- พระพุทธเจ้ามีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" เป็พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเนปาล พระราชมารดาทรงพระนามว่า "พระนางสิริมหามายา" ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ
- เจ้าชายสิทธัตถะประสูติเมื่อ 80 ปีก่อนพุทธศักราช ที่สวนลุมพินีวัน ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งอยู่ระหว่างพรมแดนกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ(ปัจจุบันคือ ต.รุมมินเด ประเทศเนปาล) ได้มีพราหมณ์ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ ถ้าดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน
- ทันทีที่ประสูติ ทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว มีดอกบัวผุดรองรับ ทรงเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา"
สถานที่ประสูติ
2.วัยเด็ก
- หลังประสูติได้ 7 วัน พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ จึงทรงอยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา
- ศึกษาเล่าเรียนจนจบระดับสูงของการศึกษาทางโลกในสมัยนั้น ค์อ ศิลปศาสตร์ถึง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร
- พระบิดาไม่ประสงค์จะให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอก จึงพยายามให้สิทธัตถะพบแต่ความสุขทางโลก เช่น สร้างปราสาท 3 ฤดู และเมื่ออายุ 16 ปี ได้ให้เจ้าชายสิทธัตถะอภิเษกกับนางพิมพาหรือยโสธรา ผู้เป็นพระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา
- เมื่อมีพระชนมายุ 29 ปี พระนางพิมพาก็ให้ประสูติ ราหุล (บ่วง)
3.เสด็จออกผนวช
- เมื่อทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณตามลำดับ จึงทรงคิดว่าชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ จึงเกิดแนวความคิดว่า
-ธรรมดาในโลกนี้มีของคู่กันอยู่ เช่น มีร้อนก็ต้องมีเย็น , มีทุกข์คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องมีที่สุดทุกข์ คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
-ทรงเห็นความสุขทางโลกเป็นเพียงมายา ความสุขในกามคุณเป็นความสุขจอมปลอม เป็นเพียงภาพมายาที่ ชวนให้หลงว่าเป็นความสุขเท่านั้น ในความจริงแล้วไม่มีความสุข ไม่มีความเพลิดเพลินใดที่ไม่มีความทุกข์เจือปน
-วิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ของชีวิตเช่นนี้ได้ หนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร จะต้องสละเพศผู้ครองเรือนเป็นสมณะ
- สิ่งที่ทรงพบเห็นเรียกว่า "เทวทูต(ทูตสวรรค์)" จึงตัดสินพระทัยทรงออกผนวช ในวันที่พระราหุลประสูติเล็กน้อย พระองค์ทรงม้ากัณฐกะออกผนวช มีนายฉันทะตามเสด็จ โดยมุ่งตรงไปที่แม่น้ำอโนมานที ทรงตัดพระเกศา และเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นผ้ากาสาวพักตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) ทรงเปลื้องเครื่องทรงมอบให้นายฉันนะนำกลับพระนคร การออกบวชครั้งนี้เรียกว่า การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่)
- หลังจากทรงผนวชแล้ว จึงทรงมุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ เพื่อค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร เมื่อเรียนจบทั้งสองสำนัก (บรรลุฌาณชั้นที่แปด) ก็ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ตามที่มุ่งหวังไว้
- จากนั้นจึงเสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (ปัจจุบันนี้สถานที่นี้เรียกว่า ดงคศิริ) เมื่อบำเพ็ญทุกรกิริยา โดยขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร หลังจากทดลองมา 6 ปี ก็ยังไม่พบทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา หันมาบำรุงพระวรกายโดยปกติตามพระราชดำริว่า "เหมือนสายพิณควรจะขึงพอดีจึงจะได้เสียงที่ไพเราะ" ซึ่งพระอินทร์ได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย พิณสายหนึ่งขึงไว้ตึงเกินไป พอถูกดีดก็ขาดผึงออกจากกัน จึงพิจารณาเห็นทางสายกลางว่า เป็นหนทางที่จะนำไปสู่พระโพธิญาณได้
- ระหว่างที่ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์ (โกญฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ) มาคอยปรนนิบัติพระองค์โดยหวังว่าจะทรงบรรลุธรรมวิเศษ เมื่อพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์จึงหมดศรัทธา พากันไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี (ต.สารนาถ)
4.ตรัสรู้(15 ค่ำเดือน 6)
- ขณะมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ นางสุชาดาได้ถวายข้าวมธุปายาส(หุงด้วยนม) ใต้ต้นไทร เมื่อเสวยเสร็จแล้วทรงลอยถาดทองในแม่น้ำเนรัญชรา ทรงอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า ...
