Translate

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

อรรถกถา ๔ / ๖. วิธุรชาดก ว่าด้วย พระวิธูรบัณฑิตทรงบำเพ็ญสัจจะบารมี

พระวิธูรบัณฑิตทรงบำเพ็ญสัจจะบารมี จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา  หน้าต่างที่ [๑ ] [ ๒ ] [ ๓ ] [ ๔. ] [ ๕ ]  [ ๖ ]
 ลำดับนั้น วิธุรบัณฑิตเห็นบุตรธิดา และพวกญาติเข้าไปหาตนนั่งนิ่งเงียบอยู่. จึงกล่าวว่า ดูก่อนพ่อและแม่ทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าวิตกไปเลย อย่าเศร้าโศก อย่าพิไรร่ำรำพันไปเลย. สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา. สมมติธรรมอันได้นามว่ายศ ย่อมมีวิบัติเป็นที่สุด. อนึ่ง เราจักแสดงจริยาวัตรของพระราชเสวกนามว่า ราชวสดีธรรม อันเป็นเหตุให้เกิดยศแก่พวกเจ้า. พวกเจ้าจงตั้งใจสดับราชวสดีธรรมนั้น. ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว จึงเริ่มแสดงราชวสดีธรรม ด้วยพุทธลีลา. 
 พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า ก็วิธุรบัณฑิตนั้นมีความดำริแห่งใจอันหดหู่ กล่าวกะบุตร ธิดา ญาติมิตรและเพื่อนสนิทว่า ดูก่อนลูกรักทั้งหลาย ลูกทั้งหลายจงมานั่งฟังราชวสดีธรรม อันเป็นเหตุให้บุคคล ผู้เข้าไปสู่ราชสกุลได้ยศ.
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุหทชฺชเน แปลว่า คนมีหทัยดี. บทว่า เอถยฺยา ความว่า วิธุรบัณฑิตนั้น เรียกบุตรและธิดา ด้วยคำร้องเรียกอันน่ารักว่า แม่และพ่อจงมาดังนี้. บทว่า ราชวสตึ ความว่า พวกเจ้าจงฟัง การบำรุงพระราชาที่เราจะกล่าว. บทว่า ยถา แปลว่า ด้วยเหตุใด. บทว่า ราชกุลมฺปตฺโต ความว่า บุคคลผู้เข้าไปสู่ราชสกุล คืออยู่ในสำนักพระราชา ย่อมประสพยศ. 
      พวกเจ้าจงฟังเหตุนั้น ดังที่เราจะกล่าวต่อไปนี้ 
 ผู้เข้าสู่ราชสกุล พระราชายังไม่ทรงทราบ ย่อมไม่ได้ยศ ราชเสวกไม่ควรกล้าเกินไป ไม่ควรขลาดเกินไป ควรเป็นผู้ไม่ประมาท ในกาลทุกเมื่อ เมื่อใดพระราชาทรงทราบความประพฤติปรกติ ปัญญา และความบริสุทธิ์ของราชเสวกนั้น เมื่อนั้นย่อมทรงวางพระทัยและไม่ทรงรักษาความลับ. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺญาโต ได้แก่ ผู้มีคุณยังไม่ปรากฏ ผู้ยังไม่รับพระราชทานยศศักดิ์อันแจ่มชัด. บทว่า นาติสูโร แปลว่า ผู้ไม่แกล้วกล้า. บทว่า นาติทุมฺเมโธ แปลว่า ไม่ใช่ผู้มีชาติแห่งบุคคลผู้ขลาด. บทว่า ยทาสฺส สีลํ ความว่า เมื่อใดพระราชาทรงประสบศีล ปัญญา ความสะอาด และทรงทราบอาจารสมบัติ กำลังแห่งญาณและความเป็นผู้สะอาดของเสวกนั้น. บทว่า อถ วิสฺสาสเต ตมฺหิ ความว่า เมื่อนั้น พระราชาทรงไว้วางใจในเสวกนั้น คือทรงกระทำความคุ้นเคย ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องปกปิดความลับของพระองค์ ย่อมทรงเปิดเผย. 
 ราชเสวกอันพระราชามิได้ตรัสใช้ ไม่พึงหวั่นไหวด้วยอำนาจฉันทาคติเป็นต้น ดังตราชูที่บุคคลประคองให้มีคันเสมอเที่ยงตรง ฉะนั้น ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. ราชเสวกพึงตั้งใจกระทำราชกิจทุกอย่างให้เสมอต้นเสมอปลาย เหมือนตราชูที่บุคคลประคอง ให้มีคันเสมอเที่ยงตรง ฉะนั้น ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตุลา ยถา ความว่า ราชเสวกอันพระราชาตรัสใช้ว่า เจ้าจงทำกรรมนี้ในราชกิจบางอย่าง เป็นผู้ไม่หวั่นไหว ด้วยอำนาจการถึงอคติมีฉันทาคติเป็นต้น คือพึงเป็นผู้เสมอในกิจทั้งปวง เหมือนตราชูที่มีประการดังกล่าวแล้วนี้ ย่อมไม่ยุบลง ไม่ฟูขึ้น ฉะนั้น. บทว่า ส ราชวสตึ ความว่า ราชเสวกเห็นปานนี้นั้น พึงอยู่ในราชตระกูล พึงปรนนิบัติพระราชา ก็แลเมื่อปรนนิบัติอย่างนี้ พึงได้ยศ. บทว่า สพฺพานิ อภิสมฺโภนฺโต ความว่า เมื่อทำราชกิจทุกอย่าง. 
 ราชเสวกต้องเป็นคนฉลาดในราชกิจ อันพระราชาตรัสใช้กลางวันหรือกลางคืนก็ตาม ไม่พึงหวาด หวั่นไหวในการกระทำราชกิจนั้นๆ ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. ทางใดที่เขาตกแต่งไว้เรียบร้อยดี สำหรับเสด็จพระราชดำเนิน ถึงพระราชาทรงอนุญาต ราชเสวกก็ไม่ควรเดินโดยทางนั้น ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น วิกมฺเปยฺย ความว่า ราชเสวกไม่พึงหวั่นไหวปฏิบัติราชกิจเหล่านั้น. บทว่า โย จสฺส ความว่า หนทางที่เขาตบแต่งไว้เป็นอันดี เพื่อเป็นมรรควิถีเสด็จพระราชดำเนิน. บทว่า สุปฏิยาทิโต ความว่า เป็นราชเสวก แม้จะได้พระราชานุญาต ก็ไม่ควรเดินไปทางนั้น. 
 ราชเสวกไม่พึงบริโภคสมบัติที่น่าใคร่ ทัดเทียมกับพระราชาในกาลไหนๆ ควรเดินหลังในทุกสิ่งทุกอย่าง ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. ราชเสวกไม่ควรใช้สอยประดับประดาเสื้อผ้า มาลา เครื่องลูบไล้ ทัดเทียมกับพระราชา ไม่พึงประพฤติอากัปกิริยา หรือพูดจาทัดเทียมกับพระราชา ควรทำอากัปกิริยาเป็นอย่างหนึ่ง ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น รญฺโญ ความว่า เป็นราชเสวกไม่พึงบริโภคโภคสมบัติที่น่าใคร่ ทัดเทียมกับพระราชา เพราะพระราชาย่อมทรงกริ้วต่อบุคคลเช่นนั้น. บทว่า สพฺพตฺถ ความว่า พึงเดินตามหลัง ปฏิบัติให้ต่ำกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ในกามคุณมีรูปเป็นต้น. บทว่า อญฺญํ กเรยฺย ความว่า พึงกระทำอากัปกิริยาอย่างอื่นจากราชอากัปกิริยา. บทว่า ส ราชวสตึ วเส ความว่า บุคคลนั้นพึงเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้ว พึงอยู่. 
 เมื่อพระราชาทรงพระสำราญอยู่กับหมู่อำมาตย์ อันพระสนมกำนัลในเฝ้าแหนอยู่ เสวกามาตย์เป็นผู้ฉลาด ไม่พึงทำการทอดสนิทในพระสนมกำนัลใน ราชเสวกไม่ควรเป็นคนฟุ้งซ่าน ไม่คะนองกายวาจา มีปัญญาเครื่องรักษาตน สำรวมอินทรีย์ สมบูรณ์ด้วยการตั้งใจไว้ดี ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภาวํ ได้แก่ ความประสงค์ด้วยอำนาจความคุ้นเคย. บทว่า อจปโล ได้แก่ ไม่เป็นผู้ตบแต่งประดับเป็นปกติ. บทว่า นิปโก ได้แก่ ผู้มีญาณแก่กล้า. บทว่า สํวุตินฺทฺริโย ได้แก่ ผู้สำรวมปิดกั้นอินทรีย์ ๖ ได้แล้ว คืออย่าพึงมองดูอวัยวะน้อยใหญ่ของพระราชา และไม่พึงมองดูตำหนักนางสนมกำนัลของพระราชานั้น. บทว่า มโนปณิธิ สมฺปนฺโน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยจิตอันไม่หวั่นไหว คือตั้งไว้ด้วยดี. 
               ราชเสวกไม่ควรเล่นหัว เจรจาปราศรัยในที่ลับกับพระสนมกำนัลใน ไม่ควรถือเอาทรัพย์จากพระคลังหลวง ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. 
               ราชเสวกไม่พึงเห็นแก่การหลับนอนมากนัก ไม่พึงดื่มสุราจนเมามาย ไม่พึงฆ่าเนื้อในสถานที่พระราชทานอภัย ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. 
               ราชเสวกไม่พึงขึ้นร่วมพระตั่ง ราชบัลลังก์ พระราชอาสน์ เรือและรถพระที่นั่ง ด้วยอาการทนงตนว่า เป็นคนโปรดปราน ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. 
               ราชเสวกต้องเป็นผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณา ไม่ควรเข้าเฝ้าให้ไกลนัก ใกล้นัก ควรยืนเฝ้าพอให้ท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นถนัด ในสถานที่ที่พอจะได้ยินพระราชดำรัส เบื้องพระพักตร์ของพระราชา. 
               ราชเสวกไม่ควรทำความวางใจว่า พระราชาเป็นเพื่อนของเรา พระราชาเป็นคู่กันกับเรา พระราชาทั้งหลายย่อมทรงพระพิโรธได้โดยเร็วไว เหมือนนัยน์ตาอันผงกระทบ ราชเสวกไม่ควรถือตนว่า เป็นนักปราชญ์ ราชบัณฑิต พระราชาทรงบูชา ไม่ควรเพ็ดทูลถ้อยคำหยาบคายกับพระราชา ซึ่งประทับอยู่ในราชบริษัท. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น มนฺเตยฺย ความว่า เป็นราชเสวกไม่ควรเล่นหัวกับพระสนมกำนัลใน ไม่พึงเจรจาปราศรัยในที่ลับ. บทว่า โกสา ธนํ ความว่า อย่าลักลอบเอาพระราชทรัพย์จากพระคลังหลวง. บทว่า น มทาย ความว่า ดูก่อนพ่อและแม่ทั้งหลาย ราชเสวกไม่พึงดื่มสุราจนเมามาย. บทว่า ทาเย ความว่า ไม่พึงฆ่า ไม่พึงเบียดเบียนมฤคที่พระราชทานอภัย. บทว่า โกจฺฉํ ได้แก่ พระแท่นภัทรบิฐ. บทว่า สมฺมโตมฺหิ ความว่า ราชเสวกอย่าทนงตนว่า เราเป็นคนโปรดปรานแล้วจะขึ้นร่วม. บทว่า สเมกฺขญฺจสฺส ติฏฺเฐยฺย ความว่า เป็นราชเสวกพึงยืนข้างหน้าของพระราชา ในที่ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก พอที่จะได้ยินพระดำรัสที่ตรัสใช้. บทว่า สนฺทิสฺสนฺโต สภตฺตุโน ความว่า ราชเสวกนั้นพึงยืนอยู่ในที่ที่ท้าวเธอจะทอดพระเนตรเห็นได้. 
 บทว่า สุเกน ความว่า เป็นราชเสวกอย่าชะล่าใจว่า พระราชาเป็นเพื่อนของเรา และเป็นคู่กันกับเรา อันพระราชาทั้งหลายย่อมทรงพระพิโรธเร็วไว ดุจนัยน์ตาถูกผงกระทบ ฉะนั้น. บทว่า น ปูชิโต มญฺญมาโน ความว่า เป็นราชเสวกไม่พึงถือตนว่า เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต พระราชาทรงนับถือบูชา ชะล่าใจจ้วงจาบเพ็ดทูลถ้อยคำที่หยาบคาย. บทว่า ผรุสํ ความว่า ไม่พึงเจรจาปราศรัยถ้อยคำ อันเป็นเหตุให้พระราชาทรงพระพิโรธ.
      ราชเสวกผู้ได้รับพระราชทานพระทวารเป็นพิเศษ ไม่ควรวางใจในพระราชาทั้งหลาย พึงเป็นผู้สำรวมดำรงตนไว้เพียงดังไฟ ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. พระเจ้าอยู่หัวจะทรงยกย่องพระราชโอรส หรือพระราชวงศ์ด้วยบ้าน นิคม แว่นแคว้นหรือชนบท ราชเสวกควรนิ่งดูก่อน ไม่ควรเพ็ดทูลคุณหรือโทษ. 
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลทฺธทฺวาโร ลเภ ทฺวารํ ความว่า เราเป็นราชเสวก เราไม่ใช่คนเฝ้าประตู แต่ได้ประตูเป็นพิเศษ ไม่ทรงอนุญาตอย่าพึงเข้าไป แม้ได้ประตูอีก ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจึงเข้าไป. 
      บทว่า สโต ได้แก่ เป็นผู้ไม่ประมาท. บทว่า ภาตรํ สํ วา ได้แก่ พระราชโอรสหรือพระราชวงศ์. 
      บทว่า สมฺปคฺคณฺหาติ ความว่า ในกาลใด พระราชาตรัสกับเสวกทั้งหลายว่า เราจะให้บ้านโน้น หรือนิคมโน้นแก่ผู้โน้น. บทว่า น ภเณ เฉกปาปกํ ความว่า เป็นเสวกไม่พึงกล่าวสรรเสริญคุณหรือโทษ ในกาลนั้น. 
      พระราชาทรงปูนบำเหน็จรางวัล ให้แก่กรมช้าง กรมม้า กรมรถ กรมเดินเท้า ตามความชอบในราชการของเขา ราชเสวกไม่ควรทัดทานเขา ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. 
      ราชเสวกผู้เป็นนักปราชญ์พึงโอนไปเหมือนคันธนู และพึงไหวไปตามเหมือนไม้ไผ่ ไม่ควรทูลทัดทาน ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. 
