเป็นราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง คอยกันพระนางมัทรีราชบุตรี อย่าพึงเสด็จกลับมาจากเสาะหาผลาผลแต่เย็นเลย เหล่าพาลมฤคในป่าอันเป็นเขตแดนของพวกเรา อย่าได้เบียดเบียนพระนางเจ้าเลย ถ้าราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง พึงเบียดเบียนพระนางเจ้าผู้มีลักษณะ พระชาลีราชกุมารจะไม่พึงมีพระชนม์อยู่ พระกัณหาชินาจะพึงมีพระชนม์ อยู่แต่ไหน พระนางเจ้าผู้มีลักษณะจะพึงเสื่อมจากพระราชสวามี และพระปิยบุตรทั้งสอง. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ วจนมพรวํ ความว่า เทวดาเหล่านั้นได้กล่าวคำนี้กะเทพบุตรทั้งสามว่า ท่านทั้งหลายคือทั้งสามองค์ จงแปลงเป็นพาลมฤคในป่า สามชนิดอย่างนี้คือราชสีห์หนึ่ง เสือโคร่งหนึ่ง เสือเหลืองหนึ่ง. บทว่า มา เหว โน ความว่า เทวดาทั้งหลายกล่าวว่า พระนางมัทรีราชบุตรีอย่าเสด็จกลับมาจากเสาะหาผลาผลแต่เย็นเลย จงเสด็จมาจนค่ำ อาศัยแสงเดือน. บทว่า มา เหวมหากํ นิพโภเค ความว่า พาลมฤคไรๆ ในป่าอันเป็นเขตแดน คือเป็นแว่นแคว้นของพวกเรา อย่าได้เบียดเบียนพระนางเจ้า ในป่าชัฏของพวกเราเลย เทวดาทั้งหลายสั่งเทพบุตรทั้งสามว่า พวกท่านจงอารักขาพระนางมัทรี โดยประการที่สัตว์ร้ายทั้งหลายเบียดเบียนไม่ได้. บทว่า สีโห เจ นํ ความว่า ก็ถ้าสัตว์ร้ายไรๆ ในบรรดาราชสีห์เป็นต้น พึงเบียดเบียนพระนางมัทรี ซึ่งไม่มีการระวังรักษา ครั้นเมื่อพระนางมัทรีถึงชีพิตักษัย พระชาลีราชกุมารจะไม่พึงมีพระชนม์อยู่ พระกัณหาชินาราชกุมารีจะพึงมีพระชนม์อยู่ แต่ไหน พระนางเจ้าผู้ถึงพร้อมด้วยลักษณะนั้น จะพึงเสื่อมจากพระปิยบุตรทั้งสองทีเดียว. บทว่า ปติปุตเต จ ความว่า พระนางเจ้ามัทรีจะพึงเสื่อมจากส่วนทั้งสอง เพราะฉะนั้น ท่านทั้งสามจงจัดอารักขาให้ดี. 
             ครั้งนั้น เทพบุตรทั้งสามรับคำของเทวดาเหล่านั้นว่า สาธุ. ต่างจำแลงกายกลายเป็นราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง มานอนหมอบเรียงกันอยู่ ในมรรคาที่พระนางเจ้ามัทรีเสด็จมา. 
 ฝ่ายพระนางมัทรีหวั่นพระหฤทัยว่า วันนี้เราฝันร้าย จักหามูลผลาผลในป่ากลับอาศรมแต่วัน ก็ทรงพิจารณาหามูลผลาผลทั้งหลาย. ลำดับนั้น (เกิดลางร้าย) เสียมหลุดจากพระหัตถ์ของพระนางเจ้า กระเช้าก็หลุดจากพระอังสา. พระเนตรเบื้องขวาก็เขม่น พฤกษาชาติที่มีผลก็เป็นเหมือนไม่มีผล. พฤกษาชาติที่ไม่เคยมีผล ก็ปรากฏเป็นราวกะว่ามีผล. ทิศทั้งปวงก็ไม่ปรากฏ. พระนางเจ้ามัทรีทรงพิจารณาว่า นี่เป็นอย่างไรหนอ ไม่เคยมีมาแต่ก่อนก็มามี ในวันนี้เหตุการณ์อะไรจักมีแก่เราแก่ลูกทั้งสองของเรา หรือแด่พระเวสสันดรราชสวามี กระมัง. 
             ทรงคิดฉะนี้แล้ว ตรัสว่า 
             เสียมก็ตกจากมือของเรา และนัยน์ตาขวาของเราก็เขม่น รุกขชาติที่เคยมีผลก็หาผลมิได้. ทิศทั้งปวง เราก็ฟั่นเฟือนลุ่มหลง. พระนางเจ้าเสด็จมาสู่อาศรมในเวลาเย็น ในเมื่อดวงอาทิตย์อัศดงคต พาลมฤคก็ปรากฏในหนทาง. 
 ครั้นเมื่อพระอาทิตย์โคจรลงต่ำ อาศรมก็ยังอยู่ไกล เราจักนำมูลผลาผลใดไปแต่ที่นี้ เพื่อพระราชสวามีและลูกทั้งสอง พระราชสวามีและลูกทั้งสองพึงเสวยมูลผลาผล อันเป็นของเสวยนั้น พระบรมกษัตริย์ผู้ภัสดาเสด็จอยู่ที่บรรณศาลา แต่พระองค์เดียวแท้ๆ ทรงเห็นว่า เรายังไม่กลับ ก็จะทรงปลอบโยนพระโอรสพระธิดาผู้หิว ลูกทั้งสองของเราเป็นกำพร้า ด้วยความเข็ญใจ. เคยเสวยนม เคยเสวยน้ำ ในเวลาที่คนสามัญเรียกให้อาหารเวลาเย็น ลูกทั้งสองของเราเป็นกำพร้า ด้วยความเข็ญใจ. เคยลุกยืนรับเรา เหมือนลูกโคอ่อนยืนคอยแม่โคนม ลูกทั้งสองของเราเป็นกำพร้า ด้วยความเข็ญใจ. หรือประหนึ่งลูกหงส์ยืนอยู่บนเปือกตมคอยแม่. ลูกทั้งสองของเราเป็นกำพร้าด้วยความเข็ญใจ. เคยยืนรับเราแต่ที่ใกล้อาศรม ทางเดินไปมีเฉพาะทางเดียว เป็นทางเดินได้คนเดียว เพราะมีสระและที่ลุ่มลึกอยู่ข้างๆ เราไม่เห็นทางอื่นซึ่งจะพึงแยกไปสู่อาศรม.