“ถ้าอาตมาจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ” ถาดทองนั้นลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ๑ เส้น แล้วก็จมลงตรงนาคภพพิมานแห่งพญากาฬนาคราช พระองค์ทรงโสมนัสและแน่พระทัยว่าจะได้ตรัสรู้ เป็นพระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า โดยหาความสงสัยมิได้
- ในเวลาเย็นโสตถิยะให้ถวายหญ้าคา 8 กำมือ ปูลาดเป็นอาสนะ ณ โคนใต้ต้นโพธิ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา (ปัจจุบันคือ ต.พุทธคยา ประเทศอินเดีย)
- ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะบรรลุโพธิญาณ ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
- ทรงบรรลุรูปฌาณทั้ง 4 ชั้น แล้วใช้สติปัญญาพิจารณาจนเกิดความรู้แจ้ง คือ
1.) เวลาปฐมยาม ทรงได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกชาติได้
2.) เวลามัชฌิมยาม ทรงได้จุตูปปาตญาณ(ทิพยจักษุญาณ)คือรู้เรื่องเกิด-ตายของสัตว์ทั้งหลายว่า เป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำไว้
3.) เวลาปัจฉิมยาม ทรงได้ อาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะหรือกิเลส หมายถึง ตรัสรู้อริยสัจ4
- อาสวักขยญาณ ที่ทรงได้ทำให้ทรงพิจารณาถึงขันธ์ 5 และใช่แห่งความเป็นเหตุที่ เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นต้นทางให้เขาถึงอริยสัจ 4
- เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นแล้ว จึงละอุปาทานและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สถานที่ตรัสรู้ - พุทธคยา
5.ปฐมเทศนา
- หลังจากที่ตรัสรู้แล้ว ได้พิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้เป็นเวลา 7 สัปดาห์ ทรงเห็นว่าพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ทรงเกิดความท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรมโปรดมหาชน ต่อมาท่านได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง แล้วทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัว ๔ เหล่า ดังนั้นแล้วจึงดำริที่จะแสดงธรรมเพื่อมวลมนุษยชาติต่อไป
บัว ๔ เหล่า ได้แก่
๑.พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)
๒.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู)
๓.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)
๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)
- จึงทรงมีพระกรุณาธิคุณ ระลึกอาฬารดาบสและอุททกดาบสว่า มีกิเลสเบาบางสามารถตรัสรู้ได้ทันที แต่ท่านทั้ง 2 ได้ตายแล้ว จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ (ประกอบด้วย พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ) จึงเสด็จไปที่ป่าอิสปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นกาสี ปัจจุบันคือสารนาถ เมืองพาราณสี ในวันขึ้น 15 เดือน 8 จึงทรงปฐมเทศนา " ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป)"
ซึ่งใจความ 3 ตอน คือ
1.) ทรงชี้ทางผิดอันได้แก่กามสุขัลลิกานุโยค(การประกอบตนให้ชุ่มอยู่ด้วยกาม) และอัตตกิลมถานุโยค(การทรมานตนให้ลำบาก) ว่าเป็นส่วนสุดที่บรรพชิตไม่ควรดำเนิน แต่เดินทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือ มรรคมีองค์แปด เป็นไปเพื่อพระนิพพาน
2.) ทรงแสดงอริยสัจ 4 โดยละเอียด
3.) ทรงปฏิญญาว่าทรงตรัสรู้พระองค์เอง และได้บรรลุธรรมวิเศษแล้ว
- โกญฑัญญะเป็นผู้ได้ธรรมจักษุก่อน เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งตามสภาพเป็นจริงว่า
"ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ "
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีเกิดขึ้นเป็นธรรม สิ่งนั้นทั้งหมดมีดับเป็นธรรมดา