      ราชเสวกพึงเป็นผู้มีท้องน้อยเหมือนคันธนู พึงเป็นผู้ไม่มีลิ้นเหมือนปลา พึงเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ มีปัญญาเครื่องรักษาตน แกล้วกล้า ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น เตสํ อนฺตรํ คจฺเฉ ความว่า เป็นราชเสวก ไม่ควรทูลขัดตัดลาภผลของคนเหล่านั้น. บทว่า วํโส วา ความว่า พึงเป็นผู้มีจิตอ่อนโยนโอนไปในกาลที่พระราชาตรัส เหมือนยอดไม้ไผ่ลำที่สูงกว่าทุกลำในกอไผ่ ย่อมไหวในคราวที่ต้องลมพัด ฉะนั้น. บทว่า จาโปวูโนทโร ความว่า เป็นราชเสวกไม่พึงเป็นผู้มีท้องใหญ่เหมือนคันธนู ฉะนั้น. บทว่า อชิวฺหตา ความว่า พึงเป็นผู้ไม่มีลิ้นด้วยการพูดแต่น้อย เหมือนปลาย่อมไม่พูด เพราะไม่มีลิ้น. บทว่า อปฺปาสิ ความว่า พึงเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ. 
 ราชเสวกไม่พึงสัมผัสหญิงนัก ซึ่งเป็นเหตุให้สิ้นเดช ผู้สิ้นเดชย่อมได้ประสบโรคไอมองคร่อ ความกระวนกระวาย ความอ่อนกำลัง ราชเสวกไม่ควรพูดมากเกินไป ไม่ควรนิ่งทุกเมื่อ เมื่อถึงเวลาพึงเปล่งวาจาพอประมาณ ไม่ควรพร่ำเพรื่อ เป็นคนไม่มักโกรธ ไม่กระทบกระเทียบ เป็นคนพูดจริง อ่อนหวาน ไม่ส่อเสียด ไม่ควรพูดถ้อยคำเพ้อเจ้อ ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น พาฬฺหํ  ความว่า เสวกไม่พึงมัวเมาด้วยสตรีบ่อยๆ. บทว่า เตชสํขฺยํ ความว่า เพราะว่า บุรุษเมื่อถึงอย่างนี้ ย่อมจะถึงความสิ้นไปแห่งเดช. เมื่อสัมผัสซึ่งเหตุให้สิ้นเดชนั้น อย่าพึงมัวเมามากนัก. บทว่า ทรํ แปลว่า ความกระวนกระวายแห่งกาย. บทว่า พาลฺยํ แปลว่า ซึ่งความเป็นผู้อ่อนกำลัง. บทว่า ขีณเมโธ ความว่า บุรุษผู้สิ้นปัญญา ด้วยอำนาจความยินดีด้วยกิเลสบ่อยๆ ย่อมถึงความเป็นโรคไอ เป็นต้น. บทว่า นาติเวลํ ความว่า ดูก่อนพ่อและแม่ทั้งหลาย เสวกไม่พึงพูดมากเกินประมาณ ในสำนักของพระราชาทั้งหลาย. บทว่า ปตฺเต กาเล ความว่า เมื่อถึงเวลาที่ตนจะต้องพูด. บทว่า อสํฆฏฺโฏ แปลว่า ไม่พูดกระทบกระทั่งบุคคลอื่น. บทว่า สมฺผํ แปลว่า คำไร้ประโยชน์. บทว่า คิรํ แปลว่า ถ้อยคำ. 
 ราชเสวกพึงเลี้ยงดูมารดาบิดา พึงประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้เจริญที่สุด ในตระกูล สมบูรณ์ด้วยหิริโอตตัปปะ ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้. ราชเสวกพึงเป็นผู้ได้รับแนะนำดีแล้ว มีศิลปะฝึกตนแล้ว เป็นผู้ทำประโยชน์ เป็นผู้คงที่ อ่อนโยน ไม่ประมาท สะอาดหมดจด เป็นคนขยัน ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้. ราชเสวกพึงเป็นผู้มีความประพฤติอ่อนน้อม มีความเคารพยำเกรงในท่านผู้เจริญ เป็นผู้สงบเสงี่ยม มีการอยู่ร่วมเป็นสุข ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้. ราชเสวกพึงเว้นให้ห่างไกล ซึ่งทูตที่ส่งมาเกี่ยวด้วยความลับ พึงดูแลแต่เจ้านายของตนไม่ควรพูด (เรื่องลับ) ในสำนักของพระราชาอื่น. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วินีโต ได้แก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยมารยาท. บทว่า สิปฺปวา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยศิลปะที่จะพึงศึกษาในตระกูลของตน. บทว่า ทนฺโต ได้แก่ ผู้หมดพยศในทวารทั้ง ๖. บทว่า กตตฺโต ได้แก่ ผู้มีตนถึงพร้อมแล้ว (ทั้งวิทยาและจริยาสมบัติ). บทว่า นิยโต ได้แก่ ผู้มีสภาวะไม่หวั่นไหวเหตุอาศัยยศเป็นต้น. บทว่า มุทุ ได้แก่ ผู้อ่อนโยน ไม่เย่อหยิ่ง. บทว่า อปฺปมตฺโต ได้แก่ ผู้เว้นแล้วจากความเลินเล่อในราชกิจที่ควรทำ. บทว่า ทกฺโข ได้แก่ เป็นผู้ฉลาดในตำแหน่งการบำรุง. บทว่า นิวาตวุตฺติ ได้แก่ มีความประพฤติอ่อนน้อม. บทว่า สปฺปติสฺโส ได้แก่ ผู้มีปกติอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพ. บทว่า สณฺหิตุํ ปหิตํ ความว่า ทูตที่พระราชาอื่นส่งไปยังราชสำนักด้วยอำนาจรักษาความลับ และกระทำความลับให้ปรากฏ. ราชเสวก เมื่อจะกล่าวทูลเช่นนั้น พึงกล่าวต่อพระพักตร์กับพระราชา. บทว่า ภตฺตารญฺเญ วุทิกฺเขยฺย ความว่า พึงดูแลเอาใจใส่แต่เฉพาะเจ้านายของตนเท่านั้น. บทว่า น อญฺญสฺส จ ราชิโน ความว่า ราชเสวกไม่พึงพูดในสำนักของพระราชาอื่น. 
 ราชเสวกพึงเข้าหาสมาคมสมณะและพราหมณ์ ผู้มีศีลเป็นพหูสูตโดยเคารพ ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้. ราชเสวก เมื่อได้เข้าหาสมาคมกับสมณะและพราหมณ์ ผู้มีศีลเป็นพหูสูตแล้ว พึงสมาทานรักษาอุโบสถศีลโดยเคารพ ราชเสวกพึงบำรุงเลี้ยงสมณะและพราหมณ์ ผู้มีศีลเป็นพหูสูต ด้วยข้าวและน้ำ ราชเสวกนั้นควรอยู่ในสำนักได้. ราชเสวกผู้หวังความเจริญแก่ตน พึงเข้าไปสมาคมคบหากับสมณะและพราหมณ์ผู้มีศีล เป็นพหูสูต มีปัญญา. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกฺกจจํ ปยิรูปาเสยฺย ความว่า ราชเสวกพึงเข้าไปทาบ่อยๆ ด้วยความเคารพ. บทว่า อนุวาเสยฺย ความว่า พึงเข้าจำอุโบสถประพฤติ. บทว่า ตปฺเปยฺย ความว่า พึงเลี้ยงดูด้วยการให้ จนพอแก่ความต้องการ. บทว่า อาสชฺช แปลว่า เข้าไปใกล้. บทว่า ปญฺเญ ได้แก่ ผู้เป็นบัณฑิต. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า อาสชฺช ปญฺหํ ดังนี้ก็มี. บทว่า ปญฺหํ ความว่า พึงถามถึงเหตุที่เป็นกุศลและอกุศล ที่บัณฑิตทั้งหลาย พึงกระทำด้วยปัญญา. 
 ราชเสวกไม่พึงทำทาน ที่เคยพระราชทานในสมณะและพราหมณ์ ให้เสื่อมไป อนึ่ง เห็นพวกวณิพกซึ่งมาในเวลาพระราชทาน ไม่ควรห้ามอะไรเลย ราชเสวกพึงเป็นผู้มีปัญญา สมบูรณ์ด้วยความรู้ ฉลาดในวิธีจัดราชกิจ รู้จักกาล รู้จักสมัย ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้. ราชเสวกพึงเป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่ประมาท มีปัญญาสอดส่องพิจารณาในการงานที่ตนพึงทำ จัดการงานให้สำเร็จด้วยดี ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทินฺนปุพฺพํ ได้แก่ ทานวัตรที่ตกแต่งไว้โดยปกติ. บทว่า สมณพฺราหฺมเณ ได้แก่ สมณะหรือพราหมณ์. บทว่า วนิพฺพเก ได้แก่ ราชเสวกเห็นพวกวณิพกมา ในเวลาที่พระราชทาน ไม่พึงห้ามอะไรๆ เลย. บทว่า ปญฺญวา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยปัญญาเครื่องพิจารณาสอดส่อง. บทว่า พุทฺธิสมฺปนฺโน ได้แก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้ไม่บกพร่อง. บทว่า วิธานวิธิโกวิโท ได้แก่ ผู้ฉลาดในส่วนเครื่องจัดแจงทาส กรรมกรและบุรุษเป็นต้น มีประการต่างๆ. บทว่า กาลญฺู ความว่า ราชเสวกพึงรู้ว่า กาลนี้เป็นกาลควรเพื่อจะให้ทาน กาลนั้นเป็นกาลเพื่อจะรักษาศีล กาลนี้เป็นกาลเพื่อจะกระทำอุโบสถกรรม. บทว่า สมยญฺญ ความว่า ราชเสวกพึงรู้ว่า สมัยนี้เป็นสมัยที่ควรไถ สมัยนี้เป็นสมัยที่ควรหว่าน สมัยนี้เป็นสมัยที่ควรค้าขาย สมัยนี้เป็นสมัยที่ควรบำรุง. บทว่า กมฺมเธยฺเยสุ ได้แก่ ในการงานที่ตนควรกระทำ. 
 อนึ่ง ราชเสวกพึงไปตรวจตราดูลานข้าวสาลี ปศุสัตว์ และนาเสมอๆ พึงตวงข้าวเปลือกให้รู้ประมาณ แล้วให้เก็บไว้ในฉาง พึงนับบริวารชนในเรือนแล้ว ให้หุงต้มพอประมาณ ไม่ควรตั้งบุตรธิดา พี่น้อง หรือวงศ์ญาติ ผู้ไม่ตั้งอยู่ในศีลให้เป็นใหญ่ เพราะคนเหล่านั้นเป็นคนพาล ไม่จัดว่าเป็นพี่น้อง คนเหล่านั้นเป็นเหมือนคนที่ตายไปแล้ว. แต่เมื่อเขาเหล่านั้นมาหาถึงสำนัก ก็ควรให้ผ้านุ่งผ้าห่ม และอาหาร ควรตั้งพวกทาสหรือกรรมกร ผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีล เป็นคนขยันหมั่นเพียร ให้เป็นใหญ่. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสุํ เขตฺตํ ได้แก่ ตระกูลปศุสัตว์ และสถานที่หว่านข้าวกล้า. บทว่า คนฺตฺวา แปลว่า มีการไปเป็นปกติ. บทว่า มิตํ ความว่า ควรตวงให้รู้ว่า ข้าวเปลือกมีประมาณเท่านี้ แล้วเก็บไว้ในยุ้งฉาง. บทว่า ฆเร ความว่า พึงนับบริวารชนในเรือน ให้หุงต้มพอประมาณเหมือนกัน. บทว่า สีเลสุ อสมาหิตํ ความว่า บุตรหรือพี่น้องวงศ์ญาติผู้ไม่ตั้งอยู่ในศีลาจารวัตร ไม่ควรตั้งไว้โดยฐานะที่ควรยกย่องให้ปกครองอะไรๆ. บทว่า อนงฺควา หิ เต พาลา ความว่า คำว่า องค์ นี้ ชาวโลกกล่าวหมายถึง ความเป็นญาติพี่น้องของมนุษย์ ญาติพี่น้อง แม้บางคนเหล่านี้ ท่านกล่าวว่า องคาพยพ เพราะมีส่วนเสมอญาติ แต่ผู้ทุศีล ฉะนั้น จึงย่อมไม่เป็นเสมอญาติ เพราะแต่งตั้งคนเช่นนั้น เหล่านั้นไว้ให้เป็นใหญ่ ก็เหมือนแต่งตั้งคนตาย ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ฉะนั้น เพราะพวกเหล่านั้นย่อมผลาญทรัพย์ให้พินาศ และผู้ผลาญทรัพย์หรือคนจน ย่อมไม่ยังราชกิจให้สำเร็จบริบูรณ์ได้. บทว่า อาสีนานํ ความว่า แต่ว่า ครั้นเขามาถึงแล้วควรให้วัตถุสักว่า อาหารและเครื่องนุ่งห่ม เหมือนให้มตกภัตเพื่อคนตาย ฉะนั้น. บทว่า อุฏฺฐานสมฺปนฺเน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความขยันหมั่นเพียร.
 ราชเสวกพึงเป็นผู้มีศีล ไม่โลภมาก พึงประพฤติตามเจ้านาย ประพฤติประโยชน์แก่เจ้านาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้. ราชเสวกพึงเป็นผู้รู้จักพระราชอัธยาศัย และพึงปฏิบัติตามพระราชประสงค์ ไม่ควรประพฤติขัดต่อพระราชประสงค์ ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้. ราชเสวกพึงก้มศีรษะลงชำระพระบาท ในเวลาผลัดพระภูษาทรง และในเวลาสรงสนาน แม้ถูกกริ้วก็ไม่ควรโกรธตอบ ราชเสวกนั้นควรอยู่ในราชสำนักได้. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโลโภ แปลว่า ผู้ไม่โลภ. บทว่า อนุวตฺโต จสฺส ราชิโน ความว่า พึงเป็นผู้ประพฤติตามใจเจ้านาย. บทว่า จิตฺตตฺโถ ได้แก่ ตั้งอยู่ในจิต อธิบายว่า อยู่ในอำนาจแห่งจิตของเจ้านาย. บทว่า อสํกุสกวุตฺติสฺส แปลว่า พึงประพฤติตามเจ้านาย ไม่เข้ากับคนผิด. บทว่า อโธสิรํ ความว่า ราชเสวก แม้เมื่อล้างพระบาท พึงก้มศีรษะลง พึงก้มหน้าลงล้าง ไม่พึงแลดูหน้าพระราชา. 
