Translate

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

อรรถกถา ๒/๑๐ มหาเวสสันตรชาดก ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี

ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี  จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา  หน้าต่างที่ [ ๑ ] [ ๒. ] [ ๓ ] [ ๔ ] [ ๕ ] [ ๖ ] [ ๗ ] [ ๘ ] 
 นายนักการนั้นไป ณ ที่นั้นได้กราบทูลพระเวสสันดร ผู้รื่นรมย์อยู่ว่า ข้าแต่พระจอมพล ข้าพระบาทจักทูลความทุกข์ของพระองค์ ขอพระองค์อย่ากริ้วข้าพระบาท นักการนั้นถวายบังคมแล้วร้องไห้ กราบทูลพระเวสสันดรว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เป็นผู้ชุบเลี้ยงข้าพระบาท เป็นผู้นำมาซึ่งรส คือความใคร่ทั้งปวง ข้าพระบาทจักกราบทูลความทุกข์ของพระองค์ เมื่อข่าวแสดงความทุกข์ อันข้าพระบาทกราบทูลแล้ว ขอฝ่าพระบาททรงยังข้าพระบาทให้ยินดี. 
 ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ชาวสีพีและชาวนิคมขัดเคืองพระองค์ มาประชุมกัน พวกคนที่มีชื่อเสียง และพระราชบุตรทั้งหลาย และพวกพ่อค้าทั้งหลาย พราหมณ์ทั้งหลาย ทั้งกองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ ชาวนิคม ชาวสีพีทั้งสิ้น ประชุมกันแล้ว ในเมื่อราตรีนี้สว่างแล้ว ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ชาวสีพีทั้งหลาย พร้อมกันขับพระองค์จากแว่นแคว้น. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุมารํ ได้แก่ พระราชาที่นับว่าเป็นกุมาร เพราะยังมีพระมารดาและพระบิดา. บทว่า รมฺมานํ ได้แก่ ผู้ประทับนั่งตรัสสรรเสริญ ทานที่พระองค์ให้แล้ว มีความโสมนัส. บทว่า อมจฺเจหิ ได้แก่ แวดล้อมไปด้วยเหล่าอำมาตย์ ผู้สหชาติประมาณหกหมื่นคน ประทับนั่งเหนือพระราชอาสน์ ภายใต้เศวตฉัตรที่ยกขึ้นแล้ว. บทว่า เวทยิสฺสามิ ได้แก่ จักกราบทูล. บทว่า ตตฺถ อสฺสายนฺตุ มํ ความว่า ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อข่าวแสดงความทุกข์นั้น อันข้าพระบาทกราบทูลแล้ว ขอฝ่าพระบาทโปรดยังข้าพระองค์ให้ยินดี คือขอพระองค์โปรดตรัสกะข้าพระบาทว่า เจ้าจงกล่าวตามสบายเถิด. นักการกล่าวอย่างนั้น ด้วยความประสงค์ดังนี้. 
               พระมหาสัตว์ตรัสว่า 
               ชาวสีพีขัดเคืองเราผู้ไม่เห็นความผิด ในเพราะอะไร แน่ะนักการ ท่านจงแจ้งความผิดนั้นแก่เรา ชาวเมืองทั้งหลายจะขับไล่เรา เพราะเหตุไร. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิสฺมิ ได้แก่ ในเพราะเหตุอะไร. บทว่า วิยาจิกฺข ความว่า จงกล่าวโดยพิสดาร. 
               นักการกราบทูลว่า 
               พวกคนที่มีชื่อเสียงและพระราชบุตรทั้งหลาย พ่อค้าทั้งหลาย พราหมณ์ทั้งหลาย ทั้งกองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ ขัดเคืองพระองค์ เพราะพระราชทานคชสารตัวประเสริฐ ฉะนั้น พวกเขาจึงขับพระองค์เสีย. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขียนฺติ แปลว่า ขัดเคือง. 
 พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงโสมนัส ตรัสว่า ดวงหทัยหรือจักษุ เราก็ให้ได้ จะอะไรกะทรัพย์นอกกายของเรา คือ เงิน ทอง มุกดา ไพฑูรย์หรือแก้วมณี ในเมื่อยาจกมาแล้ว เราได้เห็นเขาแล้ว พึงให้พาหาเบื้องขวาเบื้องซ้ายก็ได้ เราไม่พึงหวั่นไหว เพราะใจของเรายินดีในการบริจาค ปวงชาวสีพีจงขับไล่ หรือฆ่าเราเสียก็ตาม พวกเขาจะตัดเราเสียเป็น ๗ ท่อนก็ตามเถิด เราจักไม่งดเว้นจากการบริจาค เป็นอันขาด. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาจกมาคเต ความว่า เมื่อยาจกมาแล้ว ได้เห็นยาจกนั้น. บทว่า เนว ทานา วิรมิสฺสํ ความว่า จักไม่งดเว้นจากการบริจาค เป็นอันขาด. 
 นักการได้ฟังดังนั้น เมื่อจะกราบทูลข่าวอย่างอื่นตามมติของตน ซึ่งพระเจ้าสญชัยหรือชาวเมือง มิได้ให้ทูลเลย จึงกราบทูลว่า ชาวสีพีและชาวนิคมประชุมกัน กล่าวอย่างนี้ว่า พระเวสสันดรผู้มีวัตรอันงาม จงเสด็จไปสู่ภูผาอันชื่อว่า อารัญชรคีรี ตามฝั่งแห่งแม่น้ำโกนติมารา ตามทางที่พระราชาผู้ถูกขับไล่ เสด็จไปนั้นเถิด.
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกนฺติมาราย ได้แก่ ตามฝั่งแห่งแม่น้ำชื่อว่าโกนติมารา. บทว่า คิริมารญฺชรํ ปติ ความว่า เป็นผู้มุ่งตรงภูผาชื่อว่าอารัญชร. บทว่า เยน ความว่า นักการกราบทูลว่า ชาวสีพีทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า พระราชาทั้งหลายผู้บวชแล้ว ย่อมไปจากแว่นแคว้นโดยทางใด แม้พระเวสสันดรผู้มีวัตรงดงาม ก็จงเสด็จไปทางนั้น ได้ยินว่า นักการนั้นถูกเทวดาดลใจ จึงกล่าวคำนี้.
 พระโพธิสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้น จึงมีพระราชดำรัสว่า สาธุ เราจักไปโดยมรรคาที่เสด็จไปแห่ง พระราชาทั้งหลายผู้รับโทษ ก็แต่ชาวเมืองทั้งหลายมิได้ขับไล่เราด้วยโทษอื่น ขับไล่เราเพราะเราให้คชสารเป็นทาน เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจักบริจาคสัตตสดกมหาทาน สักหนึ่งวัน ชาวเมืองจงให้โอกาส เพื่อเราได้ให้ทาน สักหนึ่งวัน รุ่งขึ้น เราให้ทานแล้วจักไปในวันที่ ๓ 
               ตรัสฉะนี้ แล้วตรัสว่า 
               เราจักไปโดยมรรคาที่พระราชาทั้งหลายผู้ต้องโทษ เสด็จไป ท่านทั้งหลายงดโทษให้เราสักคืนกับวันหนึ่ง จนกว่าเราจะได้บริจาคทานก่อนเถิด. 
               นักการได้ฟังดังนั้นแล้วกราบทูลว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า ข้าพระบาทจักแจ้งความนั้นแก่ ชาวพระนครและแด่พระราชา ทูลฉะนี้ แล้วหลีกไป. 
 พระมหาสัตว์ส่งนักการนั้นไปแล้ว จึงให้เรียกมหาเสนาคุตมาเฝ้า. ดำรัสให้จัดสัตตสดกมหาทานว่า พรุ่งนี้เราจักบริจาคสัตตสดกมหาทาน ท่านจงจัดช้าง ๗๐๐ เชือก. ม้า ๗๐๐ ตัว. รถ ๗๐๐ คัน. สตรี ๗๐๐ คน. โคนม ๗๐๐ ตัว. ทาส ๗๐๐ คน. ทาสี ๗๐๐ คน. จงตั้งไว้ซึ่งข้าวน้ำ เป็นต้นมีประการต่างๆ สิ่งทั้งปวงโดยที่สุด แม้สุราซึ่งเป็นสิ่งไม่ควรให้ แล้วส่งอำมาตย์ทั้งหลายให้กลับ แล้วเสด็จไปที่ประทับพระนางมัทรีแต่พระองค์เดียว ประทับนั่งข้างพระยี่ภู่อันเป็นสิริ ตรัสกับพระนางนั้น. 
 พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า พระเวสสันดรบรมกษัตริย์ตรัสเรียก พระนางมัทรีผู้งามทั่วสรรพางค์นั้นมาว่า พัสดุอันใดอันหนึ่งที่ฉันให้เธอ ทั้งทรัพย์อันประกอบด้วยสิริ เงิน ทอง มุกดา ไพฑูรย์มีอยู่มาก และสิ่งใดที่เธอนำมาแต่พระชนกของเธอ เธอจงเก็บสิ่งนั้นไว้ทั้งหมด.
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิทเหยฺยาสิ ความว่า เธอจงเก็บขุมทรัพย์ไว้. บทว่า เปติกํ ได้แก่ ที่เธอนำมาแต่ฝ่ายพระชนก. 
      พระราชบุตรีพระนามว่ามัทรี ผู้งามทั่วพระกาย จึงทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพจะโปรดให้เก็บทรัพย์ทั้งนั้นไว้ในที่ไหน ขอพระองค์รับสั่งแก่หม่อมฉันผู้ทูลถาม ให้ทราบ. 
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตมพฺรวิ ความว่า ทูลกระหม่อม เวสสันดรพระสวามีของเราไม่เคยตรัสว่า เธอจงเก็บทรัพย์ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ เฉพาะคราวนี้พระองค์ตรัส เราจักทูลถามทรัพย์นั้นจะโปรดให้เก็บไว้ในที่ไหนหนอ พระนางมัทรีมีพระดำริดังนี้ จึงได้ทูลถามดังนั้น. 
               พระเวสสันดรบรมกษัตริย์จึงตรัสว่า 
               ดูก่อนพระน้องมัทรี เธอจงบริจาคทานในท่านผู้มีศีลทั้งหลายตามควร เพราะที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวงอย่างอื่น ยิ่งกว่าทานการบริจาค ย่อมไม่มี. 
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทชฺเชสิ ความว่า แน่ะพระน้องมัทรีผู้เจริญ เธออย่าได้เก็บทรัพย์ไว้ในที่มีพระคลัง เป็นต้น เมื่อจะเก็บเป็นขุมทรัพย์ที่จะติดตามตัวไป พึงถวายในท่านผู้มีศีลทั้งหลาย ในแว่นแคว้นของเรา. บทว่า น หิ ทานา ปรํ ความว่า ขึ้นชื่อว่า ที่พึ่งอาศัยที่ยิ่งขึ้นไปกว่าทาน ย่อมไม่มี. 
               พระนางมัทรีรับพระดำรัสว่า สาธุ. 
               ครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์ เมื่อจะประทานพระราโชวาทแก่พระนางให้ยิ่งขึ้น จึงตรัสว่า 
 ดูกรพระน้องมัทรี 
 เธอพึงเอาใจใส่ในลูกทั้งสองในพระชนนีและพระชนกของพี่ อนึ่ง ผู้ใดพึงตกลงปลงใจว่า จะเป็นพระสวามีพระน้องนาง เธอพึงบำรุงผู้นั้นโดยเคารพ ถ้าไม่มีใครมาตกลงปลงใจ เป็นพระสวามีพระน้องนาง เพราะพระน้องนางกับพี่จะต้องพลัดพรากจากกัน พระน้องนางจงแสวงหาพระสวามีอื่นเถิด อย่าลำบากเพราะจากพี่เลย. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทเยสิ ความว่า พึงเอ็นดูกระทำความเมตตา. บทว่า โย จ ตํ ภตตา มญฺเญยฺย ความว่า แน่ะนางผู้เจริญ เมื่อฉันไปแล้ว กษัตริย์ใดมาสำคัญว่า เราจักเป็นภัสดาของเธอ เธอพึงบำรุงกษัตริย์แม้นั้น โดยเคารพ. บทว่า มยา วิปปวเสน เต ความว่า ถ้าใครๆ ไม่สำคัญเธอว่า เราจักเป็นภัสดาของเธอ เพราะเธอไม่ได้อยู่กับฉัน เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอจงแสวงหาภัสดาอื่นด้วยตนเอง นั่นแล. บทว่า มา กิลิตถ มยา วินา ความว่า เธอพรากจากฉันแล้วอย่าลำบาก คือจงอย่าลำบาก. 
 ครั้งนั้น พระนางมัทรีมีพระดำริว่า พระเวสสันดรผู้ภัสดา ตรัสพระวาจาเห็นปานนี้ เหตุเป็นอย่างไรหนอ จึงกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ตรัสพระวาจา อันไม่สมควรตรัสนี้ เพราะเหตุไร. ลำดับนั้น พระเวสสันดรจึงตรัสตอบพระนางว่า แน่ะพระน้องมัทรีผู้เจริญ ชาวสีพีขัดเคืองเพราะฉันให้ช้าง จึงขับไล่ฉันจากแว่นแคว้น พรุ่งนี้ฉันจักให้สัตตสดกมหาทาน จักออกจากพระนครในวันที่ ๓. 
               ตรัสฉะนี้แล้ว ตรัสว่า 
               ฉันจักไปป่าที่น่ากลัว ประกอบด้วยพาลมฤค ฉันผู้เดียวอยู่ในป่าใหญ่ มีชีวิตน่าสงสัย. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํสโย ความว่า เมื่อฉันผู้สุขุมาลชาติโดยส่วนเดียว อยู่ในป่าที่มีศัตรูไม่น้อย จะมีชีวิตอยู่แต่ไหน ฉันจักตายเสียเป็นแน่. พระเวสสันดรตรัสอย่างนั้น ด้วยความประสงค์ดังนี้ 
 พระราชบุตรีพระนามว่ามัทรี ผู้งามทั่วสรรพางค์ ได้กราบทูลถามพระราชสวามีว่า พระองค์ตรัสพระวาจา ซึ่งไม่เคยมีหนอ ตรัสวาจาชั่วแท้. ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์เสด็จไปแต่พระองค์เดียว ไม่สมควร แม้หม่อมฉันก็จักโดยเสด็จด้วย. ความตายกับด้วยพระองค์ หรือพรากจากพระองค์เป็นอยู่ สองอย่างนี้ ตายนั่นแลประเสริฐกว่า พรากจากพระองค์เป็นอยู่ จะประเสริฐอะไร. 
 ก่อไฟให้ลุกโพลงมีเปลวเป็นอันเดียวกัน แล้วตายเสียในไฟนั้นประเสริฐกว่า พรากจากพระองค์ จะประเสริฐอะไร. นางช้างพังไปตามช้างพลายตัวประเสริฐอยู่ในป่า เที่ยวอยู่ตามภูผาทางกันดาร สถานที่เสมอแลไม่เสมอ ฉันใด หม่อมฉันจะพาบุตรและบุตรีตามเสด็จไปเบื้องหลัง ฉันนั้น. หม่อมฉันจักเป็นผู้ที่เลี้ยงง่ายของพระองค์ จักไม่เป็นผู้ที่เลี้ยงยากของพระองค์. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภุมเม ความว่า พระองค์ตรัสแก่หม่อมฉันถึงพระวาจา ซึ่งไม่เคยมีหนอ. บทว่า คจเฉยย แปลว่า เสด็จไป. บทว่า เนส ธมโม ความว่า นั่นไม่ใช่สภาวะ คือนั่นมิใช่เหตุ. บทว่า ตเทว ความว่า หม่อมฉันตายกับด้วยพระองค์นั่นแล ประเสริฐกว่า. บทว่า ตตถ ได้แก่ ในเชิงตะกอนไม้ที่มีเปลวไฟ เป็นอันเดียวกัน. บทว่า เชสสนตํ แปลว่า เที่ยวไปอยู่. 
 พระนางมัทรีราชกัญญากราบทูลพระภัสดาอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงพรรณนาถึงหิมวันตประเทศ ซึ่งเป็นประหนึ่งว่าได้เคยทอดพระเนตรเห็นแล้ว จึงตรัสว่า เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นกุมารทั้งสองนี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ พูดจาน่ารัก นั่งอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า เล่นอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ. 
 เมื่อพระองค์... ...น่ารัก เล่นอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ.  เมื่อพระองค์... ...น่ารัก ที่อาศรมรัมณียสถาน จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ.  เมื่อพระองค์... ...น่ารัก เล่นอยู่ ณ อาศรมรัมณียสถาน จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ.  เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้งสองนี้ ทรงมาลาประดับพระองค์ ณ อาศรมรัมณียสถาน จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ.  เมื่อพระองค์... ...ประดับพระองค์ เล่นอยู่ ณ อาศรมเป็นที่รื่นรมย์ จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ. 
      เมื่อใด พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกุญชรชาติมาตังคะ อายุล่วง ๖๐ ปี เที่ยวอยู่ในป่าตัวเดียว เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ.
      เมื่อใด พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง ๖๐ ปี เที่ยวไปในเวลาเย็น ในเวลาเช้า เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ. 
      เมื่อใด กุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง ๖๐ ปี เดินนำหน้าโขลงช้างพังไป ส่งเสียงร้องกึกก้องโกญจนาท พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้องของช้างที่บันลือก้องอยู่นั้น เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ. 