จึงได้อุปสมบทเป็น เอหิภิกขุอุปสัมปทาองค์แรก
- หลังจากปัญจวัคคีย์อุปสมบทแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์ อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์จึงสำเร็จเป็นอรหันต์
6.ลักษณะการแสดงธรรม
- สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางธรรมมาก่อนจะทรงเทศน์ "อนุปุพพิกถา" ซึ่งว่าด้วยเรื่อง
- คุณของการให้ทาน การรักษาศีล
- สวรรค์ (การแสวงสุขเนื่องจากการให้ทาน การให้ศีล)
- โทษของกามและการปลีกตัวออกจากกาม
- จากนั้นจึงทรงเทศน์ อริยสัจ 4
7.แสดงธรรมโปรดยสกุลบุตร
- ยสกุลบุตรเบื่อหน่ายชีวิตครองเรือนหนีออกจากบ้าน ไปยังป่าอิสปตนมฤคทายวันในเวลาเช้ามืด แล้วพบพระพุทธเจ้าบังเอิญ ยสกุลบุตรสดับพระธรรมเทศนาได้ดวงตาเห็นธรรม ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ และขอบวช
- อุบาสิกอุบาสิกาคู่แรก คือ บิดามารดาของพระยสะ
- ครั้นแล้วมีเพื่อนของพระยสะ 4 คนกับอีก 50 คน ได้มาฟังพระธรรมเทศนา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงมีพระอรหันต์ในโลก 61 องค์
8.การส่งสาวกออกประกาศศาสนา
- ตรัสเรียกสาวกออกประกาศศาสนา เมื่อมีสาวกครบ 60 รูป (ปัญจวัคคีย์และพวกพระยสะ)
- ตรัสให้พระสาวก 60 รูปแยกย้ายกันประกาศศาสนา 60 แห่งไม่ซ้ำทางกัน
- พระองค์จะเสด็จไปแสดงธรรม ณ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม
- เมื่อสาวกออกประกาศเทศนา มีผู้ต้องการบวชมาก และหนทางไกลกัน จึงทรงอนุญาตให้สาวกดำเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ "ติสรณคมนูปสัมปทา" (ปฏิญาณตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย)
9.การประดิษฐ์พุทธศาสนา ณ แคว้นมคธ
- วิธีเผยแพ่รศาสนาในกรุงราชคฤห์ ทรงเทศน์โปรดชฎิล(นักบวชเกล้าผม)สามพี่น้อง ได้แก่ พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ และบริวาร รวม 1,000 คนก่อน แล้วได้ขอบวชในพระพุทธศาสนา เพราะพวกชฎิลเป็นเจ้าลัทธิบูชาไฟที่ยิ่งใหญ่ หากชฎิลยอมรับพุทธธรรมได้ ประชาชนก็ย่อมเกิดความศรัทธา
- พระอุรุเวลกัสสปะได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางมีบริษัท(บริวาร)มาก
- พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายวัดนับว่าเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา คือ พระเวฬุวันมหาวิหาร (วัดเวฬุวัน)
10.อุปติสสะ(พระสารีบุตร)และโกลิตะ(พระโมคคัลลานะ)
- ณ กรุงราชคฤห์นี้เอง เด็กหนุ่มสองคน ซึ่งเป็นศิษย์ของนักปรัชญาเมธี ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อ สัญชัย เวลัฏฐบุตร โดยพระอัสสชิได้แสดงธรรมให้อุปติสสะว่า
"ทุกสิ่งจากเหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของสิ่งเหล่านั้น และการดับเหตุของสิ่งเหล่านั้น"
อุปติสสะได้ฟังก็เกิด "ดวงตาเห็นธรรม" จึงกราบลาท่าน แล้วรีบไปบอกข้อความที่ตนได้ฟังมาแก่โกลิตะทราบ โกลิตะได้ฟังก็เกิด"ดวงตาเห็นธรรม" เด็กหนุ่มสองคนจึงมาขอบวชเป็นสาวกพร้อมกัน และมีชื่อเรียกทางพระศาสนาว่า พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ ตามลำดับ
- หลังจากบวชได้ 7 วัน พระโมคคัลลานะได้ไปบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่ กัลลวาลมุตตคาม ใกล้เมืองมคธ รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน แก้อย่างไรก็ไม่หาย จนพระพุทธเจ้าเสด็จไปตรัสบอกวิธีเอาชนะความง่วงให้ พร้อมประทานโอวาทว่าด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น ให้ใช้ปัญญาพิจารณาเวทนา (ความรู้สึก) ทั้งหลายว่า เป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้แน่นอน จบพุทธโอวาท พระโมคคัลลานะก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