 บุรุษผู้หวังหาความเจริญ พึงกระทำอัญชลีในหม้อน้ำ และพึงกระทำประทักษิณนกแอ่นลม อย่างไร เขาจักไม่พึงนอบน้อมพระราชา ผู้เป็นนักปราชญ์สูงสุด พระราชทานสมบัติอันน่าใคร่ทุกอย่างเล่า เพราะพระราชาพระราชทานที่นอน ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ยวดยาน ที่อยู่อาศัย บ้านเรือน ยังโภคสมบัติให้ตกทั่วถึง เหมือนมหาเมฆยังน้ำฝนให้ตก เป็นประโยชน์แก่หมู่สัตว์ทั่วไป ฉะนั้น. ดูก่อนเจ้าทั้งหลาย นี้ชื่อว่าราชวัสดี เป็นอนุศาสน์สำหรับราชเสวก นรชนประพฤติตาม ย่อมยังพระราชาให้โปรดปราน และย่อมได้การบูชาในเจ้านายทั้งหลาย. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุมฺภิมฺหิ อญฺชลึ กยิรา วายสํ วาปิ ปทกฺขิณํ ความว่า ก็บุรุษผู้หวังความเจริญ (แก่ตน) เห็นหม้อที่เต็มด้วยน้ำ พึงทำอัญชลีแก่หม้อน้ำนั้น. แม้เพียงแต่นกแอ่นลม เขายังทำประทักษิณได้. เมื่อเขาทำอัญชลีแล้ว ทำประทักษิณแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นย่อมไม่สามารถจะให้อะไรได้. 
 บทว่า กิเมว ความว่า พระราชาผู้เป็นนักปราชญ์ พระราชทานสมบัติที่น่าใคร่ทุกอย่าง. เหตุไฉน จึงไม่นมัสการพระราชานั้นเล่า. พระราชาเท่านั้น ที่พึงนมัสการและพึงให้โปรดปราน. 
               บทว่า ปชฺชุนฺโนริว แปลว่า ดุจเมฆ. 
               บทว่า เอเสยฺยา ราชวสดี ความว่า นี่แน่ะเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่าราชวสดี ที่เรากล่าวแล้วนี้ เป็นอนุสาสนีสำหรับราชเสวกทั้งหลาย. บทว่า ยถา ความว่า ราชวสดีนี้อันนรชนประพฤติตามอยู่ ย่อมเป็นเหตุให้พระราชาทรงโปรดปราน และย่อมได้รับการบูชาจากสำนักพระราชาทั้งหลายแล. 
               พระวิธุรบัณฑิตผู้มีธุรกิจหาผู้อื่นเสมอเหมือนมิได้ ได้แสดงราชวสดีธรรมสอนบุตรภรรยาญาติ และมิตรด้วยพุทธลีลา จบลงด้วยประการฉะนี้แล. 
จบราชสวดีกัณฑ์ 
 เมื่อพระมหาสัตว์พร่ำสอนบุตรภรรยาญาติและมิตรเป็นต้น อย่างนี้นั่นแลจบลง ก็เป็นวันที่ ๓ พระมหาสัตว์นั้น ครั้นทราบว่า ครบกำหนดวันแล้ว อาบน้ำแต่เช้าตรู่ บริโภคโภชนาหารมีรสเลิศต่างๆ คิดว่า เราพร้อมด้วยมาณพจักทูลลาพระราชาไป ดังนี้แล้ว แวดล้อมด้วยหมู่ญาติไปสู่พระราชนิเวศน์ ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลถ้อยคำ อันสมควรที่ตนจะพึงกราบทูล. 
 พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า  วิธุรบัณฑิตผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณา ครั้นพร่ำสอนหมู่ญาติอย่างนี้แล้ว หมู่ญาติมิตรพากันห้อมล้อม เข้าไปเฝ้าพระราชา ถวายบังคมพระยุคลบาทด้วยเศียรเกล้า และทำประทักษิณท้าวเธอ แล้วประคองอัญชลี กราบบังคมทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงปราบศัตรู มาณพนี้ปรารถนาจะทำตามความประสงค์ จึงจะนำข้าพระองค์ไป ข้าพระองค์จะกราบทูลประโยชน์แห่งญาติทั้งหลาย ขอเชิญพระองค์ทรงสดับประโยชน์นั้น ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาเอาพระทัยใส่ดูแล บุตรภรรยาของข้าพระองค์ ทั้งทรัพย์อื่นๆ ที่อยู่ในเรือนโดยที่หมู่ญาติของข้าพระองค์ จะไม่เสื่อมในภายหลัง ในเมื่อข้าพระองค์ถวายบังคมลาไปแล้ว ความพลั้งพลาดของข้าพระองค์นี้ เหมือนบุคคลพลาดล้มบนแผ่นดิน ย่อมกลับตั้งอยู่บนแผ่นดินนั้นเอง ฉะนั้น ข้าพระองค์ย่อมเห็นโทษนี้. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุหเทหิ ได้แก่ อันญาติและมิตรเป็นต้น ผู้มีใจดี. 
               บทว่า ยญฺจมญฺญํ ความว่า ขอพระองค์เท่านั้น จงดูแลทรัพย์สมบัติอย่างอื่นทั้งหมดนั้น อันจะนับจะประมาณมิได้ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทและพระราชาเหล่าอื่น พระราชทานไว้สำหรับเรือนของข้าพระองค์. 
               บทว่า เปจฺจ แปลว่า ในภายหลัง. บทว่า ขลติ แปลว่า ย่อมพลาดล้ม. 
               บทว่า เอเวตํ ตัดบทเป็น เอวํ เตตํ เพราะความพลั้งพลาดในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ข้าพระองค์ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในพระองค์ตามเดิม เหมือนบุคคลพลาดล้มบนแผ่นดิน ย่อมตั้งขึ้นบนแผ่นดินนั้น นั่นแหละ. 
 บทว่า เอตํ ปสฺสามิ ความว่า เมื่อข้าพระองค์ถูกมาณพถามว่า พระราชาเป็นอะไรแก่ท่านหรือ จึงไม่มองพระองค์ ปรารถนาแต่ความสัตย์จริงกล่าวว่า ข้าพระองค์เป็นทาส นี้เป็นโทษของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เห็นแต่โทษนี้ แต่โทษของข้าพระองค์อย่างอื่นไม่มี ขอพระองค์จงอดโทษนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด ขออย่าได้กระทำโทษนั้นไว้ในพระหฤทัย จับผิดในบุตรและภริยาของข้าพระองค์ ในภายหลัง. 
 พระราชา ครั้นทรงสดับดังนั้นแล้ว เมื่อจะทรงแสดงว่า ดูก่อนบัณฑิต การไปของท่านไม่ถูกใจเราเลย เราจักทำอุบายเรียกมาณพสั่งบังคับให้เอาไปฆ่า แล้วปิดเนื้อความเสียมิให้ใครได้รู้ ข้อนั้นแหละจะชอบใจเรา ดังนี้ จึงได้ตรัสคาถาว่า ท่านไม่อาจจะไปนั่นแล เป็นความพอใจของเรา เราจะสั่งให้ฆ่าตัดออกเป็นท่อนๆ แล้วหมกไว้ให้มิดชิดในเมืองนี้ ท่านอยู่ในที่นี้แหละ การทำดังนี้เราชอบใจ ดูก่อนบัณฑิตผู้มีปัญญาอันสูงสุด กว้างขวางดุจแผ่นดิน ท่านอย่าไปเลย. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฆตฺวา ความว่า เราจะโบยท่านให้ตาย แล้วปกปิดไว้ในกรุงราชคฤห์นี้เอง. 
 พระมหาสัตว์ได้สดับดังนั้น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระราชอัธยาศัยเห็นปานนี้ มิบังควรแก่พระองค์เลย ดังนี้แล้ว กล่าวคาถาว่า ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อย่าทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ในอธรรมเลย ขอจงทรงประกอบพระองค์ไว้ในอรรถและในธรรมเถิด กรรมอันเป็นอกุศล ไม่ประเสริฐ บัณฑิตติเตียนว่า ผู้ทำกรรมอันเป็นอกุศล พึงเข้าถึงนรกในภายหลัง นี้มิใช่ธรรมเลย ไม่เข้าถึงกิจที่ควรทำ. ข้าแต่พระจอมประชาชน ธรรมดาว่า นายผู้เป็นใหญ่ของทาส จะทุบตีก็ได้ จะเผาก็ได้ จะฆ่าเสียก็ได้ ข้าพระองค์ไม่มีความโกรธเลย และข้าพระองค์ขอกราบทูลลาไป. 
                บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มา เหว ธมฺเมสุ ความว่า ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อย่าทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ในอธรรม คือในอนัตถะ ได้แก่ในความชั่วของพระองค์เลย. 
               บทว่า ปจฺฉา ความว่า ความไม่แก่และไม่ตาย ย่อมไม่มีเพราะการทำกรรมใด โดยที่แท้ บุคคลผู้กระทำกรรมนั้น ย่อมเข้าถึงนรกในภายหลังทีเดียว. 
               บทว่า ธิรตฺถุ กมฺมํ ความว่า กรรมนั้นน่าติเตียน คือเป็นกรรมที่บัณฑิตในปางก่อนติเตียนแล้ว. บทว่า เนเวส ความว่า นี้มิใช่เป็นสภาวะธรรมของโบราณกบัณฑิต. บทว่า อยิโร แปลว่า นาย. 
 บทว่า ฆาเตตุํความว่า ธรรมดาว่า นายผู้เป็นใหญ่แห่งทาส เพื่อจะทำการฆ่าเป็นต้นนั้นย่อมไม่ได้ เพื่อจะทำกรรมทั้งหมดนั้นได้ ดูก่อนมาณพ ความโกรธของเราแม้มีประมาณน้อยย่อมไม่มี นับตั้งแต่ เวลาพระราชทานข้าพระองค์ให้แก่มาณพนี้ ควรที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ให้เที่ยงตรง ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งนรชน ข้าพระองค์ขอลาไป. 
 พระมหาสัตว์ ครั้นกราบทูลอย่างนั้นแล้ว จึงถวายบังคมลาพระราชา ไปสั่งสอนพระสนมกำนัลในและราชบริษัท เมื่อชนเหล่านั้น แม้อดกลั้นความโศกไว้ตามปกติไม่ได้ ร้องไห้คร่ำครวญอย่างใหญ่หลวง ได้ออกจากพระราชนิเวศน์ไป ชนชาวพระนครทั้งสิ้นพูดกันเซ็งแซ่ว่า ข่าวว่า วิธุรบัณฑิตจะไปกับมาณพ พวกเราจงมาไปเยี่ยมท่านเถิด ดังนี้แล้ว จึงไปประชุมกัน เยี่ยมพระมหาสัตว์ที่หน้าพระลานหลวง.
 ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้สั่งสอนชาวพระนครเหล่านั้นว่า พวกท่านอย่าคิดวิตกไปเลย สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สรีระไม่ยั่งยืน สมมติธรรมอันได้นามว่า ยศ ย่อมมีความวิบัติเป็นที่สุด อนึ่ง ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทในบุญกุศล มีทานเป็นต้น ดังนี้แล้ว ได้บ่ายหน้ากลับสู่เรือนของตน ขณะนั้น ธรรมปาลกุมารพาหมู่น้องชายน้องหญิงออกไป ด้วยหวังว่า จะทำการต้อนรับบิดา ได้พร้อมกันคอยบิดาอยู่ที่ประตูบ้าน พระมหาสัตว์เห็นธรรมปาลกุมารนั้นแล้ว ไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้ สวมกอดธรรมปาลกุมารเข้าไว้กับทรวง แล้วอุ้มไปสู่เรือน. 
      พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า พระมหาสัตว์นั้นมีเนตรทั้งสองนองด้วยน้ำตา กำจัดความกระวนกระวายในหทัยแล้ว. สวมกอดบุตรคนโตแล้วเข้าไปยังเรือนหลังใหญ่.
      ก็พระมหาสัตว์นั้น มีบุตรพันหนึ่ง มีธิดาพันหนึ่ง ภริยาพันหนึ่ง นางวรรณทาสีเจ็ดร้อย และทั้งทาสกรรมกรญาติและมิตรที่เหลือ บรรดามีอยู่ในเรือนของท่าน ต่างก็พากันร้องไห้ ล้มฟุบลงทับกันไปประดุจป่าไม้รัง ถูกลมยุคันต์พัดให้หักทับล้มลงไป ฉะนั้น. 
      พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า 
      บุตรพันหนึ่ง ธิดาพันหนึ่ง ภริยาพันหนึ่ง และทาสเจ็ดร้อย ในนิเวศน์ของวิธุรบัณฑิต ต่างประคองแขนทั้งสอง ร้องไห้คร่ำครวญ กลิ้งเกลือกกลับทับกันไป เหมือนป่าไม้รังถูกลมพัดล้มระเนระนาดทับกันไป ฉะนั้น. 
 พระสนมกำนัลใน พระราชกุมาร พวกพ่อค้า ชาวนา และพราหมณ์ทั้งหลาย ต่างก็มาประคองแขน ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในนิเวศน์ของวิธุรบัณฑิต. พวกกองช้าง กองม้า กองรถ กองเดินเท้า ... ชาวชนบทและชาวนิคม ต่างมาประชุมประคองแขน ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในนิเวศน์ของวิธุรบัณฑิต. ภริยาพันหนึ่ง และทาสีเจ็ดร้อยต่างพากันประคองแขน ร้องไห้คร่ำครวญว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงจะละดิฉันทั้งหลายไปเสีย. พระสนมกำนัล พระราชกุมาร พ่อค้า ชาวนา และพราหมณ์ทั้งหลาย ... พวกกองช้าง กองม้ากองรถ กองเดินเท้า ... ชาวชนบท และชาวนิคม ต่างมาประชุมประคองแขน ร้องไห้คร่ำครวญว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงจักละข้าพเจ้าทั้งหลายไปเสีย. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสนฺติ ความว่า บุตรพันหนึ่ง ธิดาพันหนึ่ง ภริยาพันหนึ่ง และนางวรรณทาสีเจ็ดร้อย บรรดามีอยู่ในเรือนของวิธุรบัณฑิต ต่างกอดแขนทั้งสองข้าง ร้องไห้คร่ำครวญ กลิ้งเกลือกล้มระเนระนาดทับกันไป ดังป่าไม้รังใหญ่ที่ถูกลมพัด หักทับทอดพื้นแผ่นดินใหญ่ ฉะนั้น. 
               บทว่า ภริยานํ ได้แก่ หญิง คือภริยาพันหนึ่ง. บทว่า กสฺมา โน ความว่า พากันคร่ำครวญว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงจักละพวกเราไป.
 พระมหาสัตว์ปลอบโยนมหาชนทั้งหมดนั้นให้สร่างโศก ทำกิจที่ยังเหลือให้เสร็จ สั่งสอนอันโตชนและพาหิรชน บอกเรื่องที่ควรจะบอกทุกอย่างแก่บุตรและภริยาเสร็จแล้ว ไปสู่สำนักของปุณณกยักษ์ บอกกิจของตนที่ทำเสร็จแล้วแก่ปุณณกยักษ์นั้น. 
 พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า พระมหาสัตว์กระทำกิจทั้งหลายในเรือนสั่งสอนคนของตน คือมิตร สหาย คนใช้ บุตร ธิดา ภริยาและพวกพ้อง จัดการงาน บอกมอบทรัพย์ในเรือน ขุมทรัพย์และการส่งหนี้เสร็จแล้ว ได้กล่าวกะปุณณกยักษ์ว่า ท่านได้พักอยู่ในเรือนของข้าพเจ้า ๓ วันแล้ว กิจที่จะพึงทำในเรือนของข้าพเจ้า ทำเสร็จแล้ว อนึ่ง บุตรและภริยาข้าพเจ้าได้สั่งสอนแล้ว ข้าพเจ้าย่อมทำกิจตามอัธยาศัยของท่าน. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กมฺมนฺตํ สํวิเธตฺวาน ความว่า จัดกิจที่ควรทำในเรือนว่า ควรทำอย่างนี้และอย่างนี้. บทว่า นิธึ ได้แก่ ทรัพย์ที่ฝังไว้ในที่นั้นๆ. บทว่า อิณทานํ ได้แก่ ทรัพย์ที่ประกอบไว้ด้วยอำนาจหนี้. บทว่า ยถามตึ เต ความว่า บัดนี้ท่านจงกระทำตามอัธยาศัยของท่าน. 
 ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์กล่าวกะพระมหาสัตว์ว่า  ดูก่อนมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชกิจทั้งปวง ถ้าว่า ท่านสั่งสอนบุตรภริยาและคนอาศัยแล้ว เชิญท่านมารีบไปในบัดนี้ เพราะในทางข้างหน้ายังไกลนัก ท่านอย่ากลัวเลย จงจับหางม้าอาชาไนย การเห็นชีวโลกของท่านนี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย. 
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตฺเต ความว่า ปุณณกยักษ์ถึงโสมนัสเรียกมหาสัตว์ว่า กตฺเต. บทว่า อทฺธาปิ ความว่า แม้เพียงหนทางที่จะพึงไปก็ยังไกลนัก. บทว่า อสมฺภีโตว แปลว่า เป็นทางปลอดภัย. 
      ปุณณกยักษ์นั้นไม่หยั่งลงสู่ภายใต้ปราสาท ประสงค์จะหลีกไปจากนั้น จึงได้กล่าวอย่างนั้น. 
      ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะปุณณกยักษ์นั้นว่า 
      ข้าพเจ้าจักสะดุ้งกลัวไปทำไม ข้าพเจ้าไม่มีกรรมชั่วทางกาย ทางวาจาและทางใจ อันเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติ. 
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสหํ กิสฺสานุภายิสฺสํ ความว่า พระมหาสัตว์ถูกปุณณกยักษ์กล่าวว่า อย่ากลัวเลย ท่านจงถือเอาเถิด ดังนี้ จึงได้กล่าวอย่างนั้น. 
 พระมหาสัตว์บันลือสีหนาทด้วยประการอย่างนี้ จะได้สะดุ้งกลัวหามิได้ เป็นผู้หมดภัย องอาจดังพระยาไกรสรราชสีห์ ทำอธิษฐานบารมีให้เป็นปุเรจาริกว่า ผ้าสาฎกของอาตมาผืนนี้ จงอย่าหลุดลุ่ยออกจากร่างกายของอาตมา แล้วนุ่งผ้าให้แน่น จับหางม้าด้วยมือทั้งสอง กระหวัดหางม้าไว้ให้มั่น เอาเท้าทั้งสองเกี่ยวขาม้าไว้ให้แน่น กล่าวว่า ดูก่อนมาณพ ข้าพเจ้าจับหางม้าแล้ว ท่านจงไปตามความชอบใจเถิด. ขณะนั้น ปุณณกยักษ์ได้ให้สัญญาแก่ม้ามโนมัยสินธพ ส่วนม้ามโนมัยสินธพนั้น ได้พาวิธุรบัณฑิตเหาะไปในอากาศ. 
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงได้ตรัสพระคาถาว่า 
               พระยาม้านั้นนำวิธุรบัณฑิตเหาะไปในอากาศกลางหาว ไม่กระทบที่กิ่งไม้หรือภูเขา วิ่งเข้าไปสู่กาฬาคิรีบรรพต โดยฉับพลัน. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาขาสุ เสเลสุ อสชฺชมาโน ความว่า ได้ยินว่า ปุณณกยักษ์คิดว่า เรามาไกลแล้ว เราควรจะทุบวิธุรบัณฑิตนี้ให้ตายที่ต้นไม้ และภูเขาในหิมวันตประเทศ ถือเอาแต่เนื้อหทัย ทิ้งซากศพเสียในซอกแห่งภูเขา แล้วไปสู่นาคพิภพ ถวายเนื้อหทัยนั้นแก่พระนางวิมลาเทวีในนาคพิภพ แล้วจักรับเอานางอิรันทตีกลับมา. 
 ปุณณกยักษ์นั้นทุบพระมหาสัตว์ที่ต้นไม้และภูเขา ขับม้าไปในระหว่าง ทางแห่งต้นไม้และภูเขานั้นแล ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาสัตว์ ต้นไม้ก็ดี ภูเขาก็ดี ได้แหวกช่องหลีกออกห่างจาก สรีระของพระมหาสัตว์ข้างละศอก. ปุณณกยักษ์เหลียวกลับหลัง มองดูหน้าพระมหาสัตว์ เพื่ออยากทราบว่า ตายแล้วหรือยัง. เห็นหน้าพระมหาสัตว์ผ่องใสดุจแว่นทอง รู้ว่าแม้ทำเพียงนี้เธอก็ยังไม่ตาย จึงทุบตีพระมหาสัตว์ที่ต้นไม้และภูเขา ๓ ครั้ง ขับม้าไปในระหว่างแห่งต้นไม้และภูเขาในหิมวันตประเทศนั้นอีก ต้นไม้ก็ดี ภูเขาก็ดี ย่อมแหวกช่องหลีกออกให้ห่างไกลเช่นกับหนก่อน นั่นแล. พระมหาสัตว์ได้รับความลำบากกายเป็นอย่างยิ่ง ปุณณกยักษ์ดำริว่า เราจักทำเธอให้เป็นจุณวิจุณไปที่กองลม ในบัดนี้ แล้วขับม้าไปในกองลม เหลียวกลับดูด้วยคิดว่า เธอตายแล้วหรือยังไม่ตาย เห็นหน้าพระมหาสัตว์เบิกบาน ดังดอกปทุมที่แย้มบาน ก็โกรธเหลือกำลัง ควบม้าไปสู่กองลมแล่นกลับไปกลับมาสิ้น ๗ ครั้ง ด้วยอานุภาพแห่งพระโพธิสัตว์ กองลมได้แยกออกเป็น ๒ ภาคให้ช่องแก่พระมหาสัตว์. ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์ขับม้าไปให้กระทบลมแม้ที่ลมเวรัมภะ แม้อันว่า ลมเวรัมภะก็มีเสียงดังครืน ดุจเสียงฟ้าฟาดตั้งแสนครั้ง ได้แยกช่องให้แก่พระโพธิสัตว์. ฝ่ายปุณณกยักษ์ เมื่อเห็นว่า พระโพธิสัตว์ไม่เป็นอันตรายด้วยลมเวรัมภะนั้น ได้ขับม้าไปสู่กาฬาคิรีบรรพต. 
      เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสพระคาถาว่า 
      พระยาม้านั้นนำวิธุรบัณฑิตเหาะไปในอากาศกลางหาว ไม่กระทบที่กิ่งไม้หรือภูเขา วิ่งเข้าไปสู่กาฬาคิรีบรรพต โดยฉับพลัน. 
      บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสชฺชมาโน ความว่า ไม่ติดขัด ไม่กระทบกระทั่ง นำวิธุรบัณฑิตเข้าไปสู่ยอดแห่งกาฬาคิรีบรรพต. 
      ในเวลาที่ ปุณณกยักษ์พาพระมหาสัตว์ไปอย่างนั้น ปิยชนทั้งหลายมี บุตรและภรรยาเป็นต้น ของวิธุรบัณฑิตไปสู่ที่พักแห่งปุณณกยักษ์ ไม่เห็นพระมหาสัตว์ จึงล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา ดุจมีเท้าขาดไป ต่างคนต่างพากันร้องไห้ ร่ำไรด้วยเสียงอันดัง. 
 พระศาสดา เมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า  ภรรยาพันหนึ่ง และทาสีเจ็ดร้อย ประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญว่า ยักษ์แปลงเพศเป็นพราหมณ์มาพาเอาวิธุรบัณฑิตไป พระสนมกำนัลใน พระราชกุมาร พ่อค้า ชาวนาและพราหมณ์ ... กองช้าง กองม้า กองรถ กองเดินเท้า ชาวชนบท และชาวนิคม ต่างมาประชุมพร้อมกัน ประคองแขนทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญว่า ยักษ์แปลงเพศเป็นพราหมณ์มาพาเอาวิธุรบัณฑิตไป. ภรรยาพันหนึ่ง และทาสีเจ็ดร้อย ต่างประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญว่า วิธุรบัณฑิตนั้นไปแล้ว ณ ที่ไหน. พระสนมกำนัลใน พระราชกุมาร พ่อค้า ชาวนาและพราหมณ์ ... กองช้าง กองม้า กองรถ กองเดินเท้า ... ชาวชนบท และชาวนิคม ต่างมาประชุมพร้อมกัน ประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญว่า วิธุรบัณฑิตไปแล้ว ณ ที่ไหน.
 ชนเหล่านั้นทั้งหมดเห็น และได้ทราบว่า ปุณณกยักษ์พาพระมหาสัตว์ไปทางอากาศ พากันคร่ำครวญแล้ว แม้อย่างนี้ พากันคร่ำครวญพร้อมด้วยชนพระนครทั้งสิ้น ได้พากันไปยังพระราชวัง. พระราชาทรงสดับเสียงคร่ำครวญอันดัง ทรงเปิดสีหบัญชรทอดพระเนตรดู จึงตรัสถามว่า พวกเจ้าร้องไห้พิไรร่ำรำพัน เพราะเหตุไร. ลำดับนั้น ชนชาวพระนครเหล่านั้นทูลบอกเนื้อความนั้นแด่ท้าวเธอว่า ข้าแต่สมมติเทพ นัยว่า มาณพนั้นไม่ใช่พราหมณ์ เป็นยักษ์จำแลงเพศเป็นพราหมณ์มาเอาวิธุรบัณฑิตไป ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายพลัดพรากจากวิธุรบัณฑิตนั้นเสียแล้ว ชีวิตเห็นจะหาไม่ ถ้าวิธุรบัณฑิตจักไม่กลับมาในวันที่ ๗ แต่วันนี้ไปไซร้ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวง จักขนเอาฟืนมาด้วยเกวียน ๑๐๐ เล่ม ๑,๐๐๐ เล่ม ก่อไฟให้เป็นเปลวลุกรุ่งโรจน์ แล้วเข้าไปสู่กองไฟ ดังนี้แล้ว ทูลด้วยคาถานี้ว่า 
               ถ้าวิธุรบัณฑิตนั้นจักไม่มาโดย ๗ วัน ข้าพระพุทธเจ้าจักพากันเข้าไปสู่กองไฟ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีความต้องการด้วยชีวิต. 
               แม้ในกาลเป็นที่ปรินิพพานแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลายไม่มีใครพูดว่า พวกเราจะเข้ากองไฟตายเช่นนี้ หาได้มีเหมือนครั้งเสวยพระชาติเป็นวิธุรบัณฑิตไม่ เหตุนั้น ผู้มีปัญญาจึงเข้าใจว่า ในพระนคร พระมหาสัตว์ครอบครองด้วยแล้วแล. 
 พระราชาทรงสดับถ้อยคำของชนเหล่านั้นแล้ว จึงมีพระราชดำริว่า พวกเจ้าอย่าพากันวิตก อย่าเศร้าโศกร่ำไรไปนักเลย วิธุรบัณฑิตเป็นผู้แสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด จะเล้าโลมมาณพด้วยธรรมกถา ให้หมอบลงแทบบาทของตนไม่กี่วัน ก็จักมาเช็ดหน้าของพวกเราที่เต็มไปด้วยน้ำตาให้เบิกบาน พวกเจ้าอย่าละห้อยสร้อยเศร้าไปเลย ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถาว่า วิธุรบัณฑิตเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม สามารถแสดงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์แจ้งชัด มีปัญญาเครื่องพิจารณา คงจะเปลื้องตนได้โดยพลัน ท่านทั้งหลายอย่ากลัวไปเลย วิธุรบัณฑิตปลดเปลื้องตน แล้วก็จักรีบกลับมา. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิยตฺโต ความว่า ประกอบด้วยความเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม คือด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา. บทว่า วิภาวี ความว่า เป็นผู้สามารถแสดงถึง ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ เหตุและมิใช่เหตุให้แจ่มชัด. บทว่า วิจกฺขโณ ความว่า ประกอบด้วยปัญญาอันเป็นเครื่องรู้แจ้ง ถึงเหตุที่เกิดขึ้นตามฐานะในขณะนั้น นั่นเอง. บทว่า มา ภายิตฺถ ความว่า ท่านสั่งสอนว่า พวกท่านอย่ากลัวเลย วิธุรบัณฑิตปลดเปลื้องตนให้พ้น แล้วจักกลับมาโดยเร็วพลัน. 
               ฝ่ายชาวพระนครกลับได้ความอุ่นใจว่า วิธุรบัณฑิตจักทูลบอกกับพระราชาแล้วจึงไป ด้วยประการฉะนี้แล. 
 จบกัณฑ์ว่าด้วย การปลดเปลื้องโทษ

อรรถกถา ๓ / ๖. วิธุรชาดก ว่าด้วย พระวิธูรบัณฑิตทรงบำเพ็ญสัจจะบารมี

พระวิธูรบัณฑิตทรงบำเพ็ญสัจจะบารมี จาก พระไตรปิฏก อรรถกถา  หน้าต่างที่ [๑ ] [ ๒ ] ๓. ] [ ๔ ] [ ๕ ]  [ ๖ ]
 ปุณณกยักษ์ ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า แม้ถ้าพระองค์ทรงชนะข้าพระองค์ด้วยสกาก่อน ข้าพระองค์จักถวายแก้วมณีนี้. แต่หากข้าพระองค์ชนะ พระองค์จะประทานอะไรแก่ข้าพระองค์. พระเจ้าธนัญชัยตรัสว่า ดูก่อนพ่อ ยกเว้นตัวของเรา และเศวตฉัตรกับพระมเหสีเสีย ของที่เหลือซึ่งเป็นของๆ เรา เรายกให้เป็นส่วยสำหรับท่าน. ปุณณกยักษ์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ถ้าอย่างนั้น พระองค์อย่าชักช้าเลย เพราะข้าพระองค์มาแต่ไกล โปรดให้จัดแจงโรงสกาเสียเถิด. 