      เมื่อใด พระองค์ผู้พระราชทานความใคร่แก่หม่อมฉัน ทอดพระเนตรชัฏไพรเป็นหมู่ไม้ทั้ง ๒ ข้างมรรคา อันเกลื่อนไปด้วยพาลมฤค เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ. 
               ...จักทอดพระเนตรเห็นมฤคผู้มาเป็นแถวๆแถวละ ๕ ตัวและเหล่ากินนร ผู้ฟ้อนอยู่ในเวลาเย็น... 
               ...ได้ทรงฟังเสียงกึกก้องแห่งกระแสในแม่น้ำไหล และเสียงขับร้องแห่งฝูงกินนร... 
               ...ทรงสดับเสียงร้องของนกเค้าที่เที่ยวอยู่ตามซอกเขา... 
               ...จักได้ทรงสดับเสียงแห่งสัตว์ร้ายในป่า คือราชสีห์ เสือโคร่ง แรด โคลาน... 
               ...ได้ทอดพระเนตร เห็นนกยูงผู้ปกคลุมด้วยแพนหางจับอยู่ที่ยอดเขาเกลื่อนไป ด้วยนางนกยูงทั้งหลายรำแพนอยู่... 
               ...ได้ทอดพระเนตร นกยูงผู้เกลื่อนด้วยฝูงนางนกยูง มีแพนหางอันวิจิตรรำแพนอยู่... 
               ...ได้ทอดพระเนตร นกยูงมีขนคอเขียวมีหงอนเกลื่อนไปด้วยฝูงนางนกยูงรำแพนอยู่... 
               ...ทอดพระเนตรเห็น เหล่าพฤกษชาติอันบานแล้ว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งในเหมันตฤดู และพื้นดินเขียวชอุ่มปกคลุมไป ด้วยแมลงค่อมทองในเดือนเหมันต์... 
               ...ได้ทอดพระเนตรเห็น รุกขชาติอันมีดอกบานสะพรั่ง คืออัญชันเขียวที่กำลังผลิยอดอ่อน ต้นโลท และบัวบก มีดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมฟุ้งในเหมันตฤดู... 
               เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตร เห็นหมู่ไม้มีดอกบานสะพรั่ง และปทุมชาติ มีดอกร่วงหล่นในเดือนฤดูเหมันต์ เมื่อนั้นก็จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มชเก ได้แก่ มีเสียงไพเราะ มีถ้อยคำไพเราะ. บทว่า กเรณุสํฆสส ได้แก่ หมู่ช้างพัง. บทว่า ยูถสส ได้แก่ ไปข้างหน้าโขลงช้าง. บทว่า อุภโต ได้แก่ ทั้งสองข้างมรรคา. บทว่า วนวิกาเส ได้แก่ ชัฏไพร. บทว่า กามทํ ได้แก่ ผู้ให้สิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่างแก่หม่อมฉัน. บทว่า สินธุยา ได้แก่ แม่น้ำ. บทว่า วสมานสสุลูกสส ได้แก่ นกเค้าผู้อยู่. บทว่า พาฬานํ ได้แก่ พาลมฤคทั้งหลาย ด้วยว่าเสียงของกินนรเหล่านั้นเป็น ราวกะเสียงดนตรีเครื่อง ๕ จักมีในเวลาเย็น เพราะเหตุนั้น พระนางมัทรีจึงทูลว่า พระองค์ทรงสดับเสียงของกินนรเหล่านั้น แล้วจักทรงลืมราชสมบัติ. บทว่า วรหํ ได้แก่ ปกคลุมด้วยแพนหาง. บทว่า มตถกาสินํ ได้แก่ จับอยู่ที่ยอดบรรพตเป็นนิจ. ปาฐะว่า มตตกาสินํ ก็มี ความว่า เป็นผู้เมาด้วยความเมาในกามจับอยู่. บทว่า พิมพชาลํ ได้แก่ ใบอ่อนแดง. บทว่า โอปุปผานิ ได้แก่ มีดอกห้อยลง คือมีดอกร่วงหล่น. 
               พระนางมัทรีทรงพรรณนาถึงหิมวันตประเทศ ด้วยคาถามีประมาณเท่านี้ ประหนึ่งพระองค์เคยเสด็จประทับอยู่ ณ หิมวันตประเทศแล้ว ฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้. 
จบหิมวันตวรรณนา

อรรถกถา ๑/๑๐ มหาเวสสันตรชาดก ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี

ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา  หน้าต่างที่ [ ๑. ] [ ๒ ] [ ๓ ] [ ๔ ] [ ๕ ] [ ๖ ] [ ๗ ] [ ๘ ] 
ทศพรคาถา
 พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ นิโครธาราม อาศัยกรุงกบิลพัสดุ์ราชธานี ทรงปรารภฝนโบกขรพรรษ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ผุสฺสตี วรวณฺณาเภ ดังนี้ เป็นต้น. 
 ความพิสดารว่า พระศาสดาทรงยังธรรมจักรอันบวรให้เป็นไปแล้ว เสด็จสู่กรุงราชคฤห์โดยลำดับ ประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์นั้นตลอดเหมันตฤดู มีพระอุทายีเถระเป็นมัคคุเทศก์ พระขีณาสพ ๒๐,๐๐๐ แวดล้อม เสด็จจนถึงกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นการเสด็จครั้งแรก ศักยราชทั้งหลายประชุมกัน ด้วยคิดว่า พวกเราจักได้เห็นสิทธัตถกุมารนี้ ผู้เป็นพระญาติอันประเสริฐของพวกเรา เลือกหาสถานที่เป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็กำหนดกันว่า ราชอุทยานของนิโครธศักยราช น่ารื่นรมย์ จึงทำวิธีปฏิบัติ จัดแจงทุกอย่างในนิโครธารามนั้น ถือของหอมดอกไม้และจุรณเป็นต้น รับเสด็จ ส่งทารกทาริกาชาวเมืองที่ยังหนุ่มๆ ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงไปก่อน แต่นั้นจึงส่งราชกุมารีไป เสด็จไปเองในระหว่างราชกุมารราชกุมารีเหล่านั้น บูชาพระศาสดาด้วยดอกไม้ของหอมและจุรณเป็นต้น พาเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปสู่นิโครธารามนั่นแล. 
 พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระขีณาสพ ๒๐,๐๐๐ แวดล้อม ประทับนั่ง ณ บวรพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้ ในนิโครธารามนั้น. กาลนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายเป็นชาติถือตัว กระด้างเพราะถือตัว คิดกันว่า สิทธัตถกุมารนี้เด็กกว่าพวกเรา เป็นน้อง เป็นภาคิไนย เป็นบุตร เป็นนัดดาของพวกเรา คิดฉะนี้แล้ว จึงกล่าวกะราชกุมารที่ยังหนุ่มๆ เหล่านั้นว่า เธอทั้งหลายจงไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกเราจักนั่งเบื้องหลังพวกเธอ. เมื่อเจ้าศากยะเหล่านั้นไม่อภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งกันอยู่อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของเจ้าศากยะเหล่านั้น จึงทรงดำริว่า พระญาติทั้งหลายไม่ไหว้เรา เอาเถิด เราจักยังพระญาติเหล่านั้นให้ไหว้ ทรงพระดำริฉะนี้แล้ว ทรงเข้าจตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา จำเดิมแต่นั้น ก็เสด็จขึ้นสู่อากาศ เป็นดุจโปรยละอองธุลีพระบาทลงบนเศียรแห่งพระญาติเหล่านั้น ทรงทำปาฏิหาริย์เช่นกับยมกปาฏิหาริย์ ณ ควงไม้คัณฑามพพฤกษ์. 
 กาลนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราชได้ทอดพระเนตรเห็นอัศจรรย์นั้น จึงตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวันเมื่อพระองค์ประสูติ เมื่อพระพี่เลี้ยงเชิญพระองค์เข้าไปใกล้ เพื่อให้นมัสการชฏิล ชื่อ กาฬเทวละ. ข้าพระองค์ก็ได้เห็นพระบาททั้งสองของพระองค์กลับไปตั้งอยู่ ณ ศีรษะแห่งพราหมณ์ ข้าพระองค์ก็ได้กราบพระองค์ นี้เป็นการกราบของข้าพระองค์ครั้งแรก. ในวันวัปปมงคลแรกนาขวัญ เมื่อพระองค์บรรทม ณ พระยี่ภูอันมีสิริใต้ร่มเงาไม้หว้า ข้าพระองค์ได้เห็นเงาไม้หว้า ไม่บ่ายไป. ข้าพระองค์ก็ได้กราบพระบาทของพระองค์
 นี้เป็นการกราบของข้าพระองค์ครั้งที่ ๒. บัดนี้ ข้าพระองค์เห็นปาฏิหาริย์ อันยังไม่เห็นนี้ จึงได้กราบพระบาทของพระองค์ นี้เป็นการกราบของข้าพระองค์ครั้งที่ ๓. ก็เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะถวายบังคมแล้ว เจ้าศากยะแม้องค์หนึ่งที่จะไม่อาจถวายบังคม ดำรงนิ่งอยู่ มิได้มี. ชนเหล่านั้น แม้ทั้งหมดได้ถวายบังคมแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้ายังพระประยูรญาติทั้งหลาย ให้ถวายบังคมแล้ว เสด็จลงจากอากาศประทับนั่ง ณ บวรพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแล้ว พระประยูรญาติที่ประชุมกันได้แวดล้อมแล้ว ทั้งหมดมีจิตแน่วแน่ นั่งอยู่. 
 ลำดับนั้น มหาเมฆตั้งขึ้นยังฝนโบกขรพรรษให้ตกแล้ว น้ำฝนนั้นสีแดง เสียงซู่ซ่าไหลไปลงที่ลุ่ม. ผู้ต้องการให้เปียกก็เปียก ฝนนั้นไม่ตกต้องกายของผู้ที่ไม่ต้องการให้เปียก แม้สักหยาดเดียว ชนทั้งปวงเหล่านั้นเห็นอัศจรรย์นั้น ก็เกิดพิศวง. ภิกษุทั้งหลายพูดกันว่า โอ น่าอัศจรรย์ โอ ไม่เคยมี โอ อานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า มหาเมฆจึงยังฝนโบกขรพรรษ เห็นปานนี้ ให้ตกในสมาคมแห่งพระประยูรญาติทั้งหลาย. พระศาสดาทรงสดับดังนั้นแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร. เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว มีพระพุทธดำรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
 มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่มหาเมฆยังฝนโบกขรพรรษให้ตก แม้ในกาลก่อน เวลาที่เรายังเป็นโพธิสัตว์อยู่ มหาเมฆเห็นปานนี้ ก็ยังฝนโบกขรพรรษให้ตกในญาติสมาคม เหมือนกัน ตรัสฉะนี้ แล้วทรงดุษณีภาพ. ภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่า ดังต่อไปนี้.
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
 ในอดีตกาล มีพระราชาพระนามว่า สีวิมหาราช ครองราชสมบัติในกรุงเชตุดร แคว้นสีพี มีพระโอรสพระนามว่า สญชัยกุมาร เมื่อสญชัยกุมารนั้นทรงเจริญวัย พระเจ้าสีวีมหาราชนำราชกัญญาพระนามว่า ผุสดี ผู้เป็นราชธิดาของพระเจ้ามัททราชมา ทรงมอบราชสมบัติแก่สญชัยราชกุมารนั้น แล้วตั้งพระนางผุสดีเป็นอัครมเหสี. 