- หลังจากบวชได้ 15 วัน พระสารีบุตรได้ถวายงานพัดพระพุทธเจ้า ขณะพระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดทีฆนขะปริพาชก (นักบวชไว้เล็บยาว) อยู่ที่ถ้ำสุกรขาตา เชิงเขาคิชฌกูฏ ท่านพัดวีพระพุทธองค์พลางคิดตามพระโอวาทของพระพุทธเจ้าไปด้วย เมื่อจบพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
- ทั้งสองท่านได้รับแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าให้เป็นพระอัครสาวก โดยพระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา มีความเป็นเลิศกว่าผู้อื่นทางปัญญา และพระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย มีความเป็นเลิศกว่าผู้อื่นทางฤทธิ์มาก
11.โอวาทปาติโมกข์
- วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 (มาฆบูชา) เกิดมีจตุรงคสันนิบาต ซึ่งประกอบด้วย
1.)วันนั้น เป็นวันมาฆปูรณมี คือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือนมาฆะ จึงเรียกว่า มาฆบูชา
2.)พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
3.)พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ประเภทฉฬภิญญา คือ ได้อภิญญา ๖ ซึ่งหมายถึงความสามารถ พิเศษ ๖ ประการ ได้แก่ แสดงฤทธิ์ได้ ระลึกชาติได้ ตาทิพย์ หูทิพย์ กำหนดรู้ใจคนอื่นได้ และบรรลุอาสวักขยญาณ
4.)พระภิกษุ เหล่านั้น ทั้งหมด ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทา)
ทรงเทศน์ "โอวาทปาติโมกข์" ซึ่งถือเป็นหัวใจของศาสนาพุทธ ใจความว่า
" จงทำดี ละเว้นความชั่ว และทำใจให้บริสุทธิ์ "
- พระสงฆ์ปรารถว่าไม่เคยเห็นฝนเช่นนี้มาก่อน พระพุทธจึงทรงเล่าว่า ฝนนี้เคยตกมาแล้วเมื่อเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร แล้วจึงทรงเล่าเรื่องมหาเวสสันดร
12.โปรดพระพุทธบิดาและพระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์
- ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดา (พระเจ้าสุทโธทนะ) ได้บรรลุโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล จนบรรลุอรหันตผลเมื่อใกล้สวรรคต
- พระนันทะ (เป็นโอรสของพระสุทโธทนะกับพระนางปชาบดีโคตมี) ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านำ ออกผนวชอุปสมบท
- ต่อมาพระนางยโสธราก็ให้พระกุมารราหุลซึ่งมีอายุ 7 ปีไปทูลขอราชสมบัติ พระพุทธเจ้าเห็นว่าราชสมบัติเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน อริยทรัพย์(ทรัพย์อันประเสริฐ)ต่างหากเป็นสิ่งยั่งยืน จึงทรงให้พระสารีบุตรทำการบรรพชาให้ราหุลเป็นสามเณร จึงเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา ณ นิโครธาราม พระเจ้าสุทโธทนะจึงขอร้องว่า "ขออย่าให้ทรงบวชใคร โดยที่พ่อแม่เขายังไม่ได้อนุญาต"
เมื่ออายุครบ 20 ปี ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จากนั้นก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใคร่ต่อการศึกษา
- ทรงให้อุปสมบทแก่เจ้าศากยะ 5 พระองค์ คือ พระอานนท์ พระอนุรุทธ์(เป็นผู้มีเลิศในทางมีทิพยจักษุ) พระภัททิยะสักยราชา พระภัคคุ พระกิมพิละ และเจ้าโกลิยะ 1 พระองค์ คือพระเทวทัต จนได้บรรลุอรหัตผล 5 ท่าน ยกเว้นพระเทวทัต
- พระอุบาลีเป็นบุตรของช่างกัลบก(ช่างตัดผม)อยู่ในวรรณะต่ำ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพนักงานภูษามาลาของเจ้าศากยะ ทำหน้าที่จัดการดูแลเครื่องแต่งกาย เมื่อเจ้าศากยะ 5 พระองค์ และเจ้าโกลิยะ 1 พระองค์ทรงออกผนวช อุบาลีได้ติดตามไปขออุปสมบทด้วย พระอุบาลีเมื่อได้อุปสมบทแล้วไม่ช้าก็บรรลุอรหัตผล และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศทาง ด้านผู้ทรงไว้ซึ่งพระวินัย