 ข้าขอนอบน้อมพระยาพาลมฤคผู้มีกำลังมากในป่า ท่านทั้งหลายจงเป็นพี่ของข้าโดยธรรม จงให้มรรคาแก่ข้าผู้ขอเถิด. ข้าเป็นมเหสีของพระเวสสันดรราชบุตรผู้มีสิริ ผู้ถูกเนรเทศจากแคว้น ข้าผู้อนุวัตรไม่ล่วงเกินพระราชสวามี ดุจนางสีดาผู้อนุวัตรไม่ล่วงเกินพระรามราชสวามี ฉะนั้น. ขอท่านทั้งหลายจงให้ทางแก่ข้า แล้วไปพบลูกทั้งสอง เพราะถึงเวลาเรียกกินอาหารเย็นแล้ว. ส่วนข้าก็จะได้ไปพบชาลี และกัณหาชินาบุตรบุตรีทั้งสองของข้า. รากไม้ผลไม้นี้มีมากและภักษานี้ก็มีไม่น้อย. ข้าให้กึ่งหนึ่งแต่มูลผลาผลนั้น แก่ท่านทั้งหลาย. ท่านทั้งหลายจงให้มรรคาแก่ข้าผู้ขอเถิด พระมารดาของพวกข้าเป็นพระราชบุตรี และพระบิดาของพวกข้าก็เป็นพระราชบุตร. ท่านทั้งหลายจงเป็นภาดาของข้าโดยธรรม จงให้มรรคาแก่ข้าผู้ขอเถิด. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสสา ได้แก่ เรานั้น. บทว่า อสสมาคมนํ ปติ ความว่า มาหมายเฉพาะอาศรม. บทว่า อุปฏหํ ได้แก่ ปรากฏขึ้น เล่ากันมาว่า สามสัตว์เหล่านั้นนอนเรียงกันอยู่ก่อน. เวลาพระนางมัทรีเสด็จมา จึงลุกขึ้นบิดตัวแล้ว แล้วกั้นมรรคายืนขวางเรียงกันอยู่. บทว่า ยญฺจ เนสํ ความว่า ชนทั้งสามนั้น คือ พระเวสสันดรและลูกน้อยทั้งสองของพระองค์ พึงบริโภคมูลผลาผล ที่ข้านำไปแต่ป่านี้เพื่อเขา โภชนาหารอย่างอื่นไม่มีแก่เขาเหล่านั้น. บทว่า อนายตึ ความว่า พระเวสสันดรทราบว่า ข้ายังไม่กลับมา พระองค์เดียวนั่นแหละ ประทับนั่งปลอบโยนเด็กทั้งสองแน่ๆ. บทว่า สํเวสนากาเล ได้แก่ ในเวลาที่ตนให้กินอาหาร ให้ดื่มน้ำในวันอื่นๆ. บทว่า ขีรํ ปีตาว ความว่า พระนางมัทรีตรัสว่า ลูกน้อยมฤคีที่ยังไม่อดนมร้อง
หิวนม เมื่อไม่ได้นมก็ร้องไห้จนหลับไป ฉันใด. ลูกน้อยทั้งสองของข้า ร้องไห้อยากผลาผล เมื่อไม่ได้ผลาผลก็จักร้องไห้จนหลับไป ฉันนั้น. บทว่า วารึ ปีตาว ความว่า ในอาศรมบท พึงเห็นเนื้อความโดยนัยนี้ว่า เหมือนลูกน้อยมฤคีมีความระหาย ร้องหิวน้ำ. เมื่อไม่ได้น้ำก็ร้องคร่ำครวญจนหลับไป. บทว่า อจฉเร ได้แก่ อยู่. บทว่า ปจจุคตา มํ ตฏฺนติ ความว่า ยืนคอยรับเรา. ปาฐะว่า ปจจุคคตํ ก็มีความว่า ต้อนรับ. บทว่า เอกายโน ได้แก่ เป็นที่ไปแห่งคนผู้เดียวเท่านั้น คือเป็นทางเดินได้เฉพาะคนเดียว. บทว่า เอกปโถ ความว่า ทางนั้นเฉพาะคนเดียวเท่านั้น ไม่มีคนที่สอง คือไม่อาจแม้จะก้าวลงไปได้. เพราะเหตุไร เพราะมีสระและที่ลุ่มลึกอยู่ข้างทาง. 
 บทว่า นมตฺถุ ความว่า พระนางมัทรีนั้นทอดพระเนตรไม่เห็นทางอื่นคิดว่า เราจักอ้อนวอนสามสัตว์เหล่านี้ให้ช่วยเรากลับไปได้ จึงลดกระเช้าผลไม้ลงจากพระอังสา ประคองอัญชลีนมัสการกล่าวอย่างนี้. บทว่า ภาตโร ความว่า ก็พวกเราเป็นลูกของเจ้ามนุษย์ แม้พวกท่านก็เป็นลูกของเจ้ามฤค. ดังนั้น ขอพวกท่านจงเป็นพี่โดยธรรมของข้าเถิด. บทว่า อวรุทธสส ได้แก่ ถูกเนรเทศจากแว่นแคว้น. บทว่า รามํ สีตาวนุพพตา ความว่า พระนางมัทรีกล่าวว่า พระเทวีสีดาผู้พระกนิษฐาของพระราม เป็นพระอัครมเหสีของพระรามนั้นเอง เป็นผู้อนุวัตรตามพระราม คือ เคารพยำเกรงพระรามผู้สวามีเหมือนเทวดา เป็นผู้ไม่ประมาทบำรุงบำเรอพระรามราชโอรสของพระเจ้าทศรถมหาราช ฉันใด. แม้ข้าก็เป็นผู้ไม่ประมาทบำรุงบำเรอพระเวสสันดร ฉันนั้น. บทว่า ตุมฺเห จ ความว่า พระนางมัทรีอ้อนวอนว่า ขอท่านทั้งหลายจงให้มรรคาแก่เราแล้วไปพบลูกๆ ของท่านในเวลากินอาหารเย็น. ส่วนข้าก็จะพบลูกๆ ของข้า. ขอท่านทั้งหลายจงให้มรรคาเถิด. 
             ครั้งนั้น เทพบุตร (ที่จำแลงเป็นสามสัตว์) เหล่านั้น แลดูเวลาก็รู้ว่า บัดนี้เป็นเวลาที่จะให้มรรคาแก่พระนางแล้ว จึงลุกขึ้นหลีกไป. 
             พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  เมื่อพระนางเจ้ามัทรีทรงพิไรรำพันอยู่ เหล่ามฤคจำแลงได้ฟังพระวาจาอันอ่อนหวาน กอรปด้วยน่าเอ็นดูมาก ก็หลีกไปจากทางเสด็จ. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เนลปตึ ความว่า วาจาอ่อนหวานบริสุทธิ์ ไม่มากไปด้วยน้ำลาย คือปราศจากน้ำลายแตก. 
             เมื่อพาลมฤคทั้งสามหายไปแล้ว พระนางเจ้ามัทรีก็เสด็จไปถึงอาศรม ก็ในกาลนั้นเป็นวันบูรณมีอุโบสถ พระนางเจ้าเสด็จถึงท้ายที่จงกรม ไม่เห็นพระลูกรักทั้งสองซึ่งเคยเห็นในที่นั้นๆ จึงตรัสว่า 
 พระลูกน้อยทั้งสองขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่น เคยลุกยืนรับเราในประเทศนี้ ดุจลูกวัวอ่อนยืนคอยแม่โคนม ฉะนั้น. พระลูกน้อยทั้งสองขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่น เคยยืนต้อนรับแม่อยู่ตรงนี้ดุจหงส์ยืนอยู่บนเปือกตม ฉะนั้น. พระลูกน้อยทั้งสองขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่น เคยยืนรับเราอยู่ที่ใกล้อาศรมนี้. ลูกทั้งสองเคยร่าเริงหรรษา วิ่งมาต้อนรับแม่ ดุจมฤคชาติชูหูวิ่งแล่นไปโดยรอบ ฉะนั้น. ร่าเริงบันเทิงเป็นไป ประหนึ่งยังหัวใจแม่ให้ยินดี. 