 พระราชารับสั่งให้พวกอำมาตย์จัดแจงแล้ว อำมาตย์เหล่านั้นจัดแจงโรงเล่นสกาโดยเร็ว ปูพระที่นั่งด้วยเครื่องลาดอันวิจิตรงดงามสำหรับพระราชา ตกแต่งอาสนะถวายพระราชาที่เหลือ และตกแต่งอาสนะอันสมควรแก่ปุณณกยักษ์ เสร็จแล้วกราบบังคมทูลกำหนดกาลแด่พระราชา. 
 ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์ได้กราบทูลพระราชาด้วยคาถาว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า กรรมในโรงเล่นสกาสำเร็จแล้ว. เชิญพระองค์ไปทรงเล่นสกา แก้วมณีเช่นนี้ของพระองค์ไม่มี เราพึงชนะกันโดยธรรม. อย่าชนะกันโดยไม่ชอบธรรม. ถ้าข้าพระองค์ชนะพระองค์ไซร้ ขอพระองค์อย่าได้ทรงทำให้เนิ่นช้า.
               คำเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า 
               ข้าแต่มหาราชเจ้า กรรมในโรงสกาถึงเข้าแล้ว คือสำเร็จแล้ว แก้วมณีเช่นนี้นี่ไม่มีแก่พระองค์ ขอพระองค์อย่าได้ทรงทำให้เนิ่นช้า. 
 บทว่า อุเปหิ ลกฺขํ ความว่า ขอพระองค์จงทรงเข้าไปสู่โรงสกา อันเป็นสถานที่เล่นด้วยสกาทั้งหลาย และเมื่อเล่น เราทั้งหลายพึงชนะกันโดยชอบธรรมเท่านั้น. ความชนะจงมีแก่เราทั้งหลายโดยสงบเถิด ก็ถ้าข้าพระองค์พึงชนะไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์จงอย่าชักช้าจงรีบกระทำทีเดียว เพราะฉะนั้น พระองค์ไม่พึงกระทำให้เนิ่นช้า พึงให้ทรัพย์ที่ข้าพระองค์ชนะแล. 
 ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสกะปุณณกยักษ์นั้นว่า ดูก่อนมาณพ ท่านอย่ากลัวเราว่าเป็นพระราชา ชัยชนะหรือปราชัย จักมีโดยธรรมเท่านั้น ความชนะและแพ้ของเรา จักมีโดยสงบ. ปุณณกยักษ์ได้สดับดังนั้น จึงทูลว่า ขอพระองค์ทั้งหลายจงทรงทราบความชนะและแพ้ของเราทั้งสอง ก็โดยธรรมเท่านั้น ดังนี้แล้ว เมื่อจะกระทำพระราชาเหล่านั้นให้เป็นพยาน จึงกล่าวคาถาว่า ข้าแต่พระสุรเสนผู้ปรากฏในกรุงปัญจาละ พระเจ้ามัจฉราชและพระเจ้ามัททราช ทั้งพระเจ้าเกกกะราช พร้อมด้วยชาวชนบท ขอจงทอดพระเนตรดู ข้าพเจ้าทั้งสองจะสู้กันด้วยสกา กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดีไม่ได้ทำสักขีพยานไว้แล้ว ย่อมไม่ทำกิจอะไรๆ ในที่ประชุม. 
               บรรดาบทเหล่านั้น ปุณณกยักษ์เรียกพระเจ้าปัญจาลราชนั่นแลว่า ปัจจุคคตา. เพราะเป็นผู้เลื่องชื่อ คือผู้ปรากฏ ลือเด่น. 
               บทว่า มจฺฉา จ ความว่า ข้าแต่พระสหาย ก็พระองค์เป็นพระราชาในมัจฉรัฐ. 
               บทว่า มทฺทา ความว่า ข้าแต่พระเจ้ามัททราช. 
               บทว่า สห เกกเกภิ ความว่า ข้าแต่พระเจ้าวัตตมานเกกกะราชพระองค์ พร้อมด้วยชาวชนบท ชื่อเกกกะ.
 อีกอย่างหนึ่ง บัณฑิตวาง สห ศัพท์ ไว้หลังบทว่า เกกเกภิ และกระทำศัพท์ว่า ปจฺจุคฺคต ให้เป็นบทวิเสสนะ ของบทว่า สูรเสน. แล้วพึงทราบความในคาถานี้อย่างนี้ว่า พระเจ้าสูรเสนมัจฉะผู้ปรากฏในแคว้นปัญจาละและพระเจ้ามัททะ พระเจ้าเกกกะและพระราชาที่เหลือ พร้อมด้วยชาวชนบท ชื่อว่าเกกกะ. 
               บทว่า ปสฺสตุ โน เต ความว่า ขอพระราชาเหล่านั้นจงดูการต่อสู้กันเป็นคะแนน ด้วยสกาของเราทั้งสอง. 
               บทว่า โน ในบทว่า น โน สภายํ กโรนฺติ กญฺจิ นี้ เป็นเพียงนิบาต.
 ความว่า กษัตริย์ทั้งหลายก็ดี พราหมณ์ทั้งหลายก็ดี ย่อมไม่กระทำใครๆ ให้เป็นพยานในที่ประชุม แต่ย่อมกระทำตามธรรมเนียม. เพราะฉะนั้น ปุณณกยักษ์จึงได้กระทำยักษ์เสนาบดีให้เป็นพยานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจักไม่ได้กล่าวว่า เหตุอันไม่สมควรอะไรจะเกิดว่า ที่เราไม่ยอมรับฟัง เราไม่ยอมรับเห็น พวกท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด. 
 ลำดับนั้น พระเจ้าธนัญชัยโกรพยราชมีพระราชา ๑๐๑ พระองค์แวดล้อมเป็นบริวาร ทรงพาปุณณกยักษ์เสด็จเข้าสู่โรงเล่นสกา. พระราชาแม้ทั้งหมดและปุณณกยักษ์ต่างก็ประทับนั่ง และนั่งบนอาสนะอันสมควรแล้ว เจ้าพนักงานก็ยกกระดานสกาที่ทำด้วยเงิน และลูกบาศก์ที่ทำด้วยทอง มาตั้งลงในท่ามกลาง. 
 ฝ่ายปุณณกยักษ์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์ทรงทอดสกาเร็วๆ. ลูกบาศก์สกาทั้งหลายจัดเป็น ๒๔ ลูก มีชื่อว่า มาลี สาวดี พหุลี และสันติภัทรเป็นต้น. ในลูกบาศก์สกาเหล่านั้น ขอพระองค์ทรงถือลูกบาศก์ลูกที่ชอบพระทัยของพระองค์เถิด. พระราชาตรัสว่า ดีละ แล้วทรงถือเอาลูกบาศก์ที่ชื่อว่า พหุลี. ปุณณกยักษ์ถือเอาลูกบาศก์ที่ชื่อว่า สาวดี. ขณะนั้น พระราชาตรัสกะปุณณกยักษ์ว่า ดูก่อนมาณพ ถ้ากระนั้นท่านจงทอดลูกสกาก่อน. ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า วาระที่ข้าพระองค์จะทอดยังไม่ถึง ขอพระองค์ทรงทอดก่อนเถิดพระเจ้าข้า. พระราชาทรงรับว่า ดีละ ก็อารักขเทวดาที่เคยเป็นพระชนนีของท้าวเธอในอัตภาพที่ ๓ มีอยู่. พระราชาทรงชนะด้วยสกา เพราะอานุภาพแห่งอารักขเทวดานั้น. อารักขเทวดานั้นได้สถิตอยู่ในที่ใกล้แห่งพระราชานั้น. พระราชาทรงระลึกถึงนางเทพธิดานั้น. เมื่อจะทรงทอดสกา จึงตรัสพระคาถาว่า 
 ข้าแต่มารดา ขอมารดาจงดูแลข้าพเจ้าด้วย. โปรดช่วยให้ความชนะปรากฏแก่ข้าพเจ้า. ข้าแต่มารดา ขอมารดาจงช่วยอนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้า. เพราะเดชแห่งมารดา ความชนะมากจะมีแก่ข้าพเจ้า. ลูกบาศก์ที่ทำด้วยทองชมพูนุท ๔ เหลี่ยมจตุรัส กว้างและยาว ๘ นิ้ว. รุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางบริษัท ดุจแก้วมณีมีรัศมีสว่างไสว ที่ข้าพเจ้าจะทอดลง ณ บัดนี้. ขอให้พลิกขึ้นตามใจหวัง. ข้าแต่เทวดา จงให้ความชนะแก่ข้าพเจ้า จงเห็นแก่ข้าพเจ้าผู้มีโภคสมบัติน้อย อันคนที่มารดาคอยช่วยอนุเคราะห์อยู่แล้ว. ย่อมจะเห็นแต่ความเจริญทุกเมื่อ. ลูกบาศก์สกาชื่อมาลี ท่านกล่าวว่ามี ๘ แต้ม. ลูกบาศก์สกาชื่อสาวดี ท่านกล่าวว่า มี ๖ แต้ม. ลูกบาศก์สกาชื่อพหุลีทราบว่ามี ๔ แต้ม. ลูกบาศก์สกาชื่อสันติภัทร ทราบว่า มี ๒ แต้ม และกระดานสกานั้น ท่านผู้รู้ประกาศว่ามี ๒๔ ตา. 
 พระราชา ครั้นทรงขับเพลงสกาแล้ว ทรงพลิกลูกบาศก์ด้วยพระหัตถ์ โยนขึ้นไปในอากาศ. ด้วยอานุภาพแห่งปุณณกยักษ์ ลูกบาศก์จะยังพระราชาปราชัย ย่อมตกลงไม่ดี. พระราชาทรงฉลาดในศิลปศาสตร์สกา. เมื่อทราบว่า ลูกบาศก์หมุนตกลงจะทำพระองค์ให้ปราชัย ทรงรับไว้เสียก่อนในอากาศ. ทรงจับโยนขึ้นไปใหม่ในอากาศ. แม้ครั้งที่ ๒ ก็ทรงทราบลูกบาศก์ตกลงจะทำให้พระองค์ปราชัย จึงทรงรับไว้อย่างนั้นเหมือนกัน. ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์ดำริว่า พระราชาองค์นี้เล่นสกากับยักษ์ผู้เช่นเรา ยังมายื่นมือรับลูกบาศก์อันกำลังตกลงไว้ได้. นี่เพราะเหตุอะไรหนอ. เมื่อทราบว่า เพราะอานุภาพของอารักขเทวดาแล้ว. จึงถลึงตาดูอารักขเทวดานั้น แสดงดุจดังว่าโกรธ. อารักขเทวดา พอปุณณกยักษ์เพ่งดูเท่านั้น ก็สะดุ้งกลัว วิ่งหนีไปถึงที่สุดเขาจักรวาล. ได้ยืนแอบตัวสั่นอยู่รัวๆ. พระราชาทรงโยนลูกบาศก์ขึ้นไปครั้งที่ ๓ แม้จะทรงทราบว่า ลูกบาศก์ตกลงแล้วจะทำพระองค์ให้ปราชัย ก็หาสามารถจะทรงเหยียดพระหัตถ์ออกรับ ไว้ได้ไม่. เพราะอานุภาพแห่งปุณณกยักษ์ ลูกบาศก์นั้นตกลงไม่ดี ยังพระราชาให้ปราชัย. ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์ทราบว่า ท้าวเธอทรงปราชัย มีใจยินดี ตบมือ หัวเราะด้วยเสียงอันดัง ๓ ครั้งว่า ข้าพเจ้าชนะแล้ว ข้าพเจ้าชนะแล้ว ข้าพเจ้าชนะแล้วดังนี้ เสียงนั้นได้แผ่ไปทั่วชมพูทวีป. 
 พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า พระราชาของกุรุรัฐและปุณณกยักษ์ ผู้มัวเมาในการเล่นสกาเข้าไปสู่โรงเล่นสกาแล้ว. พระราชาทรงเลือกได้ลูกบาศก์ที่มีโทษ ทรงปราชัย. ส่วนปุณณกยักษ์ชนะ. พระราชาและปุณณกยักษ์ทั้งสองนั้น เมื่อเจ้าพนักงานเอาสกามารวมพร้อมแล้ว ได้เล่นสกากันอยู่ในโรงสกานั้น. ปุณณกยักษ์ได้ชัยชนะ พระราชาผู้แกล้วกล้าประเสริฐกว่านรชน. ท่ามกลางพระราชา ๑๐๑ พระองค์ และพยานที่เหลือเสียงบันลือลั่นได้มีขึ้น ในสนามสกานั้น ๓ ครั้ง.
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาวิสุํ ความว่า เข้าไปในโรงสกา. บทว่า วิจินํ ความว่า พระราชาทรงเลือกใน ๒๔ ตา ได้ยึดในทางที่มีโทษ คือยึดเอาทางปราชัย. บทว่า กฏมคฺคหิ ความว่า ส่วนปุณณกยักษ์ยึดเอาชัยชนะ พระราชากับปุณณกยักษ์ทั้งสองนั้น เมื่อเจ้าพนักงานเอาสกามา พร้อมกันในโรงเล่นสกานั้น ท่านทั้งสองได้เล่นสกาแล้ว. บทว่า รญฺญํ ความว่า ครั้นปุณณกยักษ์นั้นชนะพระราชาผู้แกล้วกล้าประเสริฐกว่านรชน ในท่ามกลางแห่งพระราชา ๑๐๑ และท่านผู้เป็นสักขีพยานที่เหลือ. บทว่า ตตฺถปฺปนาโท ตุมุโล พภูว ความว่า เสียงบันลือลั่นได้มีขึ้นในมณฑลสกานั้น ๓ ครั้งว่า ขอพระองค์จงทราบความที่พระราชาทรงปราชัยแล้ว ข้าพเจ้าชนะแล้ว ข้าพเจ้าชนะแล้ว ข้าพเจ้าชนะแล้ว. 
               พระราชา ครั้นทรงปราชัยแล้ว ทรงเสียพระทัยเป็นกำลัง. ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์ เมื่อจะปลอบโยนท้าวเธอให้เบาพระทัย จึงทูลเป็นคาถาว่า 
               ข้าแต่พระมหาราชา เราทั้งสองผู้พยายามเล่นสกา ความชนะและความแพ้ ย่อมมีแก่คนใดคนหนึ่ง. ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมชน ข้าพระองค์ชนะพระองค์ด้วยทรัพย์อันประเสริฐแล้ว. ข้าพระองค์ชนะแล้ว ขอพระองค์ทรงพระราชทานเสียเร็วๆ เถิด. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อายูหตํ ความว่า บรรดาเราทั้งสองผู้พยายามเล่นสกา ความชนะและความแพ้ ย่อมมีแก่คนใดคนหนึ่ง เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ท่านอย่าคิดว่า เราเป็นผู้แพ้แล้ว. 