- พระนางปชาบดีโคตมี(พระน้าของพระพุทธเจ้า) ได้ผนวชเป็นภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา โดยพระอานนท์ช่วยกราบทูลขออนุญาตพระพุทธเจ้าสุดท้ายได้บรรลุพระอรหันต์ และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางรู้ราตรี
- โปรดให้พระนางยโสธราได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีชื่อพระนางภัททา กัจจานา จนบรรลุอรหัตผล และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางบรรลุอภิญญาใหญ่ (สามารถระลึกเหตุการณ์ในกัปป์ต่างๆย้อนหลังไปได้มากนับไม่ถ้วน)
13.การประดิษฐ์พุทธศาสนา ณ แคว้นโกศล
เมื่อประดิษฐานพระศาสนาในแคว้นมคธได้อย่างมั่นคงแล้ว ต่อมาไม่นานพระพุทธศาสนาก็มีศูนย์กลางแห่งใหม่ที่ เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล โดยอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้สร้าง"วัดพระเชตวัน"ขึ้น แล้วกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ไปอยู่ประจำ และนางวิสาขามหาอุบาสิกาเศรษฐีนีคนหนึ่ง ก็มีจิตศรัทธาสร้าง วัดบุพพาราม ถวายด้วย
14.ปัจฉิมกาล
- ก่อนปรินิพพาน 3 เดือน ทรงปลงอายุสังขาร
- ก่อนปรินิพพาน 1 วัน นายจุนทะถวายสุกรมัททวะ (หมูอ่อน) เมื่อพระองค์เสวยแล้วประชวรพระอานนท์โกรธ พุทธองค์จึงตรัสว่า
"บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์)
เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ ,ปรินิพพาน"
- ก่อนปรินิพพานทรงกล่าวพุทธโอวาทว่า
1.)การบูชาพุทธองค์อย่างแท้จริง คือ การปฎิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม
2.)พุทธศาสนิกชนที่ต้องการเฝ้าพระองค์ควรไปที่ "สังเวชนียสถาน"
3.)การวางตัวของภิกษุต่อสตรี ต้องคุมสติอย่าแปรปรวนตามราคะตัณหา
4.)พระบรมสารีริกธาตุเป็นเรื่องของกษัตริย์(มัลลกษัตริย์) มิใช่กิจของสงฆ์
5.)ความพลัดพรากเป็นธรรมดาของโลก
6.)ธรรมและวินัย จะเป็นศาสดาแทนพุทธองค์ ทั้งนี้เพราะบุคคลไม่เที่ยงแท้เท่ากับพระธรรมซึ่งเป็นสัจธรรม
- ปัจฉิมสาวก คือ สุภัททะบริพาชก
- ปัจฉิมโอวาท
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
(อปปมาเทน สมปาเทต)
- ปรินิพพาน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ
พระชนมายุ 80 ปี ทรงเทศนาสั่งสอนมาเป็นเวลา 45 ปี
1. การเสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระนางมายา ฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว หญ้าอ่อนปกคลุมผืนดินด้วยพืชพรรณอันเขียวขจี พื้นดินปกคลุมไปด้วยพืชพรรณไม้ กิ่งก้านสาขา สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมา ต้นไม้แผ่กิ่งก้านสาขาประดับประดาด้วยดอกไม้ อบอวลไปด้วยกลิ่นอายอันน่าหลงใหล ประภาปาลกล่าวพระวาจาอันน่าเวทนาแก่เหล่าเทพารักษ์ที่มารวมตัวกัน และจบด้วยการตรัสว่า
“จงรู้เถิด นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้กลับมาเกิดใหม่”
ในขณะนั้น พระนางมายาทรงเห็นปุษสาห์ส่องแสงดุจแก้วผลึก ทรงช้างเผือกมีงาหกงา ลงมาจากยอดงา เข้าสู่เบื้องขวาและเจาะเข้าไปในพระครรภ์
แสงสว่างลึกลับแผ่ซ่านไปทั่วโลก แทรกซึมลงสู่รากของขุนเขาที่ซึ่งความมืดมิดนิรันดร์แผ่ปกคลุม แผ่นดินใหญ่สั่นสะเทือนถึงหกครั้ง ภูเขาสั่นสะเทือนถึงรากฐาน มหาสมุทรซัดขึ้นเป็นระลอกคลื่น แม่น้ำซัดขึ้นสู่ต้นน้ำ ต้นไม้ในป่าทั้งหมดโปรยดอกไม้อันอุดมสมบูรณ์ลงบนพื้น และทั่วทั้งนรก เสียงโห่ร้องแห่งความปิติยินดีดังกลบเสียงกรีดร้องแห่งความโกรธเกรี้ยว มหาอสิตาผู้มั่งคั่งจากที่ประทับในโคคณิกา ร้องว่า
"นักบุญผู้ยิ่งใหญ่เพิ่งประสูติ!