 วันนี้แม่ไม่เห็นชาลีและกัณหาชินาลูกรักทั้งสองนั้น วันนี้แม่ละลูกทั้งสองออกไปหาผลไม้ เหมือนแม่แพะแม่เนื้อและแม่นกพ้นไปจากรัง และแม่ราชสีห์อยากได้เหยื่อละลูกไว้ออกไป ฉะนั้น แม่กลับมาก็ไม่เห็นชาลีและกัณหาชินาลูกรักทั้งสองนั้น วันนี้แม่ไม่เห็นชาลีและกัณหาชินาลูกรักทั้งสองนั้น ซึ่งมีรอยบาทก้าวไปมาปรากฏอยู่ ดุจรอยเท้าแห่งช้าง ข้างภูเขาและกองทรายที่ลูกทั้งสองกองไว้ ยังเกลื่อนอยู่ในที่ไม่ไกลอาศรม แม่ไม่เห็นลูกทั้งสองซึ่งเคยเอาทรายโปรยเล่น จนกายขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่นวิ่งไปรอบๆ วันนี้แม่ไม่เห็นชาลีและกัณหาชินาลูกรักทั้งสอง ซึ่งแต่ก่อนเคยต้อนรับแม่ผู้กลับจากป่ามาแต่ไกล วันนี้แม่ไม่เห็นลูกทั้งสองซึ่งคอยรับแม่ แลดูแม่แต่ไกลดุจลูกแพะลูกเนื้อวิ่งมาหาแม่ของตนแต่ไกล ก็ผลมะตูมเหลืองนี้เป็นของเล่นของลูกทั้งสองตกอยู่แล้ว วันนี้แม่ไม่เห็นชาลีและกัณหาชินาลูกรักทั้งสองนั้น ถันทั้งสองของแม่นี้เต็มด้วยน้ำนม แต่อุระราวกะจะแตกทำลาย. 
 วันนี้แม่ไม่เห็นชาลีและกัณหาชินาลูกรักทั้งสองนั้น. ลูกชายหรือลูกหญิงเลือกดื่มนมอยู่บนตักของแม่ ราวกะถันข้างหนึ่งของแม่จะยาน. วันนี้แม่ไม่เห็นชาลีและกัณหาชินาลูกรักทั้งสองนั้น. ลูกน้อยทั้งสองขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่นในสายัณห์สมัย มาเกลือกกลิ้งไปมาบนตักแม่. แม่ไม่เห็นลูกทั้งสองนั้น เมื่อก่อนอาศรมนี้นั้นปรากฏแก่เราราวกะมีมหรสพ. วันนี้แม่ไม่เห็นลูกทั้งสองนั้น อาศรมเหมือนจะหมุนไป. 
 นี่อย่างไร อาศรมสถานเงียบเสียงเสียทีเดียว ปรากฏแก่แม่. แม้แต่ฝูงกาก็ไม่มีอยู่ ลูกทั้งสองของแม่จักสิ้นชนมชีพเสียแน่แล้ว. นี่อย่างไร อาศรมสถานเงียบเสียงเสียทีเดียว ปรากฏแก่แม่. แม้แต่ฝูงสกุณชาติก็ไม่มีอยู่ ลูกทั้งสองของแม่จักสิ้นชนมชีพเสียแน่แล้ว. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นํ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ปํสุกุณฐิตา ได้แก่ เปรอะเปื้อนด้วยฝุ่น. บทว่า ปจจคคตา มํ ความว่า คอยรับเรา. ปาฐะว่า ปจจุคนตํ ดังนี้ก็มี ความว่า ต้อนรับ. บทว่า อุกกณณา ความว่า เหมือนพวกลูกเนื้อตัวน้อยๆ เห็นแม่ก็ยกหูชูคอเข้าไปหาแม่ ร่าเริงยินดี วิ่งเล่นอยู่รอบๆ. บทว่า วตมานาว กมปเร ความว่า เป็นไปราวกะยังหัวใจของแม่ให้ยินดี. เมื่อก่อนลูกทั้งสองของเราเป็นอย่างนี้. บทว่า ตยชฺช ความว่า วันนี้แม่ไม่เห็นลูกรักทั้งสองนั้น. บทว่า ฉคิลีว มิคี ฉาปํ ความว่า พระนางมัทรีกล่าวว่า แม่แพะ แม่เนื้อและแม่นกที่พ้นไปจากรัง คือกรง และแม่ราชสีห์ที่อยากได้เหยื่อ ละลูกน้อยของตนหลีกไปหาเหยื่อ ฉันใด. แม่ก็ละลูกทั้งสองออกไป ฉันนั้น. 
 บทว่า อิทํ เนสํ ปรกกนตํ ความว่า รอยเท้าที่วิ่งไปวิ่งมาในสถานที่เล่นของลูกทั้งสองยังปรากฏอยู่ ดุจรอยเท้าช้างที่เนินเขาในฤดูฝน. บทว่า จิตกา ได้แก่ กองทรายที่ลูกทั้งสองกองเข้าไว้. บทว่า ปริกิณณาโย ได้แก่ กระจัดกระจาย. บทว่า สมนฺตามภิธาวนฺติ ความว่า วิ่งแล่นไปรอบๆ ในวันอื่นๆ. บทว่า ปจจเทนติ ได้แก่ ต้อนรับ. บทว่า ทูรมายตึ ได้แก่ ผู้มาแต่ไกล. บทว่า ฉคิลึว มิคึ ฉาปา ความว่า เห็นแม่ของตนแล้ววิ่งมาหา เหมือนลูกแพะเห็นแม่แพะ ลูกเนื้อเห็นแม่เนื้อ. บทว่า อิทญฺจ เนสํ กีฬนํ ความว่า ผลมะตูมมีสีดังทองนี้ เป็นของเล่นของลูกทั้งสองซึ่งเล่นตุ๊กตาช้างเป็นต้น กลิ้งตกอยู่แล้ว. บทว่า มยฺหิเม ความว่า ก็ถันทั้งสองของเรานี้เต็มด้วยน้ำนม. บทว่า อุโร จ สมปทาลิภิ ความว่า แต่หทัยเหมือนจะแตก. บทว่า อุจจงเก เม วิวตตนติ ความว่า กลิ้งเกลือกอยู่บนตักของเรา. บทว่า สมมชโช ปฏิภาติ มํ ความว่า ปรากฏแก่เราเหมือนโรงมหรสพ. บทว่า ตยชช ตัดบทเป็น เต อชช ความว่า วันนี้เราไม่เห็นลูกทั้งสองนั้น. น ปสสนตยา ได้แก่ เราไม่เห็นอยู่. บทว่า ภมเต วิย ความว่า ย่อมหมุนเหมือนจักรของช่างหม้อ. บทว่า กาโกลา ได้แก่ ฝูงกาป่า. บทว่า มตา นูน ความว่า จักตายคือจักถูกใครๆ นำไปแน่. บทว่า สกุณาปิ ได้แก่ ฝูงนกที่เหลือ. บทว่า มตา นูน ความว่า จักตายเสียเป็นแน่แล้ว
             พระนางมัทรีพิลาปรำพันอยู่ ด้วยประการฉะนี้ เสด็จไปเฝ้าพระเวสสันดรมหาสัตว์ ปลงกระเช้าผลไม้ลง เห็นพระมหาสัตว์ประทับนั่งนิ่งอยู่ เมื่อไม่เห็นพระโอรสธิดาในสำนักพระภัสดา จึงทูลถามว่า 