               บทว่า ฆินฺโนสิ(๑. บาลีเป็น ชินฺโนสิ-ท่านเป็นผู้ชนะแล้ว.) ความว่า ท่านเป็นผู้เสื่อมแล้ว. 
               บทว่า วรนฺธเนน แปลว่า ด้วยทรัพย์อันประเสริฐ. บทว่า ขิปฺปมวากโรหิ ความว่า ขอพระองค์โปรดพระราชทานทรัพย์ สำหรับเป็นค่าชัยชนะโดยฉับพลันเถิด พระเจ้าข้า. 
               ลำดับนั้น พระราชา เมื่อจะตรัสกะปุณณกยักษ์ว่า จงรับเอาซิ พ่อ. จึงตรัสพระคาถาว่า 
               ดูก่อนท่านกัจจานะ ช้าง ม้า โค แก้วมณี กุณฑล และแก้วอันประเสริฐกว่า ทรัพย์ทั้งหลายมีอยู่ในแผ่นดินของเรา ท่านจงรับเอาเถิด เชิญขนเอาไปตามปรารถนาเถิด. 
               ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า 
               ช้าง ม้า โค แก้วมณี กุณฑล และแก้วอื่นใดที่มีอยู่ในแผ่นดินของพระองค์ บัณฑิตมีนามว่าวิธุระ เป็นแก้วมณีอันประเสริฐกว่าทรัพย์เหล่านั้น ข้าพระองค์ชนะพระองค์แล้ว โปรดพระราชทานวิธุรบัณฑิตแก่ข้าพระองค์เถิด. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส เม ชิโต ความว่า ข้าพระองค์ก็ชนะพระองค์แล้ว ผู้เป็นรัตนะอันสูงสุด และพระองค์ก็เป็นผู้ประเสริฐกว่ารัตนะทั้งปวง. เพราะฉะนั้นเป็นอันชื่อว่า ข้าพระองค์ชนะพระองค์แล้ว. พระองค์โปรดจงทรงพระราชทานวิธุรบัณฑิตแก่ข้าพระองค์เถิด. 
 พระราชาตรัสพระคาถาว่า วิธุรบัณฑิตนั้นเป็นตัวของเรา เป็นที่พึ่ง เป็นคติ เป็นเกาะ เป็นที่เร้น และเป็นที่ไปในเบื้องหน้าของเรา. ท่านไม่ควรจะเปรียบวิธุรบัณฑิตนั้น กับทรัพย์ของเรา. วิธุรบัณฑิตนั้นเช่นกับชีวิตของเรา คือ เป็นตัวเรา. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺตา จ เม โส ความว่า ก็วิธุรบัณฑิตนั้น ชื่อว่าเป็นตัวของเรา และเราได้พูดแล้วว่า เว้น ตัวเรา เศวตฉัตรและอัครมเหสีเสีย. นอกนั้นเราให้แก่ท่าน เพราะเหตุนั้น ท่านอย่ายึดวิธุรบัณฑิตนั้นไว้ และวิธุรบัณฑิตนั้นไม่ใช่ เพียงแต่เป็นตัวของเราอย่างเดียว. โดยที่แท้วิธุรบัณฑิตนั้น ทั้งเป็นที่พึ่ง เป็นคติ เป็นเกาะ เป็นที่เร้น และเป็นที่ไปในเบื้องหน้าของเราอีกด้วย. 
               บทว่า อสนฺตุเลยฺโย มม โส ธเนน ความว่า ท่านไม่ควรเปรียบวิธุรบัณฑิตกับด้วยทรัพย์ ๗ ประการของเรา. 
               ปุณณกยักษ์กล่าวคาถาว่า 
               การโต้เถียงกันของข้าพระองค์ และของพระองค์จะพึงเป็นการช้านาน ขอเชิญเสด็จไปถามวิธุรบัณฑิตกันดีกว่า ให้วิธุรบัณฑิตนั้นแลชี้แจงเนื้อความนั้น วิธุรบัณฑิตจักกล่าวคำใด คำนั้นจงเป็นอย่างนั้นแก่เราทั้งสอง. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิวรตุ เอตมตฺถํ ความว่า ขอวิธุรบัณฑิตนั้นนั่นแล จงประกาศว่า ท่านเป็นตัวของท่านหรือไม่. บทว่า โหตุ กถา อุภินฺนํ ถ้อยคำที่วิธุรบัณฑิตนั่นแล จงเป็นประมาณแก่เราทั้งสอง. 
               พระราชาตรัสพระคาถาว่า 
               ดูก่อนมาณพ ท่านพูดจริงแท้ทีเดียวและไม่ผลุนผลัน เราถามวิธุรบัณฑิตกันเถิดนะ เราทั้งสองจงยินดีตามคำที่วิธุรบัณฑิตพูดนั้น. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น จ มาณว สาหสํ ความว่า ท่านอย่าใช้คำอำนาจกล่าวคำผลุนผลันออกไป. 
 ก็แลพระราชาครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงร่าเริงพระทัยพาพระราชา ๑๐๑ พระองค์ และปุณณกยักษ์เข้าไปโรงธรรมสภาโดยเร็ว วิธุรบัณฑิตลงจากอาสนะ ถวายบังคมพระราชา แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์เจรจาปราศรัยกะพระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่บัณฑิต เกียรติศัพท์ของท่านได้ปรากฏไปในสากลโลกว่า ท่านตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่พูดเท็จ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตเช่นนี้ ก็ข้าพเจ้าจักทราบความที่ ท่านเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรมได้ในวันนี้แล แล้วกล่าวคาถาว่า เทวดาทั้งหลายย่อมรู้จักอำมาตย์ในแคว้นกุรุรัฐ ชื่อวิธุรบัณฑิตผู้ตั้งอยู่ในธรรม จริงหรือ การบัญญัติ ชื่อว่าวิธุระ ในโลกนั้น ท่านเป็นอะไร คือเป็นทาส หรือเป็นพระประยูรญาติของพระราชา. 
 ในคาถานั้น ข้าพเจ้าขอถามว่าเทวดาทั้งหลายเรียก คือกล่าวประกาศถึงท่านวิธุระ ผู้เป็นอำมาตย์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมแห่งแคว้นกุรุอย่างนี้ว่า อำมาตย์ชื่อว่าวิธุระ ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ไม่พูดมุสาวาท แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต. เทพเหล่านั้น เมื่อทราบชัดอย่างนี้ จึงได้กล่าวแต่คำสัตย์ หรือว่าเทพเหล่านั้นพูดแต่ความไม่เป็นจริงเท่านั้นแล. 
 บทว่า วิธุโรติ สํขฺยา กตโมสิ โลเก ความว่า ชื่อของท่านปรากฏอยู่ในโลกว่าวิธุระ. ท่านประกาศเป็นไฉน คือเป็นทาส เป็นคนชั้นต่ำ หรือเป็นเสมอ หรือยิ่งกว่า หรือเป็นพระประยูรญาติของพระราชา. คำที่เราถามมาแล้วนี้ ท่านจงบอกแก่เราก่อนว่า ท่านเป็นทาส หรือเป็นพระประยูรญาติของพระราชา. 
 ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า มาณพนี้ถามเราอย่างนี้ เราจะบอกเขาว่า เราเป็นญาติของพระราชา เราเป็นคนสูงกว่าพระราชา หรือไม่ได้เป็นอะไรเลยของพระราชา เช่นนี้ก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าชื่อว่าที่พึ่งในโลกนี้ จะเสมอด้วยคำจริงย่อมไม่มี เราควรจะพูดคำจริงเท่านั้น เพื่อจะแสดงว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพระประยูรญาติของพระราชา และมิได้เป็นคนสูงกว่าพระราชา แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นทาสคนใดคนหนึ่งแห่งทาส ๔ จำพวก จึงกล่าว ๒ คาถาว่า ในหมู่นรชน ทาสมี ๔ จำพวกคือ ทาสครอกจำพวก ๑. ทาสไถ่จำพวก ๑. ทาสที่ยอมตัวเป็นข้าเฝ้าจำพวก ๑. ทาสเชลยจำพวก ๑. แม้ข้าพเจ้าก็เป็นทาสโดยกำเนิดแท้ทีเดียว. ความเจริญก็ตาม ความเสื่อมก็ตาม จะมีแก่พระราชา แม้ข้าพเจ้าจะไปยังที่อื่น ก็คงเป็นทาสของสมมติเทพ นั่นเอง. ดูก่อนมาณพ พระราชาเมื่อจะพระราชทานข้าพเจ้าให้เป็นค่าพนันแก่ท่าน ก็พึงพระราชทานโดยชอบธรรม.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อามายทาสา ได้แก่ ทาสที่เกิดในท้องของนางทาสี ผู้มีสามีเป็นทาส. 
 บทว่า สยํปิ เหเก อุปยนฺติ ทาสา ความว่า คนเหล่าใดเหล่าหนึ่งเกิดมาเป็นคนใช้เขาทั้งหมดนั้น ชื่อว่าทาสผู้เข้าถึงความเป็นทาสเอง. บทว่า ภยา ปนุนฺนา ความว่า คนผู้เป็นเชลยถูกไล่ออกจากที่อยู่ของตน โดยราชภัยหรือโจรภัย. แม้ไปสู่แดนแห่งข้าศึก ก็ชื่อว่าเป็นทาสเหมือนกัน. บทว่า อทฺธา หิ โยนิโต อหํปิ ทาโส ความว่า ดูก่อนมาณพ แม้เราก็เป็นทาสเกิดจากกำเนิดทาสเอง รวมอยู่ในกำเนิดทาส ๔ จำพวกโดยส่วนเดียวแท้ๆ. บทว่า ภโว จ รญฺโญ อภโว จ ความว่า ความเจริญหรือความเสื่อม จงมีแก่พระราชาก็ตาม. ข้าพเจ้าไม่สามารถจะพูดเท็จได้เลย. 
               บทว่า ปรํปิ ความว่า ข้าพเจ้าแม้ไปสู่ที่ไกล ก็ต้องเป็นทาสของสมมติเทพอยู่ตามเดิม. 
               บทว่า ทชฺชา ความว่า พระราชาทอดทิ้งข้าพเจ้า เพราะทรัพย์ในการชนะแล้ว ประทานข้าพเจ้าเป็นค่าพนันแก่ท่าน. จึงพึงพระราชทานโดยธรรม คือโดยความเป็นจริงนั่นเอง. 
  ปุณณกยักษ์ได้ยินดังนั้น ก็ยินดีร่าเริงปรบมืออีก แล้วกล่าวคาถาว่า  วันนี้ ความชนะได้มีแก่ข้าพระองค์เป็นครั้งที่ ๒ เพราะว่า วิธุรบัณฑิตผู้เป็นปราชญ์ อันข้าพระองค์ถามแล้ว ได้ชี้แจงปัญหาอย่างแจ่มแจ้ง พระราชาผู้ประเสริฐไม่ทรงตั้งอยู่ในธรรมหนอ ไม่ทรงยอมให้วิธุรบัณฑิตแก่ข้าพระองค์. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชเสฏฺโฐ ความว่า พระราชาผู้ประเสริฐนี้ ไม่ทรงตั้งอยู่ในธรรมหนอ. บทว่า สุภาสิตํ ความว่า อันวิธุรบัณฑิตกล่าวดีแล้ว คือวินิจฉัยดีแล้ว. บทว่า นานุชานาสิ มยฺหํ ความว่า ปุณณกยักษ์กล่าวว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ยอมให้ข้าพเจ้าได้รู้จักกับวิธุรบัณฑิต ท่านไม่ให้เพื่ออะไร. 
 พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น ทรงโทมนัสว่า วิธุรบัณฑิตนี้ ไม่เห็นแก่ผู้มีอุปการะคุณ ผู้ให้ลาภให้ยศเช่นเรา เห็นแก่มาณพที่พึงเห็นกันเดี๋ยวนี้ แล้วทรงพระพิโรธแก่พระมหาสัตว์ ตรัสกะปุณณกยักษ์ว่า แน่ะมาณพ ถ้าวิธุรบัณฑิตเป็นทาส ท่านจงเอาเขาไปเสีย ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถาว่า ดูก่อนกัจจานะ ถ้าวิธุรบัณฑิตชี้แจงปัญหาแก่เราทั้งหลายอย่างนี้ว่า เราเป็นทาส เราหาได้เป็นญาติไม่ ท่านจงรับเอาวิธุรบัณฑิต ผู้เป็นทรัพย์อันประเสริฐกว่าทรัพย์ทั้งหลาย พาไปตามที่ท่านปรารถนาเถิด. 
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวญฺจ โน โส วิวเรตฺถ ปญฺหํ ความว่า ถ้าวิธุรบัณฑิตเปิดเผยปัญหาอย่างนี้ว่า เราเป็นทาส หาได้เป็นญาติไม่เลย ขอท่านจงรับเอาวิธุรบัณฑิต ผู้เป็นแก้วอันประเสริฐกว่าทรัพย์ทั้งหลาย พาไปตามปรารถนาในบริษัทมณฑลของท่านเถิด.
จบอักขขัณฑกัณฑ์ 
 ก็แลพระราชา ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงทรงพระดำริว่า มาณพลักพาวิธุรบัณฑิตไปตามชอบใจ นับตั้งแต่วันที่เธอจากไป ยากที่เราจะได้ฟังธรรมกถาอันไพเราะ ถึงอย่างไร เราควรขอให้เธอพักอยู่ในถิ่นของตน ถามปัญหาในฆราวาสธรรมเสียก่อน. ลำดับนั้น ท้าวเธอทรงอาราธนาพระมหาสัตว์นั้น อย่างนี้ว่า ข้าแต่บัณฑิต เมื่อท่านจากไปแล้ว ยากที่ข้าพเจ้าจักได้ฟังธรรมกถาอันไพเราะ ขอท่านพักอยู่ในถิ่นของตนเองก่อน เชิญนั่งบนธรรมาสน์อันประดับ แล้วแสดงปัญหาในฆราวาสธรรมแก่ข้าพเจ้า ณ บัดนี้. พระมหาสัตว์รับพระบรมราชโองการว่า ดีละ พระเจ้าข้า. แล้วนั่งบนธรรมาสน์ที่ประดับแล้ว. วิสัชนาปัญหาที่พระราชาตรัสถาม. 