 ต่อไปนี้เป็นบุรพประโยค คือความเพียรที่ทำในศาสนาของพระพุทธเจ้าในปางก่อนแห่งพระนางนั้น คือในที่สุดแห่งกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระศาสดาพระนามว่า วิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นในโลก. ในกาลนั้น พระราชาพระนามว่า พันธุมราช เสวยราชสมบัติในพันธุมดีนคร. เมื่อพระวิปัสสีศาสดาประทับอยู่ในเขมมฤคทายวัน อาศัยพันธุมดีนคร. กาลนั้น มีพระราชาองค์หนึ่งส่งสุวรรณมาลาราคา ๑ แสน กับแก่นจันทน์อันมีค่ามาก ถวายแด่พระเจ้าพันธุมราช. พระเจ้าพันธุมราชมีพระราชธิดา ๒ องค์ พระเจ้าพันธุมราชมีพระราชประสงค์ จะประทานบรรณาการนั้น แก่พระราชธิดาทั้งสอง. จึงได้ประทานแก่นจันทน์ แก่พระธิดาองค์ใหญ่. ประทานสุวรรณมาลา แก่พระธิดาองค์เล็ก. ราชธิดาทั้งสองนั้นคิดว่า เราทั้งสองจักไม่นำบรรณาการนี้ มาที่สรีระของเรา. เราจักบูชาพระศาสดา เท่านั้น. ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงทูลพระราชาว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ ข้าพระบาททั้งสองจักเอาแก่นจันทน์ และสุวรรณมาลาบูชาพระ
ทศพล. พระเจ้าพันธุมราชทรงสดับดังนั้น ก็ประทานอนุญาตว่า ดีแล้ว. ราชธิดาองค์ใหญ่บดแก่นจันทน์ ละเอียดเป็นจุรณ บรรจุในผอบทองคำ แล้วให้ถือไว้. ราชธิดาองค์น้อยให้ทำสุวรรณมาลา เป็นมาลาปิดทรวง. บรรจุผอบทองคำ แล้วให้ถือไว้. ราชธิดาทั้งสองเสด็จไป สู่มฤคทายวันวิหาร. บรรดาราชธิดาสององค์นั้น องค์ใหญ่บูชาพระพุทธสรีระ ซึ่งมีวรรณะดังทองคำของพระทศพล ด้วยจรุณแก่นจันทน์. โปรยปรายจุรณแก่นจันทน์ ที่ยังเหลือในพระคันธกุฎี. ได้ทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าพระองค์พึงเป็นมารดาแห่งพระพุทธเจ้าผู้เช่นพระองค์ ในอนาคตกาล. แล้วกล่าวคาถาว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำการบูชาพระองค์ ด้วยจุรณแห่งแก่นจันทน์นี้. ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เป็น มารดาแห่งพระพุทธเจ้าผู้เช่นพระองค์ ในอนาคตกาล. 
  ฝ่ายราชธิดาองค์เล็กบูชาพระสรีระ ซึ่งมีวรรณะดังทองคำของพระทศพล ด้วยสุวรรณมาลา ทำเป็นอาภรณ์เครื่องปิดทรวง. ได้ทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เครื่องประดับนี้ จงอย่าหายไปจากสรีระของข้าพระพุทธเจ้า จนตราบเท่าบรรลุพระอรหัต. แล้วกล่าวคาถาว่า 
  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าบูชาพระองค์ด้วยสุวรรณมาลา ด้วยอำนาจพุทธบูชานี้. ขอบุญจงบันดาล ให้สุวรรณมาลามีที่ทรวงของข้าพระพุทธเจ้า. ส่วนพระบรมศาสดาก็ทรงทำ บูชานุโมทนาแก่ราชธิดาทั้งสองนั้นว่า ก็เธอทั้งสองได้ประดิษฐานการบูชา อันใดแก่เราในภพนี้. วิบากแห่งการบูชานั้น จงสำเร็จแก่เธอทั้งสอง. ความปรารถนาเธอทั้งสองเป็นอย่างใด จงเป็นอย่างนั้น. 
 ราชธิดาทั้งสองนั้นดำรงอยู่ตลอดพระชนมายุ ในที่สุดแห่งพระชนมายุ เคลื่อนจากมนุษยโลก ไปบังเกิดในเทวโลก. ใน ๒ องค์นั้น องค์ใหญ่เคลื่อนจากเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่ยังมนุษยโลก. เคลื่อนจากมนุษยโลก ท่องเที่ยวอยู่ยังเทวโลก. ในที่สุดแห่งกัปที่ ๙๑ ได้เป็นพุทธมารดามีพระนามว่า มหามายาเทวี ฝ่ายราชกุมารีองค์เล็กก็ท่องเที่ยวอยู่อย่างนั้น. ในกาลเมื่อพระทศพลพระนามว่า กัสสปะ บังเกิด. ได้เกิดเป็นราชธิดาแห่งพระราชาพระนามว่า กิกิราช. พระนางเป็นราชกุมาริกาพระนามว่า อุรัจฉทา เพราะความที่ระเบียบแห่งเครื่องปิดทรวง ราวกะว่าทำแล้วด้วยจิตรกรรม เกิดแล้วแต่พระทรวง อันตกแต่งแล้ว. 
 ในกาลเมื่อ ราชกุมาริกามีชนมพรรษา ๑๖ ปี ได้สดับภัตตานุโมทนาแห่งพระตถาคตเจ้า ก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. กาลต่อมา ในวันที่พระชนกทรงสดับภัตตานุโมทนาแล้วทรงได้บรรลุโสดาปัตติผล. พระนางได้บรรลุพระอรหัต ผนวชแล้วปรินิพพาน. พระเจ้ากิกิราชมีพระธิดาอื่นอีก ๗ องค์ พระนามของราชธิดาเหล่านั้นคือ นางสมณี นางสมณคุตตา นางภิกษุณี นางภิกขุทาสิกา นางธรรมา นางสุธรรมาและนางสังฆทาสีเป็นที่ ๗. ราชธิดาทั้ง ๗ เหล่านั้น ในพุทธุปบาทกาลนี้ มีนามปรากฏคือ นางเขมา นางอุบลวรรณา นางปฏาจารา พระนางโคตมี นางธรรมทินนา พระนางมหามายา และนางวิสาขาเป็นที่ ๗. 