 นี่อย่างไร พระองค์ทรงนิ่งอยู่ เออก็เมื่อหม่อมฉันฝันในราตรี ใจก็นึกถึงอยู่ แม้ฝูงกาฝูงนกก็ไม่มีอยู่ ลูกทั้งสองของหม่อมฉันจักสิ้นชีพเสียแน่แล้ว ข้าแต่พระลูกเจ้า พาลมฤคในป่าที่ไร้ผลและเงียบสงัด ได้กัดกินลูกทั้งสองของหม่อมฉันเสีย แล้วกระมัง หรือใครนำลูกทั้งสองของหม่อมฉันไปเสียแล้ว ลูกทั้งสองของหม่อมฉัน พระองค์ให้เป็นทูตส่งไปเฝ้าพระสีวีราชกรุงเชตุดร หรือเธอผู้ช่างตรัสเป็นที่รักบรรทม หลับในบรรณศาลา หรือเธอขวนขวายในการเล่นเสด็จออกไปข้างนอกหนอ เส้นพระเกสาของลูกทั้งสองไม่ปรากฏ พระหัตถ์และพระบาทซึ่งมีลายตาข่าย ก็ไม่ปรากฏเลย เห็นจะถูกนกทั้งหลายโฉบคาบไป ลูกทั้งสองของหม่อมฉัน อันใครนำไป. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปิ รตเตว เม มโน ความว่า เออ ก็ใจของหม่อมฉันเป็นเหมือนเห็นสุบิน ในเวลาใกล้รุ่ง. บทว่า มิคา ได้แก่ พาลมฤคมีราชสีห์เป็นต้น. บทว่า อีริเน ได้แก่ ไร้ผล. บทว่า วิวเน ได้แก่ เงียบสงัด. บทว่า อาทู เต ความว่า หรือว่าพระองค์ให้เป็นทูตส่งไปเฝ้าพระเจ้าสีวีราชกรุงเชตุดร. บทว่า อาทู สุตตา ความว่า เสด็จเข้าบรรทมภายในบรรณศาลา. บทว่า อาทู พหิ โน ความว่า พระนางมัทรีทูลถามว่า หรือว่าลูกทั้งสองของหม่อมฉันเหล่านั้น ขวนขวายในการเล่นออกไปข้างนอก. บทว่า เนวาสํ เกสา ทิสสนติ ความว่า ข้าแต่พระสวามีเวสสันดร เกสาสีดอกอัญชันดำของลูกทั้งสองนั้น ไม่ปรากฏเลย หัตถ์และบาทซึ่งมีลายตาข่าย ก็ไม่ปรากฏ. บทว่า สกุณานญฺจ โอปาโต ความว่า ในหิมวันตประเทศมีนกหัสดีลิงค์ นกเหล่านั้นบินมาพาไปทางอากาศนั่นแล เหตุนั้น หม่อมฉันอันนกเหล่านั้นนำไปหรือ แม้นกอะไรๆ อื่นจากนี้ซึ่งเป็นราวกะว่านกเหล่านั้นโฉบเอาไป ขอพระองค์โปรดบอก ลูกทั้งสองของหม่อมฉันอันใครนำไป. 
 แม้เมื่อพระนางมัทรีกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ก็มิได้ตรัสอะไร ลำดับนั้น พระนางจึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เหตุไร พระองค์จึงไม่ตรัสกะหม่อมฉัน หม่อมฉันมีความผิดอย่างไร ทูลฉะนี้ แล้วตรัสว่า  การที่พระองค์ไม่ตรัสกะหม่อมฉันนี้ เป็นทุกข์ยิ่งกว่า การที่วันนี้หม่อมฉันไม่เห็นชาลี และกัณหาชินาลูกรักทั้งสองนั้น เหมือนแผลที่ถูกแทงด้วยลูกศร การไม่เห็นลูกทั้งสองและพระองค์ไม่ตรัสกะหม่อมฉัน แม้นี้เป็นทุกข์ซ้ำสอง เหมือนลูกศรแทงหทัยของหม่อมฉัน 
               ข้าแต่พระราชบุตร วันนี้ ถ้าพระองค์ไม่ตรัสกะหม่อมฉันตลอดราตรีนี้ พรุ่งนี้เช้า ชะรอยพระองค์จะได้ทอดพระเนตรเห็นหม่อมฉันปราศจากชีวิตตายเสียแล้ว. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ ตโต ทุกขตรํ ความว่า ข้าแต่พระสวามีเวสสันดร การที่พระองค์ไม่ตรัสกับหม่อมฉัน เป็นทุกข์แก่หม่อมฉันยิ่งกว่า ทุกข์ที่หม่อมฉันถูกเนรเทศจากแว่นแคว้นมาอยู่ป่า และทุกข์ที่หม่อมฉันไม่เห็นลูกทั้งสอง. เพราะพระองค์ทำให้หม่อมฉันลำบากด้วยความนิ่ง. เหมือนรื้อเรือนไฟไหม้ เหมือนเอาไม้ตีคนตกต้นตาล เหมือนเอาลูกศรแทงที่แผล. ด้วยว่า หทัยของหม่อมฉันนี้ย่อมหวั่นไหวและเจ็บปวด เหมือนแผลที่ถูกแทงด้วยลูกศร. ปาฐะว่า สํวิทฺโธ ดังนี้ก็มี ความว่า แทงทะลุตลอด. บทว่า โอกกนตสนตมํ ได้แก่ ซึ่งหม่อมฉันผู้ปราศจากชีวิต. โน อักษร ในบทว่า ทกฺขสิ โน นี้เป็นเพียงนิบาต ความว่า พระองค์จะได้ทอดพระเนตร เห็นหม่อมฉันตายเสียแล้วตรงเวลาทีเดียว. 
             ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า เราจักให้พระนางมัทรีละความโศก เพราะบุตรเสียด้วยถ้อยคำหยาบ จึงตรัสคาถานี้ว่า   แน่ะมัทรี เธอเป็นราชบุตร มีรูปงาม มียศ ไปเสาะหาผลไม้แต่เช้า ไฉนหนอ จึงกลับมาจนเย็น. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิมิทํ สายมาคตา ความว่า พระเวสสันดรบรมโพธิสัตว์ตรัสคุกคามและลวงว่า แน่ะมัทรี เธอมีรูปงามน่าเลื่อมใส และในหิมวันตประเทศก็มีพรานป่า ดาบสและวิทยาธรเป็นต้น ท่องเที่ยวอยู่เป็นอันมาก ใครจะรู้เรื่องอะไรๆ ที่เธอทำแล้ว เธอไปป่าแต่เช้า กลับมาจนเย็น นี่อย่างไร ธรรมดา หญิงที่ละเด็กเล็กๆไปป่า จะเป็นหญิงมีสามีหรือไม่มีก็ตาม ย่อมไม่เป็นอย่างนี้ ความคิดแม้เพียงนี้ว่า ลูกน้อยของเราจะเป็นอย่างไร หรือสามีของเราจักคิดอย่างไร ดังนี้มิได้มีแก่เธอ เธอไปแต่เช้า กลับมาด้วยแสงจันทร์นี้ เป็นโทษแห่งความยากเข็ญของฉัน. 