หลังจากนิมิตนี้ พระราชินีทรงตื่นขึ้นและทรงเล่าให้สุทโธทนะฟังถึงสิ่งที่พระนางเพิ่งทรงครุ่นคิด พระราชาทรงเรียกนักพยากรณ์ผู้ชำนาญมาทรงบัญชาให้อธิบายความหมายของความฝันนี้ให้พราหมณ์ฟัง พราหมณ์เหล่านี้ทูลว่าพระราชินีทรงมีพระโอรส
“การจะลงลึกถึงรายละเอียดของสัญลักษณ์ทั้งหมดนี้คงใช้เวลานานเกินไป” พวกเขากล่าวเสริม “แต่นี่คือความหมายของมัน พระราชินีได้ทรงประสูตินักบุญผู้ซึ่งจะทรงเชิดชูเผ่าพันธุ์ของเจ้า
ทันทีที่พระองค์เสด็จลงมาในครรภ์ พระองค์ก็ปรากฏกายด้วยแสงระยิบระยับและโอบล้อมด้วยนักบุญชาวพุทธ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธเจ้าที่แท้จริง หากพระกุมารองค์นี้ไม่บวช พระองค์ก็จะกลายเป็นกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจและรุ่งโรจน์ นับ
ตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาในครรภ์ของมายา พระราชินีทรงถือศีล 6 ประการ อาหารและเครื่องดื่มถูกนำมาถวายจากสวรรค์ พระนางทรงสละความสุขสำราญทั้งปวงในโลก
ในวินาทีแห่งการประสูติ โลกทั้งมวลก็สั่นสะเทือน คนเจ็บป่วยทั้งหลายก็หายเป็นปลิดทิ้ง ปีนี้เป็นปีแห่งความอุดมสมบูรณ์อย่างน่าอัศจรรย์ และราชอาณาจักรก็สงบสุขอย่างลึกซึ้ง
2. การประสูติของพระนางภายใต้พระตำหนัก
สิบเดือนผ่านไป พระนางมายาใกล้ถึงกำหนดคลอด พระนางสุปฺรพุทธะ พระบิดาของพระนางได้สวดพระอภิธรรมต่อพระบาทสมเด็จพระราชินีนาถเพื่อทรงอนุญาตให้พระนางมายาเสด็จไปยังสวนลุมพินี ซึ่งพระองค์ได้ทรงนัดหมายไว้กับ ด้วยความเอาใจใส่อย่างที่สุดที่จะรับเธอไว้ สุทโธทนะทรงยินยอมตามคำขอของพ่อตา และทรงบัญชาให้จัดเตรียมทุกอย่างเพื่อเดินทางไปเทวทโธ
พระนางสุประพุทธะทรงเครื่องประทินโฉมด้วยอัญมณี หอมกลิ่นกาย ทรงฉลองพระองค์อาภรณ์อันวิจิตรงดงาม ล้อมรอบด้วยราชสำนักทั้งมวล ทรงถูกช้างเผือกอุ้มไป พระนางสุประพุทธะพร้อมด้วยเหล่าขุนนางในราชสำนักเสด็จมาต้อนรับ ณ ประตูพระราชวัง
ในวันที่แปดของเดือนที่สองแห่งฤดูใบไม้ผลิ พระนางเสด็จเข้าสู่สวนลุมพินี ทรงดำเนินไปพร้อมกับเหล่านางสนมในราชสำนัก เสด็จจากป่าหนึ่งไปยังอีกป่าหนึ่ง จากแปลงดอกไม้หนึ่งไปยังอีกแปลงหนึ่ง เพื่อชื่นชมความงามของสวนสวรรค์เหล่านี้ เมื่อเสด็จมาถึงเชิงปราสาทอันวิจิตร ทรงยกพระหัตถ์ขวาขึ้นจับกิ่งไม้ที่ออกดอก ทันใดนั้น พระพุทธเจ้าก็เสด็จออกจากพระอุระเบื้องขวา บริสุทธิ์ดุจอัญมณีล้ำค่าที่หยิบออกมาจาก
หีบ แสงสว่างเจิดจ้าส่องไปทั่วแผ่นดินและสวรรค์ เหล่าเทวดาทั้งปวงเห็น พรหม มาร และชาวสวรรค์ทั้งปวงต่างร้องทูลว่า
ความสว่างไสวอันเข้มข้นนี้มาจากไหน?
พระพุทธเจ้าประสูติแล้ว
ทารกแรกเกิดยืนตรง เดินเจ็ดก้าวไปยังจุดสำคัญทั้งสี่ ในแต่ละก้าวจะเห็นดอกบัวขนาดใหญ่บานสะพรั่งอยู่ใต้พระบาท พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรขอบฟ้าทั้งสี่ พระหัตถ์ข้างหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า อีกข้างหนึ่งชี้ลงดิน ตรัสเสียงดังว่า
“เราคือผู้ประเสริฐสุดแห่งผืนดินและสวรรค์ เหล่าเทพและมนุษย์ทั้งหลายเป็นหนี้บุญคุณแห่งการบูชาและการรับใช้ของเรา”
ทันใดนั้น น้ำพุหอมสองสายก็ผุดขึ้นมาจากผืนดิน น้ำพุหนึ่งเป็นน้ำจืด อีกน้ำพุหนึ่งเป็นน้ำร้อน มังกรเก้าตัวจากยอดเมฆ พัดฝนลงมาบนร่างของทารกแรกเกิดเพื่อชำระล้างร่างกาย ขณะที่เหล่าเทพารักษ์ประทับบนบัลลังก์ทองคำ