 ปัญหาคาถาในฆราวาสธรรมนั้น มีดังต่อไปนี้ ท่านวิธุรบัณฑิต คฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือน จะพึงมีความประพฤติอันปลอดภัยได้อย่างไร. จะพึงมีความสงเคราะห์ได้อย่างไร. จะพึงมีความไม่เบียดเบียนได้อย่างไร และอย่างไร มาณพจึงจะชื่อว่า มีปกติกล่าวคำสัตย์ จากโลกนี้ไปยังโลกหน้าแล้ว จะไม่เศร้าโศกได้อย่างไร. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เขมา วุตฺติ กถํ อสฺส ความว่า คฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือน จะพึงประพฤติตนให้ปลอดภัยได้อย่างไร. 
               บทว่า กถนฺนุ อสฺส สงฺคโห ความว่า อย่างไรหนอ เขาจะพึงมีการสงเคราะห์ กล่าวคือสังคหวัตถุ ๔ ประการใด. 
               บทว่า อพฺยาปชฺฌํ แปลว่า ความเป็นผู้ปราศจากทุกข์. บทว่า สจฺจวาที จ ความว่า ก็อย่างไร มาณพจะพึงชื่อว่า กล่าวแต่คำสัตย์. 
               บทว่า เปจฺจ แปลว่าไปสู่ ปรโลก. 
               พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า 
               วิธุรบัณฑิตผู้มีคติ มีความเพียร มีปัญญาเห็นอรรถธรรมอันสุขุม กำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ได้กราบทูลพระราชาในโรงธรรมสภานั้นว่า 
               ผู้ครองเรือนไม่ควรคบหญิงสาธารณะเป็นภริยา. ไม่ควรบริโภคอาหารมีรสอร่อยแต่ผู้เดียว ไม่ควรซ่องเสพถ้อยคำอันให้ติดอยู่ในโลก ไม่ให้สวรรค์และนิพพาน เพราะถ้อยคำเช่นนั้น ไม่ทำให้ปัญญาเจริญได้เลย. 
               ผู้ครองเรือนพึงเป็นผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยวัตร ไม่ประมาท มีปัญญาเครื่องสอดส่องเหตุผล มีความประพฤติถ่อมตน ไม่พึงเป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น เป็นผู้สงบเสงี่ยม มีวาจาน่าคบเป็นสหาย อ่อนโยน. 
               ผู้ครองเรือนพึงเป็นผู้สงเคราะห์มิตร จำแนกแจกทาน รู้จักจัดทำ พึงบำรุงสมณพราหมณ์ด้วยข้าวน้ำทุกเมื่อ. 
               ผู้ครองเรือนพึงเป็นผู้ใคร่ต่อธรรม ทรงจำอรรถธรรมที่ได้สดับมาแล้ว หมั่นไต่ถาม พึงเข้าไปหาท่านผู้มีศีล เป็นพหูสูตโดยเคารพ. 
 คฤหัสถ์ผู้ครองเรือนจะพึงมีความประพฤติอันปลอดภัยได้อย่างนี้ จะพึงมีความสงเคราะห์ได้อย่างนี้ จะพึงมีความไม่เบียดเบียนกันได้อย่างนี้ และมาณพพึงปฏิบัติอย่างนี้ จึงจะชื่อว่า มีปกติกล่าวคำสัตย์ จากโลกนี้แล้วไปยังโลกหน้า จะไม่เศร้าโศกด้วยอาการอย่างนี้ พระเจ้าข้า. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ ตตฺถ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิธุรบัณฑิตได้แสดงฆราวาสธรรม ถวายพระราชาในโรงธรรมสภานั้น. 
               บทว่า คติมา ความว่า ชื่อว่า ผู้มีคติด้วยญาณคติอันประเสริฐ. บทว่า ธิติมา ได้แก่ ผู้มั่นคงเพราะมีความเพียรไม่ขาดสาย. 
               บทว่า มติมา ความว่า ชื่อว่า ผู้มีปัญญาเพราะมีปัญญาอันไพบูลย์เสมอด้วยแผ่นดิน. 
               บทว่า อตฺถทสฺสินา ความว่า ชื่อว่า ผู้เห็นอรรถด้วยญาณอันเห็นอรรถอันละเอียดสุขุม. 
               บทว่า สงฺขาตา ความว่า วิธุรบัณฑิตกำหนดรู้ธรรมได้ทั้งหมดด้วยปัญญา คือญาณเครื่องรู้แล้ว. กราบทูลคำมีอาทิว่า อย่าคบหาภริยาอันสาธารณะ ในฆราวาสธรรมนั้น. ผู้ใดผิดภรรยาของชนเหล่าอื่น ผู้นั้นชื่อว่ามีภริยาเป็นสาธารณะ. ผู้เช่นนั้นอย่าพึงมีภริยาอันเป็นสาธารณะเลย. 
 คฤหัสถ์ผู้ครองเรือนจะพึงมีความประพฤติอันปลอดภัยได้อย่างนี้ จะพึงมีความสงเคราะห์ได้อย่างนี้ จะพึงมีความไม่เบียดเบียนกันได้อย่างนี้ และมาณพพึงปฏิบัติอย่างนี้ จึงจะชื่อว่า มีปกติกล่าวคำสัตย์ จากโลกนี้แล้วไปยังโลกหน้า จะไม่เศร้าโศกด้วยอาการอย่างนี้ พระเจ้าข้า. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ ตตฺถ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิธุรบัณฑิตได้แสดงฆราวาสธรรม ถวายพระราชาในโรงธรรมสภานั้น. 
               บทว่า คติมา ความว่า ชื่อว่า ผู้มีคติด้วยญาณคติอันประเสริฐ. บทว่า ธิติมา ได้แก่ ผู้มั่นคงเพราะมีความเพียรไม่ขาดสาย. 
               บทว่า มติมา ความว่า ชื่อว่า ผู้มีปัญญาเพราะมีปัญญาอันไพบูลย์เสมอด้วยแผ่นดิน. 
               บทว่า อตฺถทสฺสินา ความว่า ชื่อว่า ผู้เห็นอรรถด้วยญาณอันเห็นอรรถอันละเอียดสุขุม. 
               บทว่า สงฺขาตา ความว่า วิธุรบัณฑิตกำหนดรู้ธรรมได้ทั้งหมดด้วยปัญญา คือญาณเครื่องรู้แล้ว. กราบทูลคำมีอาทิว่า อย่าคบหาภริยาอันสาธารณะ ในฆราวาสธรรมนั้น. ผู้ใดผิดภรรยาของชนเหล่าอื่น ผู้นั้นชื่อว่ามีภริยาเป็นสาธารณะ. ผู้เช่นนั้นอย่าพึงมีภริยาอันเป็นสาธารณะเลย. 
               บทว่า สาธุเมกโก ความว่า ผู้อยู่ครองเรือน ไม่ให้โภชนะอันประณีตมีรสอร่อยแก่ชนเหล่าอื่น. ไม่พึงบริโภคแต่ผู้เดียว. 
               บทว่า โลกายติกํ ความว่า ไม่ควรซ่องเสพวาทะอันเกี่ยวในทางหายนะ อันเป็นคำพูดให้เขาหลงเชื่อ. ไม่อาศัยประโยชน์ ไม่เป็นทางให้ไปสวรรค์. 
               บทว่า เนตํ ปญฺญาย วฑฺฒนํ ความว่า ก็ข้อนั้น เป็นทางทำโลกให้ปั่นป่วน ไม่ทำให้ปัญญาเจริญ. 
               บทว่า สีลวา ได้แก่ ประกอบด้วยศีล ๕ ข้อไม่ขาด. 
               บทว่า วตฺตสมฺปนฺโน ความว่า ผู้อยู่ครอบครองเรือนต้องเข้าถึง ความประพฤติอนุวัตรตามพระราชา. 
               บทว่า อปฺปมตฺโต ความว่า เป็นผู้ไม่ประมาทในกุศลธรรม. 
               บทว่า นิวาตวุตฺติ ความว่า ไม่กระทำความเย่อหยิ่ง ประพฤติตนตกต่ำรับโอวาทานุศาสนี. 
               บทว่า อตฺถทฺโธ ความว่า เว้นจากความตระหนี่เหนียวแน่น. 
               บทว่า สุรโต ความว่า ประกอบด้วยความสงบเสงี่ยม. 
               บทว่า สขิโล แปลว่า ผู้มีวาจาเป็นที่ตั้งแห่งความรัก. 
               บทว่า มุทุ ได้แก่ ผู้ไม่หยาบคายด้วยกายวาจาและจิต. 
               บทว่า สงฺคเหตา จ มิตฺตานํ ความว่า ผู้อยู่ครองเรือนพึงเป็น ผู้ทำการสงเคราะห์มิตรอันดีงาม คือพึงสงเคราะห์ ในบรรดาทานเป็นต้น อันเป็นเครื่องสงเคราะห์กันนั้น. 
               บทว่า สํวิภาคี ได้แก่ ทำการจำแนกทานแก่สมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมเป็นต้น และแก่คนกำพร้าเป็นต้น. 
               บทว่า วิธานวา ความว่า พึงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยการจัดแจง ในกิจทั้งหมดอย่างนี้ว่า ในเวลานี้ควรจะไถ เวลานี้ควรจะหว่าน. 
               บทว่า ตปฺเปยฺย ความว่า พึงบรรจุภาชนะที่ตนรับแล้วๆ ให้เต็มแล้ว เมื่อให้พึงพอใจ. 
               บทว่า ธมฺมกาโม ความว่า ผู้ครองเรือนพึงเป็นผู้ใคร่ปรารถนาประเพณีธรรมบ้าง สุจริตธรรมบ้าง. 
               บทว่า สุตาธาโร ความว่า เป็นผู้ทรงสุตะ. 
               บทว่า ปริปุจฺฉโก ความว่า ผู้อยู่ครองเรือนพึงเข้าไปหาสมณพราหมณ์ผู้ทรงธรรม แล้วมีปกติ ไต่ถามด้วยคำมีอาทิว่า อะไรเป็นกุศลนะขอรับ. 
               บทว่า สกฺกจจํ แปลว่า โดยความเคารพ. 
               บทว่า เอวํ นุ อสฺส สงฺคโห ความว่า ผู้อยู่ครองเรือน แม้การสงเคราะห์ก็สมควรทำเช่นนั้น. 
               บทว่า สจฺจวาที ความว่า ผู้อยู่ครองเรือนปฏิบัติได้อย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้กล่าวคำสัตย์. 
 พระมหาสัตว์แสดงปัญหาในฆราวาสธรรมถวายแด่พระราชาอย่างนี้แล้ว ลงจากบัลลังก์ถวายบังคมพระราชา. ฝ่ายพระราชาทรงกระทำมหาสักการะแก่พระมหาสัตว์นั้น มีพระราชา ๑๐๑ พระองค์แวดล้อมเป็นบริวาร เสด็จกลับไปสู่พระนิเวศน์ของพระองค์. 
จบฆราวาสธรรมปัญหา
               ส่วนพระมหาสัตว์กลับเรือนของตนแล้ว. ลำดับนั้น ปุณณกยักษ์จึงกล่าวคาถาว่า 
               ท่านมาไปด้วยกัน ณ บัดนี้ พระเจ้าแผ่นดินธนัญชัยผู้เป็นอิสราธิบดี พระราชทานท่านให้แก่ข้าพเจ้าแล้ว ขอท่านจงปฏิบัติประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ธรรมนี้เป็นของเก่า. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โน ในบทว่า ทินฺโน โน นี้เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ท่านอันพระเจ้าธนัญชัยผู้เป็นอิสราธิบดี ได้พระราชทานแล้ว. 
               บทว่า เอส ธมฺโม สนนฺตโน ความว่า เพราะเมื่อท่านปฏิบัติ ให้เป็นประโยชน์แก่เรา ชื่อว่าเป็นอันปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่นายของตน การทำให้เป็นประโยชน์แก่นายของตนนั้น ชื่อว่าเป็นธรรมของเก่าคือ เป็นแบบของบัณฑิตในปางก่อน อย่างแท้จริง. 
 วิธุรบัณฑิตกล่าวคาถาว่า ดูก่อนมาณพ ข้าพเจ้าย่อมรู้ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้อันท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้อันพระราชา ผู้เป็นอิสราธิบดีพระราชทานแก่ท่านแล้ว แต่ข้าพเจ้าขอให้ท่านพักอยู่ในเรือนสัก ๓ วัน ขอให้ท่านยับยั้งอยู่ตลอดเวลาที่ ข้าพเจ้าสั่งสอนบุตรภรรยาก่อน. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตยาหมสฺมิ ความว่า ข้าพเจ้าย่อมรู้ว่า ท่านได้ข้าพเจ้าแล้ว คือเมื่อได้ข้าพเจ้า ไม่ใช่ได้โดยประการอื่น. 
               บทว่า ทินฺโนหมสฺมิ ตว อิสฺสเรน ความว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้อันพระราชา ผู้เป็นอิสราธิบดีของข้าพเจ้า ได้พระราชทานแก่ท่านแล้ว. 
 บทว่า ตีหญฺจ ความว่า ดูก่อนมาณพ เราเป็นผู้มีอุปการะมากแก่ท่าน เพราะไม่เห็นคล้อยตามพระราชา พูดไปตามความจริงเท่านั้น. เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้อันท่านได้แล้ว ท่านจงรู้ว่า ข้าพเจ้าเป็นใหญ่แก่ตน พวกเราจะพักอยู่ในเรือนของตน ๓ วัน เพราะฉะนั้น ท่านจงยับยั้งอยู่ ให้ข้าพเจ้าสั่งสอนบุตรและภรรยาก่อน. 
 ปุณณกยักษ์ได้ฟังดังนั้น แล้วคิดว่า บัณฑิตนี้พูดจริง เธอมีอุปการะแก่เราเป็นอย่างมาก แม้หากว่า เมื่อเธอจะขอให้เราพักอยู่ ๗ วันก็ดี ครึ่งเดือนก็ดี เราก็จะยับยั้งอยู่โดยแท้ ดังนี้แล้ว จึงกล่าวคาถาว่า คำที่ท่านกล่าวนั้น จงมีแก่ข้าพเจ้าเหมือนอย่างนั้น ข้าพเจ้าจักพักอยู่ ๓ วัน ตั้งแต่วันนี้ ท่านจงทำกิจในเรือนทั้งหลาย ท่านจงสั่งสอนบุตรภริยาเสียแต่วันนี้ ตามที่บุตรภริยาของท่านจะพึงมีความสุข ในภายหลัง ในเมื่อท่านไปแล้ว. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตมฺเม ความว่า คำที่ท่านขอนั้นทั้งหมด ข้าพเจ้าตามใจท่าน. 
               บทว่า ภวชฺช ความว่า ท่านผู้เจริญ จงสั่งสอนบุตรและภริยา ๓ วันตั้งแต่วันนี้ไป. 
               บทว่า ตยี เปจฺจ ความว่า ท่านจงสั่งสอนโดยประการที่เมื่อท่านไปแล้ว ภายหลังบุตรและภริยาของท่านจะพึงมีความสุข. 