 พระนางมัทรีได้สดับพระราชดำรัสดังนั้น จึงทูลสนองว่า  พระองค์ได้ทรงสดับเสียงกึกก้องของพาลมฤค ที่มาสู่สระเพื่อดื่มน้ำ คือราชสีห์ เสือโคร่ง ผู้บันลือเสียงแล้ว มิใช่หรือ? บุรพนิมิตได้เกิดมีแก่หม่อมฉันผู้เที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ เสียมหลุดจากมือของหม่อมฉัน กระเช้าที่คล้องอยู่บนบ่าก็พลัดตก กาลนั้น หม่อมฉันตกใจกลัว ได้กระทำอัญชลีไหว้ทิศต่างๆ ทุกทิศด้วยปรารถนาว่า ขอความปลอดโปร่งแต่ภัยนี้พึงมีแก่เรา และพระราชบุตรของเราทั้งหลาย อันราชสีห์และเสือเหลืองอย่าได้เบียดเบียนเลย ทั้งกุมารกุมารีทั้งสอง อันหมี หมาป่า และเสือดาว อย่าได้มาจับต้องเลย พาลมฤคในป่าทั้งสามสัตว์ คือราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง เหล่านั้น พบหม่อมฉันแล้วขวางทางไว้ ด้วยเหตุนั้น หม่อมฉันจึงได้กลับเย็นไป. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย สรํ ปาตุ ความว่า สัตว์เหล่าใดมาสู่สระนี้เพื่อดื่มน้ำ. บทว่า พยคฆสส จ ความว่า พระนางมัทรีทูลถามว่า พระองค์ได้ทรงสดับเสียงของเสือโคร่งและสัตว์สี่เท้าอื่นๆ มีช้างเป็นต้น และฝูงนกที่ส่งเสียงร้องกึกก้องเป็นอันเดียวกันแล้ว มิใช่หรือ. ก็เสียงนั้น ได้มีในเวลาที่พระมหาสัตว์พระราชทานพระโอรสและพระธิดา. บทว่า อหุ ปุพฺพนิมิตฺตํ ความว่า ข้าแต่สมมติเทพ บุรพนิมิตเพื่อเสวยทุกข์อันนี้ ได้มีแก่หม่อมฉันแล้ว. บทว่า อุคฺคีวํ ได้แก่ กระเช้าที่คล้องอยู่บนบ่าพลัดตก. บทว่า ปุถุ ความว่า หม่อมฉันนมัสการแต่ละทิศทั่วสิบทิศ. บทว่า มา เหว โน
ความว่า หม่อมฉันนมัสการปรารถนาว่า ขอพระราชบุตรเวสสันดรของพวกเรา จงอย่าถูกพาลมฤคมีราชสีห์เป็นต้นฆ่า ขอลูกทั้งสองจงอย่าถูกหมีเป็นต้นแตะต้อง. บทว่า เต มํ ปริยาวรุ มคฺคํ ความว่า พระนางมัทรีกราบทูลว่า ข้าแต่พระสวามี หม่อมฉันคิดว่า เราได้เห็นเหตุที่น่ากลัวเหล่านี้เป็นอันมาก และเห็นสุบินร้ายวันนี้ เราจักกลับมาให้ทันเวลาทีเดียว เห็นต้นไม้ที่ผลิตผลเหมือนไม่มีผล ต้นไม้ที่ไม่มีผล ก็เหมือนผลิตผล เก็บผลาผลได้โดยยาก ไม่อาจมาถึงประตูป่า ทั้งราชสีห์เป็นต้นเหล่านั้นเห็นหม่อมฉัน แล้วได้ยืนเรียงกันกั้นทางเสีย เพราะเหตุนั้น หม่อมฉันจึงมาจนเย็น ขอพระองค์ได้โปรดยกโทษแก่หม่อมฉันเถิด พระเจ้าค่ะ. 
 พระมหาสัตว์ตรัสพระวาจาเท่านี้กับพระนางมัทรีแล้ว มิได้ตรัสอะไรๆ อีกจนอรุณขึ้น จำเดิมแต่นี้ พระนางมัทรีพิลาปรำพันมีประการต่างๆ ตรัสว่า  หม่อมฉันผู้เป็นชฏินีพรหมจารินี บำรุงพระสวามีและลูกทั้งสองตลอดวันคืน ดุจมาณพบำรุงอาจารย์ หม่อมฉันนุ่งห่มหนังเสือเหลืองนำมูลผลในป่ามา ประพฤติอยู่ตลอดวันคืน เพราะใคร่ต่อพระองค์และบุตรธิดา. หม่อมฉันฝนขมิ้นสีเหมือนทองนี้เพื่อทาลูกทั้งสอง และนำผลมะตูมสุกเหลืองนี้ เพื่อถวายให้ทรงเล่น และนำผลไม้ทั้งหลายมาด้วยหวังว่า ผลไม้เหล่านี้จะเป็นเครื่องเล่นของพระโอรสธิดาแห่งพระองค์. 
 ข้าแต่บรมกษัตริย์ขอพระองค์ พร้อมด้วยพระโอรสและพระธิดา จงเสวยสายบัว เหง้าบัว กระจับประกอบด้วยรสหวานน้อยๆนี้ พระองค์จงประทานดอกกุมุทแก่แม่กัณหา พระองค์จะได้ทอดพระเนตรพระกุมาร ผู้ประดับระเบียบดอกไม้ฟ้อนรำอยู่ โปรดตรัสเรียกสองพระราชบุตรมาเถิด แม่กัณหาชินาจะได้มานี่ ข้าแต่พระองค์ผู้จอมทัพ ขอพระองค์จงพิจารณาดูแม่กัณหาชินาผู้มีเสียงดังไพเราะ ขณะเข้าไปสู่อาศรม เราทั้งสองถูกเนรเทศจากแว่นแคว้น เป็นผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน ก็พระองค์ได้ทรงเห็น พระราชบุตรทั้งสองคือพ่อชาลีและแม่กัณหาชินาบ้าง หรือไม่ ชะรอยว่า หม่อมฉันได้บริภาษ สมณพราหมณ์ผู้มีพรหมจรรย์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ผู้มีศีล ผู้พหูสูต ในโลกไว้กระมัง วันนี้จึงไม่พบลูกทั้งสอง คือพ่อชาลีและแม่กัณหาชินา. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาจริยมิว มาณโว ความว่า เหมือนอันเตวาสิกผู้สมบูรณ์ด้วยวัตรปฏิบัติอาจารย์. บทว่า อนุฏฺฐิตา ความว่า หม่อมฉันบำรุง คือเป็นผู้ไม่ประมาทปฏิบัติด้วยการลุกขึ้นบำเรอ. บทว่า ตุมฺหํ กามา ความว่า ปรารถนาพระองค์ด้วยใคร่ต่อพระองค์. พระนางมัทรีคร่ำครวญรำพันถึงสองกุมารด้วยบทว่า ปุตตกา. บทว่า สุวณณหาลิททํ ความว่า หม่อมฉันฝน คือบดขมิ้นซึ่งมีสีเหมือนทอง ถือมาเพื่อสรงสนานพระโอรสธิดาของพระองค์. บทว่า ปณฑุเวลุวํ ความว่า แม้ผลมะตูมสุกซึ่งมีสีเหมือนทองนี้ หม่อมฉันก็นำมาเพื่อพระองค์ทรง
เล่น. บทว่า รุกขปกกานิ ความว่า แม้ผลไม้อื่นๆ ซึ่งเป็นที่ชอบใจ. หม่อมฉันก็ได้นำมาเพื่อพระองค์ทรงเล่น. บทว่า อิเมโว ความว่า พระนางมัทรีกล่าวว่า ลูกน้อยทั้งสองนี้เป็นเครื่องเล่นของพระองค์. บทว่า มูฬาลิวตตกํ ได้แก่ สายบัว. บทว่า สาลุกํ ความว่า แม้เหง้าบัวมีอุบลเป็นต้นนี้ หม่อมฉันก็นำมาเป็นอันมาก. บทว่า ชิญชโรทกํ ได้แก่ กระจับ. บทว่า ภุญฺช ความว่า พระนางมัทรีคร่ำครวญว่า ขอพระองค์โปรดเสวยของนี้ทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยน้ำผึ้งเล็กน้อย พร้อมด้วยพระโอรสธิดา. บทว่า สิวิ ปุตตานิ อวยห ความว่า ข้าแต่พระเจ้าสีวีราชผู้สวามี ขอพระองค์โปรดรีบตรัสเรียกพระโอรสธิดาจากที่บรรทมในบรรณศาลา. บทว่า อปิ สิวิ ปุตเต ปสเสสิ ความว่า ข้าแต่พระเจ้าสีวีราชผู้สวามี ขอพระองค์ทอดพระเนตรดูพระโอรสธิดาทั้งสองเถิด ถ้าทรงเห็นก็โปรดแสดงแก่หม่อมฉัน ขอได้โปรดอย่าให้หม่อมฉันลำบากนักเลย. บทว่า อภิสสึ ความว่า หม่อมฉันได้ด่าเป็นแน่อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงอย่าพบบุตรธิดาของพวกท่านเลย.