เสียงประสานกันดังก้องไปทั่วสวรรค์ เหล่าชาวสวรรค์ต่างหลั่งไหลลงมายังพระบาทของพระองค์ มวลดอกไม้งามสง่าและหอมหวานหลั่งไหลลงมายังพระบาทของพระองค์ แผ่นดินสั่นสะเทือน แม่น้ำลำธารเอ่อล้น พระราชวังสั่นสะเทือน และแสงห้าสีส่องสว่างไปทั่วพระราชวัง จักรพรรดิทรงซักถามถึงสาเหตุจากเหล่าเสนาบดี นักเขียนพงศาวดารผู้ยิ่งใหญ่ได้แจ้งแก่จักรพรรดิว่า มีนักบุญท่านหนึ่งเพิ่งประสูติในประเทศตะวันตก ซึ่งคำสอนของท่านจะได้รับการเผยแพร่ในประเทศจีนอีกหนึ่งพันปีต่อมา จักรพรรดิทรงต้องการให้จารึกเรื่องราวเหตุการณ์นี้ไว้บนศิลาจารึกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นในเขตชานเมืองทางตอนใต้ของเมืองหลวง
* ความฝันของพระเจ้าสุทโธทนะ
คืนนั้นเอง เทพสุทธวาสะทรงส่งความฝัน 7 ประการไปยังพระเจ้าสุทโธทนะซึ่งบรรทมอยู่ในวัง
1. พระองค์ทรงเห็นธงผืนใหญ่คล้ายกับธงของพระอินทร์ มีผู้คนมากมายล้อมรอบธงนั้นไว้ แล้วเสด็จออกไปทางประตูด้านตะวันออกของกรุงกบิลพัสดุ์
2. พระองค์ทรงเห็นมกุฎราชกุมารประทับบนช้างเผือก เสด็จออกไปทางประตูด้านใต้ของพระนคร
3. รถศึกอันงดงาม ลากโดยม้า 4 ตัว และพระสิทธัตถะทรง ข้ามประตูด้านตะวันตกและเคลื่อนออกจากพระนคร
4. จานกลมงดงามตระการตาบินขึ้นไปในอากาศ แล้วเสด็จออกไปทางประตูด้านเหนือ
5. พระสิทธัตถะทรงตีกลองมหึมาซึ่งวางไว้บนถนนใหญ่ใจกลางเมืองหลวง
6. เจ้าชายทรงโปรยไข่มุกและอัญมณีล้ำค่าจากยอดหอคอยสูง ฝูงชนจำนวนมหาศาลรีบรุดไปยึด
7. ในระยะหนึ่งจากเมือง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นชายหกคนกำลังคร่ำครวญและดึงพระเกศาของตนออกด้วยความสิ้นหวัง เมื่อ
เห็นดังนั้น พระราชาจึงตื่นขึ้น ด้วยความวิตกกังวลอย่างยิ่งกับนิมิตประหลาดเหล่านี้ พระองค์จึงไม่กล้าเผชิญหน้ากับความสงสัยอันน่ากลัวที่ทรมานพระทัย
รุ่งเช้า พระองค์ทรงเรียกนักพยากรณ์ผู้มีชื่อเสียงมาทูลถามพระนามเหล่านั้นให้ทรงอธิบายความฝันนี้ให้ทรงทราบ พราหมณ์ทั้งหลายที่ปรึกษาหารือกันก็ขออภัยและทูลตอบว่าพวกเขาไม่รู้ความหมายของนิมิตอันแปลกประหลาดนี้ ต่อมา เทพสุทธวาสีทรงแปลงกายเป็นพราหมณ์ผู้มีกิริยามารยาทดี แล้วเสด็จเข้าเฝ้าพระราชสำนัก ทรงสัญญาจะทรงแก้ข้อสงสัยให้พระราชา พระองค์ทรงรับนิมิตและทรงตีความนิมิตดังต่อไปนี้
1. นิมิตแรก หมายความว่า มกุฎราชกุมารพร้อมด้วยเหล่าเทพทั้งสอง จะเสด็จออกจากราชสำนักและดำเนินชีวิตตามวิถีอีรีเมียต
2° เจ้าชายทรงช้างเผือก เสด็จออกทางประตูทิศใต้ ทรงบอกลาการตรัสรู้ในอนาคต แม้มีอุปสรรคขวางกั้น
3° รถม้าสี่ตัวที่พระองค์ปรากฏแก่ท่าน หมายความว่า หลังจากการตรัสรู้แล้ว วีรกรรมสี่ประการ (เซโอวเว่ย) จะทำให้พระองค์กล้าหาญอย่างหาที่สุดมิได้
4° จานกลมอันล้ำค่าที่กลิ้งไปในอากาศ หมายความว่า หลังจากที่พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์จะ “หมุนกงล้อแห่งธรรมอันล้ำค่า” เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของเทวดาและมนุษย์
5° พระสิทธัตถะตีกลองเป็นลางบอกถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แห่งการเทศนาของพระองค์ ซึ่งจะดังก้องไปทั่วโลกดุจเสียงกลอง