 บรรดาราชธิดาเหล่านั้น นางผุสดี ชื่อสุธรรมาได้บำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น เป็นนางกุมาริกา ชื่อผุสดี เพราะความเป็นผู้มีสรีระ ดุจอันบุคคลประพรมแล้ว ด้วยแก่นจันทน์แดงเกิดแล้ว ด้วยผลแห่งการบูชาด้วยจุรณแก่นจันทน์ อันนางได้ทำแล้ว แด่พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า. ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ต่อมาได้เกิดเป็นอัครมเหสีแห่งท้าวสักกเทวราช. ครั้งนั้น เมื่อบุรพนิมิต ๕ ประการเกิดขึ้นตั้งอยู่ชั่วอายุแห่งนางผุสดี. ท้าวสักกเทวราชทราบความที่นางจะสิ้นอายุ จึงพานางไปสู่นันทวันอุทยานด้วยยศใหญ่ ประทับบนตั่งที่นอนอันมีสิริ. ตรัสอย่างนี้กะนางผู้บรรทมอยู่ ณ ที่นอนอันมีสิริประดับแล้วนั้นว่า แน่ะนางผุสดีผู้เจริญ เราให้พร ๑๐ ประการแก่เธอ เธอจงรับพร ๑๐ ประการเหล่านั้น. 
 ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะประทานพรนั้นได้ทรงภาษิตประถมคาถา ในมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งประดับด้วยคาถาประมาณ ๑,๐๐๐ ว่า ดูก่อนนางผุสดีผู้มีรัศมีแห่งผิวพรรณอันประเสริฐ ผู้มีอวัยวะส่วนเบื้องหน้างาม เธอจงเลือกเอาพร ๑๐ ประการ ในแผ่นดินอันเป็นที่รักแห่งหฤทัยของเธอ. 
      ธรรมเทศนามหาเวสสันดรนี้ ชื่อว่าท้าวสักกเทวราชให้ตั้งขึ้นแล้วในเทวโลกด้วยประการฉะนี้. 
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผุสฺสตี เป็นบทที่ท้าวสักกเทวราชใช้เรียกชื่อเธอ. 
      บทว่า วรวณฺณาเภ ความว่า ประกอบด้วยรัศมีแห่งผิวพรรณอันประเสริฐ. 
      บทว่า ทสธา ได้แก่ ๑๐ ประการ. บทว่า ปฐพฺยา ได้แก่ ทำให้เป็นสิ่งที่พึงถือเอาในแผ่นดิน. 
      บทว่า วรสฺสุ ความว่า ท้าวสักกเทวราชตรัสบอกว่า เธอจงถือเอา. 
      บทว่า จารุปุพฺพงฺคี ความว่า ประกอบด้วยส่วนเบื้องหน้าอันงาม คือด้วยลักษณะอันประเสริฐ. 
      บทว่า ยํ ตุยฺหํ มนโส ปิยํ ความว่า ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า เธอจงถือเอาพรซึ่งเป็นที่รักแห่งใจของเธอนั้นๆ ทั้ง ๑๐ ส่วน. 
      ผุสดีเทพกัญญาไม่ทราบว่า ตนจะต้องจุติเป็นธรรมดา เป็นผู้ประมาทกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า 
      ข้าแต่เทวราช ข้าพระบาทขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าพระบาทได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หรือ ฝ่าพระบาทจึงให้ข้าพระบาทจุติจากทิพยสถานที่น่ารื่นรมย์ ดุจลมพัดต้นไม้ใหญ่ให้หักไปฉะนั้น. 
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นโม ตยตฺถุ ความว่า ขอนอบน้อมแด่พระองค์. 
      บทว่า กึ ปาปํ ความว่า นางผุสดีทูลถามว่า ข้าพระบาทได้ทำบาปอะไรไว้ในสำนักของพระองค์. 
               บทว่า ธรณีรุหํ ได้แก่ ต้นไม้. 
               ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชทราบว่า นางเป็นผู้ประมาท จึงได้ภาษิต ๒ คาถาว่า 
               บาปกรรม เธอมิได้ทำไว้เลย และเธอไม่เป็นที่รักของเรา ก็หาไม่ แต่บุญของเธอสิ้นแล้ว เหตุนั้น เราจึงกล่าวกับเธออย่างนี้ ความตายใกล้เธอ เธอจักต้องพลัดพรากจากไป จงเลือกรับพร ๑๐ ประการนี้จากเราผู้จะให้. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยน เตวํ ความว่า ซึ่งเป็นเหตุให้เรากล่าวกะเธออย่างนี้. 
               บทว่า ตุยฺหํ วินาภาโว ความว่า เธอกับพวกเราจักพลัดพรากจากกัน. 
               บทว่า ปเวจฺฉโต แปลว่า ผู้ให้อยู่. 
      ผุสดีเทพกัญญาได้สดับคำท้าวสักกเทวราชก็รู้ว่าตนจุติแน่แท้ เมื่อจะทูลขอรับพร จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ของเหล่าสัตว์ทั้งปวง ถ้าพระองค์จะประทานพรแก่ข้าพระบาทไซร้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระบาทพึงอยู่ในพระราชนิเวศน์แห่งพระเจ้ากรุงสีพีนั้น ข้าแต่ท้าวปุรินททะ ข้าพระบาทพึงเป็นผู้มีจักษุดำ เหมือนตาลูกมฤคีซึ่งมีดวงตาดำ พึงมีขนคิ้วดำ พึงเกิดในพระราชนิเวศน์นั้นโดยนามว่าผุสดี. 
 พึงได้พระราชโอรสผู้ให้สิ่งอันเลิศ ประกอบความเกื้อกูลแก่ยาจก ไม่ตระหนี่ อันพระราชาทุกประเทศบูชา มีเกียรติ มียศ เมื่อข้าพระบาททรงครรภ์ อุทรอย่านูนขึ้นพึงมีอุทรไม่นูน เสมอดังคันศรที่นายช่างเหลาเกลาเกลี้ยง ฉะนั้น ถันทั้งคู่ของข้าพระบาทอย่าพึงหย่อนยาน ข้าแต่ท้าววาสวะ ผมหงอกก็อย่าได้มี ธุลีก็อย่าพึงติดในกาย. 