 แม้พระนางมัทรีทรงพิลาปรำพันอยู่อย่างนี้ พระเวสสันดรมหาสัตว์ก็มิได้ตรัสอะไรๆ ด้วยเลย ครั้นพระมหาสัตว์ไม่ตรัสด้วย พระนางมัทรีก็หวั่นพระหฤทัย เสด็จเที่ยวค้นหาพระโอรสพระธิดาของพระองค์ ด้วยอาศัยแสงจันทร์ เสด็จถึงสถานที่ทั้งปวงนั้นๆ มีต้นหว้าเป็นต้น ซึ่งเป็นที่พระโอรสพระธิดาเคยเล่น ทรงคร่ำครวญตรัสว่า 
 รุกขชาติต่างๆ เช่นไม้หว้า ไม้ยางทรายซึ่งมีกิ่งห้อยย้อย อนึ่ง รุกขชาติที่มีผลต่างๆ เช่นไม้โพใบ ขนุน ไทร มะขวิด ปรากฏอยู่ทั้งนั้น แต่ลูกทั้งสองหาปรากฏไม่. ลูกทั้งสองเคยเล่นที่สวนและแม่น้ำซึ่งมีน้ำเย็น เคยทัดทรงบุปผชาติต่างๆ บนภูผา และเคยเสวยผลไม้ต่างๆ บนภูผา แต่ลูกทั้งสองหาปรากฏไม่. ตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัว ที่ลูกทั้งสองเคยเล่นยังปรากฏอยู่ แต่ลูกทั้งสองหาปรากฏไม่. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิโม โน หตถิกา อสสา ความว่า พระนางมัทรีทรงค้นหาพระโอรสพระธิดาบนภูเขา ไม่เห็น ก็ทรงคร่ำครวญ เสด็จลงจากภูเขามาสู่อาศรมบทอีก ทรงคร่ำครวญถึงพระโอรสพระธิดาในอาศรมบทนั้น ทอดพระเนตรเห็นของเล่นทั้งหลายของพระโอรสพระธิดา จึงตรัสอย่างนี้. 
 ครั้งนั้น ฝูงมฤคและปักษีต่างออกจากที่อยู่ เพราะสำเนียงทรงคร่ำครวญ และเสียงฝีพระบาทของพระนางมัทรี. พระนางมัทรีทอดพระเนตรเห็นสัตว์เหล่านั้น จึงตรัสว่า  ตุ๊กตาเนื้อทรายทอง ตุ๊กตากระต่าย ตุ๊กตานกเค้า และตุ๊กตาชะมดเหล่านี้เป็นอันมาก ที่ลูกทั้งสองเคยเล่นยังปรากฏอยู่ แต่ลูกทั้งสองหาปรากฏไม่. เหล่าตุ๊กตาหงส์ ตุ๊กตานกกระเรียน และตุ๊กตานกยูงขนหางวิจิตรเหล่านี้ ที่ลูกทั้งสองเคยเล่นปรากฏอยู่ แต่ลูกทั้งสองหาปรากฏไม่. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สามา ได้แก่ เนื้อทรายทองตัวเล็กๆ. บทว่า สโสลูกา ได้แก่ กระต่ายและนกเค้าป่า. 
             พระนางมัทรีไม่เห็นพระปิยบุตรทั้งสอง ณ อาศรมบท จึงเสด็จออกจากอาศรมบทเข้าสู่ชัฏป่าดอกไม้ ทอดพระเนตรดูสถานที่นั้นๆ ตรัสว่า 
             พุ่มไม้มีดอกตลอดกาล และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ มีนกจากพรากส่งเสียงร้อง ดาดาษไปด้วยมณฑาดอกและปทุมอุบล ซึ่งเป็นที่ลูกทั้งสองเคยเล่นยังปรากฏอยู่ แต่ลูกทั้งสองหาปรากฏไม่. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วนคุมพาโย ได้แก่ พุ่มดอกไม้ป่านั่นเอง. 
             พระนางมัทรีไม่ประสบพระปิยบุตรทั้งสอง ณ ที่ไรๆ ก็เสด็จมาเฝ้าพระมหาสัตว์อีก เห็นพระองค์ประทับนั่งมีพระพักตร์เศร้าหมอง จึงทูลว่า 
             พระองค์ไม่หักไม้แห้ง ไม่นำน้ำมา ไม่ติดไฟ เป็นไฉนหนอ พระองค์ดูเหมือนอ่อนแรงซบเซาอยู่ พระองค์เป็นที่รักของหม่อมฉัน ความทุกข์หายไปเพราะสมาคมกับพระองค์ ผู้เป็นที่รักของหม่อมฉัน วันนี้ หม่อมฉันไม่เห็นลูกทั้งสอง คือพ่อชาลีและแม่กัณหาชินา. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น หาสิโต ได้แก่ ไม่ให้ลุกโพลง. ท่านอธิบายไว้ว่า ข้าแต่พระสวามี เมื่อก่อนพระองค์หักฟืน นำน้ำมาตั้งไว้ก่อไฟในกระเบื้องถ่านเพลิง วันนี้พระองค์ไม่ทำแม้อย่างเดียว ในเรื่องเหล่านั้น เป็นเหมือนอ่อนแรงซบเซาอยู่ เพราะเหตุไรหนอ หม่อมฉันไม่ชอบใจกิริยาของพระองค์เลย. บทว่า ปิโย ปิเยน ความว่า พระเวสสันดรเป็นที่รักของหม่อมฉัน ที่รักของหม่อมฉันยิ่งกว่าพระเวสสันดรนี้ ไม่มี เมื่อก่อน ความทุกข์ย่อมหายไป คือย่อมปราศจากไป เพราะมาสมาคม คือมาประชุมกับพระองค์ผู้เป็นที่รักของหม่อมฉันนี้ แต่วันนี้ แม้หม่อมฉันเห็นพระองค์อยู่ ความเศร้าโศกก็ไม่ปราศจากไป เหตุอะไรหนอ. บทว่า ตยชช ความว่า เหตุการณ์ที่หม่อมฉันเห็นแล้ว จงยกไว้เถิด วันนี้หม่อมฉันไม่เห็นลูกทั้งสองนั้น เพราะเหตุนั้น แม้เมื่อหม่อมฉันเห็นพระองค์อยู่ ความเศร้าโศกก็ไม่หายไป. 