               ปุณณกยักษ์ ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว เข้าไปสู่นิเวศน์ของพระมหาสัตว์นั้นแล. 
               พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า   ปุณณกยักษ์ผู้มีสมบัติน่าใคร่มากมาย กล่าวว่า ดีละ แล้วหลีกไปกับวิธุรบัณฑิต เป็นผู้มีมารยาทอันประเสริฐสุด เข้าไปในบ้านของวิธุรบัณฑิต อันบริบูรณ์ด้วยช้างและม้าอาชาไนย. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปหูตกาโม แปลว่า ผู้มีโภคทรัพย์มากมาย. 
               บทว่า ตํ กุญฺชราชญฺญหยานุจิณฺณํ ความว่า สั่งสม คือบริบูรณ์ด้วยช้างและม้าอาชาไนย. 
               บทว่า อริยเสฏฺโฐ ความว่า เป็นผู้สูงสุดในมารยาทอันประเสริฐสุด. 
               ปุณณกยักษ์เข้าไปในบ้านแห่งวิธุรบัณฑิตแล้ว ก็พระมหาสัตว์ได้มีปราสาท ๓ หลัง เพื่อเป็นที่พักแรม ๓ ฤดู. ในปราสาท ๓ หลังนั้น หลังหนึ่งชื่อว่าโกญจะ หลังหนึ่งชื่อว่ามยูระ หลังหนึ่งชื่อว่าปิยเกต. 
 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาปราสาท ๓ หลังนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า ปราสาทของพระมหาสัตว์มีอยู่ ๓ หลัง คือโกญจปราสาท ๑ มยูรปราสาท ๑ ปิยเกตปราสาท ๑. ในปราสาททั้ง ๓ นั้น พระมหาสัตว์ได้พาปุณณกยักษ์เข้าไปยังปราสาท อันเป็นที่น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก มีภักษาหารบริบูรณ์ มีข้าวน้ำเป็นอันมาก ดังหนึ่งสักกสารวิมานของท้าววาสวะ ฉะนั้น. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ ความว่า บรรดาปราสาททั้ง ๓ นั้น. 
 พระมหาสัตว์พาปุณณกยักษ์เข้าไปยังปราสาทอันเป็นที่ที่ตนอยู่ในสมัยนั้นซึ่งเป็นที่ที่น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก. ก็แลครั้นเข้าไปแล้ว ให้จัดแจงห้องอันเป็นที่นอน และห้องโถงใหญ่ ในชั้นที่ ๗ แห่งปราสาท ที่ได้ตบแต่งไว้แล้ว. ให้ปูที่นอนอันทรงสิริ บำรุงวิธีมีข้าวและน้ำเป็นต้นทั้งหมด. แล้วมอบให้แก่ปุณณกยักษ์นั้น ด้วยสั่งว่า หญิง ๕๐๐ ดุจนางเทพกัญญาเหล่านี้ จงเป็นหญิงบำรุงบำเรอท่าน. ท่านอย่าเบื่อหน่าย จงอยู่ในที่นี้เถิด. ครั้นมอบให้แล้ว จึงได้ไปสู่ที่อยู่ของตน. เมื่อพระมหาสัตว์ไปแล้ว หญิงบำเรอเหล่านั้นจับเครื่องดนตรีต่างๆ เริ่มการประโคม มีฟ้อนรำขับร้องเป็นต้น เพื่อบำเรอปุณณกยักษ์. 
 พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า นารีทั้งหลายผู้ประดับประดางดงาม ดังเทพอัปสรในเทวโลก ฟ้อนรำขับเพลงอันไพเราะจับใจ กล่อมปุณณกยักษ์อยู่ในปราสาทหลังนั้น. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวฺหยนฺติ แปลว่า ย่อมร้องเรียก. 
               บทว่า วราวรํ ความว่า นางบำเรอเหล่านั้นประดับองค์ทรงเครื่องอันงดงาม พากันฟ้อนรำและขับกล่อมประสานเสียงกันอยู่. 
               พระมหาสัตว์ผู้รักษาธรรม รับรองปุณณกยักษ์ ด้วยนางบำเรอที่น่ายินดี ทั้งข้าวและน้ำแล้ว คิดถึงประโยชน์ส่วนตน ได้เข้าไปในสำนักของภริยาในกาลนั้น. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปมุทาหิ ความว่า พระมหาสัตว์รับรองปุณณกยักษ์ ด้วยเหล่านางบำเรอที่น่ายินดีชื่นใจและด้วยข้าวและน้ำ. 
               บทว่า ธมฺมปาโล แปลว่า ผู้รักษาธรรม คือผู้คุ้มครองธรรม. 
               บทว่า อคฺคตฺถเมว ได้แก่ ซึ่งประโยชน์อันเลิศนั่นเอง. 
               บทว่า ปาเวกฺขิ ภริยาย ความว่า ได้เข้าไปใกล้ภริยาผู้ประเสริฐกว่าสตรีทั้งปวง.
 ได้กล่าวกะภริยาผู้มีผิวพรรณอันผุดผ่อง ดุจแท่งทองชมพูนุท มีองค์อันลูบไล้ด้วยแก่นจันทร์และของหอมว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ ผู้มีเนตรอันแดงงาม เจ้าจงมา. จงเรียกบุตรธิดาของเรามาฟังคำสั่งสอน. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภริยํ อวจ แปลว่า ได้กล่าวกะภริยา. 
               บทว่า อามนฺตย แปลว่า ได้เรียก. 
 นางอโนชาได้สดับถ้อยคำของสามี ได้กล่าวกะลูกสะใภ้ผู้มีเล็บอันแดง มีตาอันงดงามว่า ดูก่อนยอดดวงใจ ผู้มีดวงตาอันงดงามหาที่ติมิได้ เจ้าจงเรียกบุตรทั้งหลายของเราผู้ทรงเครื่องปกปิดหนัง ผู้แกล้วกล้าสามารถมา ณ บัดนี้. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโนชา ได้แก่ ภรรยาผู้มีชื่ออย่างนั้น. 
               บทว่า สุณิสํ อวจ ตมฺพนขึ สุเนตฺตํ ความว่า 
นางอโนชาได้สดับถ้อยคำของสามี เป็นผู้มีหน้านองด้วยน้ำตาร้องไห้อยู่. คิดว่า เราไม่ควรจะไปเรียกบุตรด้วยตนเอง เราจักสั่งลูกสะใภ้ไป. ดังนี้แล้ว ไปสู่ที่อยู่ของลูกสะใภ้นั้น ได้กล่าวกะลูกสะใภ้ผู้มีเล็บอันแดง มีดวงตางดงาม. 
               บทว่า อามนฺตย แปลว่า จงเรียก. 
 บทว่า จมฺมธรานิ ความว่า ผู้ทรงซึ่งเครื่องปกปิดหนัง ผู้แกล้วกล้าสามารถ. ก็เครื่องอาภรณ์นั่นเอง ท่านประสงค์เอาว่า จมฺม เครื่องปกปิดหนังในที่นั้น. เพราะฉะนั้นจึงมีความว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งเครื่องอาภรณ์ดังนี้ก็มี. บทว่า เจเต ความว่า ลูกสะใภ้เรียกเขาโดยชื่อ. บทว่า ปุตฺตานิ ได้แก่ บุตรและธิดาของเรา. 
               บทว่า อินฺทีวรปุปฺผสาเม ความว่า ย่อมร้องเรียกเขา.
 ลูกสะใภ้รับคำว่า ดีละ. แล้วเที่ยวไปตามปราสาท ร้องเรียกเพื่อนสนิทของพระมหาสัตว์ บุตรและธิดาหมดทุกคนให้ไปประชุมกันว่า ดูก่อนท่านทั้งหลาย บิดาต้องการจะให้โอวาท จึงเรียกท่านทั้งหลายมา. ได้ยินว่า ท่านทั้งหลายเห็นบิดาครั้งนี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย. ส่วนว่า ธรรมปาลกุมารได้ยินคำนั้นแล้ว จึงพาพี่น้องร้องไห้ไปสู่สำนักของท่านบิดา. ฝ่ายวิธุรบัณฑิตเห็นบุตรธิดาเหล่านั้น ก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ตามปกติ มีเนตรเต็มไปด้วยน้ำตา สวมกอดและจูบศีรษะบุตรธิดาเหล่านั้น ให้บุตรคนโตนอนบนตัก. สักครู่หนึ่งแล้วก็ยกลงจากตัก ออกจากห้องอันประกอบด้วยสิริ ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ที่พื้นปราสาทหลังใหญ่ ได้ให้โอวาทแก่บุตรพันหนึ่ง. 
 พระศาสดา เมื่อประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า พระมหาสัตว์ผู้รักษาธรรม ได้จุมพิตบุตรธิดาผู้มาแล้วนั้นที่กระหม่อมไม่หวั่นไหว ครั้นเรียกบุตรธิดามาพร้อมแล้ว ได้กล่าวสั่งสอนว่า พระราชาในพระนครอินทปัตตะนี้ พระราชทานพ่อให้แก่มาณพแล้ว พ่อพึงมีความสุขของตนเองได้เพียง ๓ วัน ตั้งแต่วันนี้ไป พ้นจากนั้นไป พ่อก็ต้องเป็นไปในอำนาจของมาณพนั้น เขาจะพาพ่อไปตามที่เขาปรารถนา ก็พ่อมาเพื่อจะสั่งสอนลูกทั้งหลาย พ่อยังไม่ได้ทำเครื่องป้องกันให้แก่ลูกทั้งหลายแล้ว จะพึงไปได้อย่างไร. 
 ถ้าพระราชาผู้ปกครองกุรุรัฐ ผู้มีพระราชสมบัติอันน่าใคร่เป็นอันมาก ทรงต้องการกัลยาณมิตร จะพึงตรัสถามลูกทั้งหลายว่า เมื่อก่อนเจ้าทั้งหลายย่อมรู้เหตุเก่าๆ อะไรบ้าง. พ่อของเจ้าทั้งหลายได้พร่ำสอนอะไรไว้ ในกาลก่อนบ้าง ถ้าแหละพระราชาจะพึงมีพระราชโองการตรัสว่า เจ้าทั้งปวงเป็นผู้มีอาสนะเสมอกัน กับเราในราชตระกูลนี้ มนุษย์คนไรซึ่งจะมีชาติตระกูล คู่ควรกับพระราชา ไม่มี. 
 ลูกทั้งหลายพึงถวายบังคมกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์อย่าได้รับสั่งอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า เพราะข้อนี้มิใช่ธรรมเนียม ขอเดชะ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีชาติต่ำต้อย ไม่สมควรมีอาสนะเสมอด้วยพระองค์ผู้สูงศักดิ์ เหมือนสุนัขจิ้งจอกผู้มีชาติต่ำต้อย จะพึงมีอาสนะเสมอด้วยพระยาไกรสรราชสีห์อย่างไรได้ พระเจ้าข้า. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมปาโล ได้แก่ พระมหาสัตว์. 
               บทว่า ทินฺนาหํ ความว่า เราเป็นผู้อันพระราชาทอดทิ้งทรัพย์ ในชัยชนะพระราชทานแก่มาณพ. 
               บทว่า ตสฺสชฺชหํ อตฺตสุขี วิเธยฺโย ความว่า บิดามีความสุขในอำนาจแห่งตนได้ชั่ว ๓ วัน แต่วันนี้ไป พ้นจาก ๓ วันนี้ไป บิดาก็เป็นไปในอำนาจแห่งมาณพ ก็ในวันที่ ๔ มาณพนั้นจะพาบิดาไปในที่ไหนๆ ที่เขาปรารถนาโดยส่วนเดียว. 
               บทว่า อปริตฺตาย ความว่า ก็บิดามาเพื่อจะสอนเจ้าทั้งหลายว่า บิดาหากยังมิได้ทำเครื่องป้องกันแก่พวกเจ้า จะพึงไปได้อย่างไร เหตุนั้น บิดาจะต้องมาเพื่อสั่งสอนพวกเจ้า. 
               บทว่า ชนสณฺโฐ ความว่า พระราชาผู้ทำความมั่นคงแก่ชน ผู้เป็นมิตรด้วยการผูกมิตร. 
               บทว่า ปุเร ปุราณํ ความว่า ในกาลก่อนแต่นี้พวกเจ้าย่อมรู้เหตุการณ์เก่าๆ อะไรบ้าง บิดาของพวกเจ้าสั่งสอนพร่ำสอนไว้ อย่างไรบ้าง เจ้าทั้งหลายที่พระราชาตรัสถามอย่างนี้. พึงทูลว่า บิดาของข้าพระองค์ทั้งหลายได้ให้โอวาทอย่างนี้ๆ. 
               บทว่า สมานาสนา โหถ ความว่า ก็ถ้าว่า เมื่อพวกเจ้าทูลบอกโอวาทที่บิดาให้นี้ พระราชาจะพึงมีพระราชโองการตรัสว่า พวกเจ้าทั้งปวงมานั่งบนอาสนะเสมอกันกับเราในวันนี้. 
               บทว่า โกนีธ รญฺโญ อพฺภุติโก มนุสฺโส ความว่า ในตระกูลนี้ มนุษย์คนไรนอกจากพวกเจ้า ซึ่งจะมีชาติสกุลสูงศักดิ์เสมอด้วยพระราชา หามิได้ เพราะฉะนั้น จงให้นั่งบนอาสนะของตน.
               บทว่า ตมญฺชลึ ความว่า ถ้าพวกเจ้าพึงกระทำอัญชลี ถวายบังคมทูลอย่างนี้ไซร้ ขอเดชะ ขอพระองค์อย่าได้ตรัสอย่างนั้น เพราะข้อนั้นหาได้ถูกธรรมเนียมไม่. 
               บทว่า วิยคฺฆราชสฺส ได้แก่ ไกรสรราชสีห์. 
               บทว่า นิหีนชจฺโจ ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ 
ข้าพระองค์มีชาติต่ำต้อยเหมือนสุนัขจิ้งจอกแก่ จะพึงมีอาสนะเสมอด้วยพระองค์ได้อย่างไร. สุนัขจิ้งจอกย่อมเป็นผู้มีอาสนะเสมอด้วยราชสีห์แม้ ฉันใด. พวกข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ควรมีอาสนะเสมอด้วยพระองค์. 
 ส่วนพวกบุตรธิดาญาติผู้มีใจดีและทาสกรรมกรทั้งหมดนั้น ได้สดับถ้อยคำของพระมหาสัตว์ดังนี้ ไม่อาจดำรงอยู่ได้ตามปกติ ต่างพากันร้องไห้พิไรร่ำไปตามกัน พระมหาสัตว์ได้ตักเตือนชนเหล่านั้น ให้คลายโศกาดูร มีสติรู้สึกตัวได้แล้ว ด้วยประการฉะนี้. 
จบลักขกัณฑ์