 ข้าพระบาทพึงปลดปล่อยนักโทษประหารได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระบาทพึงได้เป็นอัครมเหสีที่โปรดปรานของพระเจ้ากรุงสีวี ในพระราชนิเวศน์ อันกึกก้องด้วยเสียงร้องของนกยูง และนกกระเรียน พรั่งพร้อมด้วยหมู่นารีผู้ประเสริฐ เกลื่อนกล่นไปด้วยคนเตี้ยและคนค่อม อันพ่อครัวชาวมาคธบอกเวลาบริโภคอาหาร กึกก้องไปด้วยเสียงกลอนและเสียงบานประตูอันวิจิตร มีคนเชิญให้ดื่มสุราและกินกับแกล้ม. 
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิวิราชสฺส ความว่า นางผุสดีนั้นตรวจดูพื้นชมพูทวีป เห็นพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสีวีราชสมควรแก่ตน เมื่อปรารถนาความเป็นอัครมเหสีในพระราชนิเวศน์นั้น จึงกล่าวอย่างนี้.
      บทว่า ยถา มิคี ความว่า เหมือนลูกมฤคอายุ ๑ ปี. 
      บทว่า นีลกฺขี ความว่า ขอจงมีตาดำใสสะอาด เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าพึงเกิดในพระราชนิเวศน์นั้น โดยนามว่าผุสดี. 
      บทว่า ลเภถ แปลว่า พึงได้. บทว่า วรทํ ความว่า ผู้ให้สิ่งประเสริฐมีเศียรที่ประดับแล้วนัยน์ตาทั้งคู่ หทัยเนื้อเลือด เศวตฉัตร บุตรและภรรยาเป็นต้น แก่ยาจก ผู้ขอแล้ว. 
      บทว่า กุจฺฉิ ได้แก่ อวัยวะที่อยู่กลางตัว ดังนั้นท่านแสดงคำที่กล่าวแล้วโดยย่อ. 
      บทว่า ลิขิตํ ได้แก่ คันศรที่ช่างศรผู้ฉลาดขัดเกลาอย่างดี. 
      บทว่า อนุนฺนตํ ความว่า มีกลางคันไม่นูนขึ้นเสมอดังคันชั่ง ครรภ์ของข้าพเจ้าพึงเป็นอย่างนี้. 
      บทว่า นปฺปวตฺเตยฺยุํ ความว่า ไม่พึงคล้อยห้อยลง. 
      บทว่า ปลิตา นสฺสนฺตุ วาสว ความว่า ข้าแต่ท้าววาสวะผู้ประเสริฐที่สุดในทวยเทพ แม้ผมหงอกทั้งหลายบนศีรษะของข้าพเจ้า ก็จงหายไป คืออย่าได้ปรากฏบนศีรษะของข้าพเจ้า. ปาฐะว่า ปลิตานิ สิโรรุหา ดังนี้ก็มี. 
      บทว่า วชฺฌญฺจาปิ ความว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้สามารถปล่อยโจรผู้ทำความผิด คือ ผิดต่อพระราชา ถึงโทษประหาร ด้วยกำลังของตน นางผุสดีแสดงความเป็นใหญ่ของตนด้วยบทนี้. 
      บทว่า สูทมาคธวณฺณิเต ความว่า อันพวกพ่อครัวชาวมาคธทั้งหลาย ผู้บอกเวลาบริโภคอาหารเป็นต้น กล่าวชมเชยสรรเสริญแล้ว. 
      บทว่า จิตฺรคฺคเฬรุฆุสิเต ความว่า กึกก้องไปด้วยเสียงกลอน และบานประตูอันวิจิตรด้วยรัตนะ ๗ ที่ส่งเสียงไพเราะ น่ารื่นรมย์ใจเช่นเสียงของดนตรีเครื่อง ๕. 
      บทว่า สุรามํสปฺปโพธเน ความว่า เธอจงถือเอาพร ๑๐ ประการเหล่านี้ว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าสีวีราช ในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสีวีราช เห็นปานนี้ ซึ่งมีคนเชิญบริโภคสุรา และเนื้อว่า พวกท่านจงมาดื่ม พวกท่านจงมากิน ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้. 
 บรรดาพร ๑๐ ประการนั้น ความเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าสีวีราชเป็นพรที่ ๑. ความมีตาดำเป็นพรที่ ๒. ความเป็นผู้มีขนคิ้วดำเป็นพรที่ ๓. ชื่อว่าผุสดีเป็นพรที่ ๔. การได้พระโอรสเป็นพรที่ ๕. มีครรภ์ไม่นูนเป็นพรที่ ๖. มีถันไม่คล้อยเป็นพรที่ ๗. ไม่มีผมหงอกเป็นพรที่ ๘. มีผิวละเอียดเป็นพรที่ ๙. สามารถปล่อยนักโทษประหารได้เป็นพรที่ ๑๐.
               ท้าวสักกเทวราชได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสว่า 
               แน่ะนางผู้งามทั่วองค์ พร ๑๐ ประการเหล่าใดที่เราให้แก่เธอ เธอจงได้พรเหล่านั้นทั้งหมด ในแว่นแคว้นของพระเจ้าสีวีราช. 
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า 
               ครั้นท้าววาสวะมฆสุชัมบดีเทวราชตรัสอย่างนี้แล้ว ก็ทรงอนุโมทนาประทานพรแก่นางผุสดีเทพอัปสร. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุโมทิตฺถ ความว่า มีจิตบันเทิง คือทรงโสมนัส. 
               บทว่า สพฺเพ เต ลจฺฉสิ วเร ความว่า ย่อมได้พรเหล่านั้นทั้งหมด. 
               ท้าวสักกเทวราชทรงประทานพร ๑๐ ประการแล้ว เป็นผู้มีจิตบันเทิง มีพระมนัสยินดีแล้ว ด้วยประการฉะนี้. 
จบทศพรคาถา