             แม้พระนางมัทรีกราบทูลถึงอย่างนี้ พระมหาสัตว์ก็ประทับนั่งนิ่งอยู่นั่นเอง เมื่อพระมหาสัตว์ไม่ตรัสด้วย พระนางเจ้าก็เต็มแน่นไปด้วยลูกศรคือความโศก พระกายสั่นดุจแม่ไก่ถูกตี เสด็จเที่ยวค้นหาตามที่เคยค้นหาครั้งแรกแล้ว เสด็จกลับมาเฝ้าพระมหาสัตว์ กราบทูลว่า 
             ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันไม่พบคนที่นำลูกทั้งสองไป ลูกทั้งสองคงสิ้นชนมชีพแล้ว ฝูงกาฝูงนกทั้งหลายไม่มีอยู่ ลูกทั้งสองของหม่อมฉันคงสิ้นชนมชีพเสียแล้ว เป็นแน่. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น โข โน ความว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันไม่เห็นลูกทั้งสองของเราเลย. บทว่า เยน เต นีหฏา มตา ความว่า พระนางมัทรีทูลด้วยความประสงค์ว่า หม่อมฉันไม่ทราบว่า ใครนำลูกทั้งสองไป. 
 แม้พระนางมัทรีกราบทูลถึงอย่างนี้ พระมหาสัตว์ก็มิได้ตรัสอะไรๆ พระนางมัทรีอันความโศกในเพราะพระโอรสถูกต้องแล้ว ทรงพิจารณาพระโอรสทั้งสอง เสด็จเที่ยวไปยังสถานที่นั้นๆ ด้วยความเร็วดุจลมถึง ๓ วาระ ได้ยินว่า สถานที่พระนางเจ้าเสด็จเที่ยวไปตลอดราตรีหนึ่ง ประมาณระยะทางราว ๑๕ โยชน์. ลำดับนั้น ราตรีสว่างอรุณขึ้น พระนางเจ้าเสด็จมาประทับยืนคร่ำครวญอยู่ ณ ที่ใกล้พระมหาสัตว์อีก. 
 พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  พระนางมัทรีเสด็จเที่ยวร่ำไรรำพันไปตามภูผา และป่าไม้ในเวิ้งเขาวงกตแล้ว เสด็จกลับมาสู่อาศรมอีก ทรงกันแสง ณ สำนักพระภัสดาว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันไม่พบคนที่นำลูกทั้งสองไป ลูกทั้งสองคงสิ้นชนมชีพแล้ว ฝูงกาฝูงนกย่อมไม่มีอยู่ ลูกทั้งสองของหม่อมฉันคงสิ้นชีพเสียแล้ว เป็นแน่. เมื่อพระนางมัทรีผู้ทรงโฉม ผู้เป็นพระราชบุตรีพระเจ้ามัททราชผู้มียศเสด็จเที่ยวไป ณ ภูเขาและถ้ำทั้งหลาย ทรงประคองพระพาหากันแสงว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันไม่เห็นคนที่นำลูกทั้งสองของเราไป ลูกทั้งสองคงสิ้นชนมชีพแล้ว ด้วยประการฉะนี้ แล้วก็ล้มลง ณ ภูมิภาคแทบพระยุคลบาทแห่งพระเวสสันดรนั้น นั่นเอง. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สามิกสสนติ โรทติ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระนางมัทรีนั้นเสด็จเที่ยวคร่ำครวญไปตามเนินผา และป่าไม้ในเวิ้งเขาวงกตนั้น แล้วเสด็จมาอาศัยพระภัสดาอีก. ประทับยืน ณ ที่ใกล้พระภัสดา ทรงกันแสง คือทรงครวญคร่ำรำพันว่า น โข โน เป็นต้น. เพื่อต้องการพระโอรสและพระธิดา. บทว่า อิติ มทฺที วราโรหา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระนางมัทรีผู้ทรงพระรูปอันอุดม ชื่อว่าผู้ทรงโฉมนั้นเสด็จเที่ยวไป ณ โคนไม้เป็นต้น. ไม่เห็นพระโอรสพระธิดา ประคองพระพาหาคร่ำครวญว่า ลูกทั้งสองจักตายเสียแน่แล้ว. ดังนี้ แล้วล้มลง ณ ภูมิภาคแทบพระยุคลบาทแห่งพระเวสสันดรนั้นเอง เสมือนต้นกล้วยสีทองถูกตัด ฉะนั้น. 
 ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าพระองค์สั่นด้วยทรงสำคัญว่า พระนางมัทรีสิ้นพระชนม์เสียแล้ว ทรงรำพึงว่า มัทรีมาสิ้นพระชนม์ในที่ต่างด้าว อันไม่ใช่ฐานะ หากว่าเธอทำกาลกิริยาในเชตุดรราชธานี การบริหารก็จักเป็นการใหญ่ รัฐทั้งสองก็สะเทือนถึงกัน ก็ตัวเราอยู่ในอรัญญประเทศแต่ผู้เดียวเท่านั้น จักทำอย่างไรดีหนอ ทรงคำนึงดังนี้แล้ว แม้เป็นผู้มีความโศกมีกำลัง ก็ทรงตั้งพระสติให้มั่น เสด็จลุกขึ้นด้วยทรงสำคัญว่า เราจักต้องรู้ให้แน่ก่อน จึงวางพระหัตถ์เบื้องขวาตรงพระหทัยวัตถุแห่งพระนางเจ้า ก็ทรงทราบว่า ยังมีความอบอุ่นเป็นไปอยู่ จึงทรงนำน้ำมาด้วยพระเต้า แม้มิได้ทรงถูกต้องพระกายตลอด ๗ เดือน แต่ไม่อาจจะทรงกำหนดความที่พระองค์เป็นบรรพชิต เพราะความโศกมีกำลัง มีพระนัยนาเต็มไปด้วยพระอัสสุชล ช้อนพระเศียรของพระนางเจ้าขึ้นวางไว้บนพระเพลา พรมด้วยน้ำ ลูบพระพักตร์และที่ตรงพระหทัย ประทับนั่งอยู่. ฝ่ายพระนางมัทรี พอสักครู่หนึ่งก็กลับได้พระสติ เข้าตั้งไว้เฉพาะซึ่งหิริและโอตตัปปะ ลุกขึ้นกราบพระมหาสัตว์ ทูลถามว่า ข้าแต่พระสวามีเวสสันดร ลูกทั้งสองของพระองค์ไปไหน. พระมหาสัตว์ตรัสตอบว่า แน่ะพระเทวี ฉันให้เพื่อเป็นทาสแห่งพราหมณ์คนหนึ่งไปแล้ว.
             พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า  วันนี้ พระเวสสันดรทรงประพรมพระนางมัทรีราชบุตรผู้ล้มลงด้วยน้ำ ทรงทราบว่า พระนางเจ้าค่อยสำราญ ทีนั้น จึงตรัสคำนี้กะพระนาง. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตมชช ปตตํ ความว่า ผู้ล้มลงใกล้พระองค์ อธิบายว่า ผู้ล้มลงถึงวิสัญญีภาพแทบพระยุคลบาท. บทว่า เอตมพรวิ ความว่า ได้ตรัสคำนี้ คือคำว่า ฉันให้เพื่อเป็นทาสแห่งพราหมณ์คนหนึ่งไปแล้ว. 
 แต่นั้น เมื่อพระนางมัทรีทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ประทานลูกทั้งสองแก่พราหมณ์แล้ว ไม่รับสั่งให้หม่อมฉันผู้คร่ำครวญเที่ยวอยู่ตลอดราตรี ทราบความ เพราะเหตุไร พระมหาสัตว์จึงตรัสว่า  แน่ะมัทรี ฉันไม่ปรารถนาจะบอกเธอแต่แรกให้เป็นทุกข์ว่า พราหมณ์แก่เป็นยาจกเข็ญใจมาสู่อาศรม บุตรบุตรีฉันให้แก่พราหมณ์นั้นแล้ว แน่ะมัทรี เธออย่ากลัวเลย จงยินดีเถิด เธอจงเห็นแก่ฉัน อย่าเห็นแก่บุตรบุตรี อย่าคร่ำครวญนักเลย เราทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีโรคก็จักได้พบบุตรบุตรี และสัตว์ของเลี้ยง ธัญญาหารทั้งทรัพย์อย่างอื่นในเรือน สัตบุรุษเห็นยาจกมาก็บริจาคทาน. 
             ดูก่อนมัทรี เธอจงอนุโมทนาปิยบุตรทาน อันเป็นอุดมทานของฉัน. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทิเยเนว ได้แก่ แต่แรก มีคำอธิบายว่า ถ้าฉันบอกความเรื่องนี้แก่เธอแต่แรก เมื่อเธอได้ฟังดังนั้น ก็จะไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้ หทัยพึงแตก เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่ปรารถนาจะบอกแก่เธอ แต่แรกให้เป็นทุกข์ นะมัทรี. บทว่า ฆรมาคโต ความว่า มายังสถานที่อยู่ของพวกเรานี้. บทว่า อโรคา จ ภวามหเส ความว่า พระเวสสันดรมหาสัตว์ตรัสว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น เราทั้งสองเป็นผู้ไม่มีโรค ยังมีชีวิตอยู่ จักพบลูกทั้งสองที่พราหมณ์นำไปเป็นแน่. บทว่า ยญฺจ อญฺญฆเร ธนํ ได้แก่ สวิญญาณกทรัพย์และอวิญญาณกทรัพย์อย่างอื่นในเรือน. บทว่า ทชฺชา สปปุริโส ทานํ ความว่า สัตบุรุษเมื่อปรารถนาประโยชน์สูงสุด พึงผ่าอุระควักเนื้อหัวใจให้เป็นทาน. 
             พระนางมัทรีทูลว่า 
             ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันขออนุโมทนาปิยบุตรทานอันอุดมของพระองค์ พระองค์ทรงบริจาคทานแล้ว จงยังพระหฤทัยให้เลื่อมใส ขอจงทรงบำเพ็ญทานให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด ข้าแต่พระชนาธิปราช ในเมื่อชนทั้งหลายมีความตระหนี่ พระองค์ผู้ยังแคว้นของชาวสีพีให้เจริญ ได้ทรงบริจาคบุตรทานแก่พราหมณ์. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุโมทามิ เต ความว่า พระนางมัทรีทรงอุ้มพระครรภ์ ๑๐ เดือน ประสูติแล้วให้สรงสนาน ให้ทรงดื่มให้เสวยวันละสองสามครั้ง ประคับประคองพระลูกน้อยทั้งสองนั้น ให้บรรทมบนพระอุรประเทศ ครั้นพระโพธิสัตว์พระราชทานพระลูกน้อยทั้งสองไป จึงทรงอนุโมทนาส่วนบุญเอง พระนางมัทรีตรัสอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุนี้ พึงทราบว่า บิดาเท่านั้นเป็นเจ้าของเด็กๆทั้งหลาย. บทว่า ภิยฺโย ทานํ ทโท ภว ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงเป็นผู้บริจาคทานบ่อยๆ ให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด. ทานอันพระองค์ทรงบริจาคดีแล้ว ด้วยประการฉะนี้. ขอพระองค์ผู้ได้พระราชทานพระปิยบุตรทั้งสอง ในเมื่อสัตว์ทั้งหลายมีความตระหนี่นั้น จงยังพระหฤทัยให้เลื่อมใสเถิด. 
             ครั้นพระนางมัทรีทูลอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์จึงตรัสถึง เหตุอัศจรรย์ทั้งปวงมีแผ่นดินไหวเป็นต้นว่า แน่ะมัทรี นั่นเธอพูดอะไร ถ้าฉันให้ลูกทั้งสอง แล้วไม่ทำจิตให้เลื่อมใส ความอัศจรรย์ทั้งหลายของฉันเหล่านี้ ก็ไม่พึงเป็นไป แต่นั้น พระนางมัทรีได้ประกาศความอัศจรรย์เหล่านั้นนั่นแล. 
             เมื่อจะทรงอนุโมทนาปิยบุตรทาน จึงตรัสว่า 
             ปฐพีบันลือลั่นเสียงสาธุการก้องไปถึงสวรรค์ชั้นไตรทิพย์ เพราะพระองค์ทรงบำเพ็ญปิยบุตรทาน สายฟ้าก็แวบวาบไปโดยรอบ เสียงโกลาหลนั้นปรากฏ ดังหนึ่งเสียงภูเขาถล่มทลาย. 
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิชชุลตา อาคู ความว่า สายฟ้าผิดฤดูกาลแลบโดยรอบ ในหิมวันตประเทศ. บทว่า คิรีนํว ปฏิสสุตา ความว่า เสียงโกลาหลปรากฏ ราวกะเสียงภูเขาถล่มทลาย. 
 เทพนิกายทั้งสอง คือนารทะและปัพพตะเหล่านั้น ย่อมอนุโมทนาแก่พระเวสสันดรนั้น พระอินทร์ พระพรหม พระปชาบดี พระโสม พระยม และพระเวสวัณมหาราช ทั้งเทพเจ้าชาวดาวดึงส์ทั้งหมด พร้อมด้วยพระอินทร์ ต่างอนุโมทนาทานของพระองค์ พระนางมัทรีราชบุตรีผู้ทรงโฉม ผู้มียศ ทรงอนุโมทนาปิยบุตรทานอันอุดมแห่งพระเวสสันดร ด้วยประการฉะนี้. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นารทปพฺพตา ความว่า เทพนิกายทั้งสองแม้เหล่านี้ สถิตอยู่ที่ประตูวิมานของตนๆ นั่นเอง. อนุโมทนาแด่พระองค์ว่า ทานอันพระองค์ประทานดีแล้วหนอ. บทว่า ตาวตึสา สอินฺทกา ความว่า แม้เหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ซึ่งมีพระอินทร์เป็นหัวหน้า ก็พากันอนุโมทนา ทานของพระองค์. 
             พระมหาสัตว์ทรงสรรเสริญทานของพระองค์อย่างนี้แล้ว พระนางมัทรีก็ทรงกลับเอาข้อความนั้นเองมาทรงสรรเสริญว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ทานอันพระองค์ประทานดีแล้ว ดังนี้แล้ว ทรงอนุโมทนาประทับนั่งอยู่. 
             ด้วยเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสคาถาว่า อิติ มทฺที วราโรหา ดังนี้เป็นต้น. 
จบมัทรีบรรพ