6° อัญมณีอันล้ำค่าเหล่านี้ที่พระองค์ทรงโยนลงมาจากยอดหอคอยสูง หมายความว่า เจ้าชายผู้ได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จะทรงเผยแพร่คำสอนอันล้ำค่าของพระพุทธศาสนาแก่สัตว์โลกทั้งแปดชั้น
7° ในที่สุด บุคคลทั้งหกที่พระองค์ทรงเห็นคร่ำครวญ ฉีกพระเกศา เป็นตัวแทนของผู้นำนิกายนอกรีตทั้งหก ซึ่งคำสอนที่ผิดพลาดของพวกเขาจะถูกพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ทำลาย
— มหาราช พราหมณ์กล่าวเสริมว่า จงขจัดความโศกเศร้าและความคิดทุกข์ระทมทั้งปวงออกไปจากดวงหทัยของพระองค์ ลางบอกเหตุเหล่านี้ควรทำให้พระองค์เปี่ยมด้วยความยินดี
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ พระองค์ก็หายไป
แทนที่จะยอมจำนนต่อหลักฐาน พระองค์กลับทรงพยายามอย่างยิ่งยวดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อขัดเกลาความสุขทางกามที่ถวายแก่เจ้าชายหนุ่ม หากเป็นไปได้ เพื่อระงับความปรารถนาที่จะออกจากราชสำนัก รัชทายาทหนุ่มผู้ไม่เสียเวลาครุ่นคิด ยังคงตกเป็นเชลยของกิเลสตัณหาและจมปลักอยู่กับความสำราญในตัณหาอันโหดร้ายเช่นในอดีต
![]() |
* หลบหนีจากพระราชวัง
เมื่อมาถึงที่เปลี่ยวร้างกลางป่า พระสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นธารน้ำใสสะอาด เหล่านกน้อยโบยบินอยู่บนต้นไม้โดยรอบ ขับขานบทเพลงอันไพเราะให้ความสงบสุขนี้ พระองค์ตรัสกับนายทหารว่า
“ข้าจะอยู่ที่นี่” แล้วทรงกระโดดลงจากหลังม้า แล้วตรัสต่อไปว่า
“นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะลงจากหลังม้า การอยู่อย่างสันโดษนี้จะเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตทางโลกของข้า” หลังจากทรงโอบกอดกันตกะ ม้าคู่ใจของพระองค์แล้ว พระองค์ก็ทรงขอบคุณนายทหารจัณฑกะด้วยความรักใคร่อีกครั้ง
"เจ้าชายผู้แสนดี" พระอนุชาตรัสต่อไป "
โดยปกติแล้ว มีเหตุผลสี่ประการที่ทำให้มนุษย์ต้องขอทานเพื่อยังชีพ ได้แก่ ความเจ็บป่วยจากวัยชรา ความเจ็บป่วย การขาดมิตรแท้ หรือความยากจนข้นแค้น แต่สำหรับฝ่าบาทแล้ว พระองค์จะฝังพระวรกายทั้งเป็นในทะเลทรายอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้อย่างไร
" "ข้าแต่ท่านทัตกะผู้เป็นที่รัก ขออย่าทรงยึดถือเรื่องนี้อีกต่อไปเลย จงรู้เถิดว่าพระอสิตาผู้มั่งคั่งได้ทำนายไว้อย่างชัดเจนว่า หน้าที่ของข้าคือการประกาศพระธรรมอันประเสริฐนี้แก่สรรพสัตว์
เจ้าชายทรงใช้ดาบอันล้ำค่าถือด้ามดาบทองคำ ตัดผมและปฏิญาณตนใหม่ว่าจะบวชเป็นฤๅษี พระอินทร์ทรงรวบรวมผมนี้ด้วยความเคารพและนำขึ้นสวรรค์เพื่อถวายแด่เหล่าเทพ การเฉลิมฉลองครบรอบเหตุการณ์อันน่าจดจำนี้จัดขึ้นในสวรรค์ทุกปีภายใต้ชื่อ "เทศกาลถวายพระเกศาของพระพุทธเจ้า" พระสิทธัตถะทรงมอบไข่มุกอันล้ำค่าที่ประดับพระเศียรและอัญมณีอื่นๆ อีกหลายชิ้นไว้ในพระหัตถ์ของพระอนุชา ทรงขอให้เขานำผ้าเหล่านั้นไปให้บิดา พร้อมกับสร้อยมุกที่ห้อยอยู่ที่คอ แล้วโยนขึ้นไปในอากาศด้วยความรังเกียจ เมื่อพิจารณาถึงเสื้อผ้าที่พระองค์สวมอยู่ พระองค์ก็ทรงอุทานว่า
“ผ้าอันล้ำค่าเหล่านี้ดูราวกับเครื่องประดับอันวิจิตรของเทวดามากกว่าเครื่องนุ่งห่มของฤๅษี ข้าพระองค์จะหาผ้าที่เหมาะสมกับอาชีพฤๅษีของข้าพระองค์ได้ที่ไหนเล่า”
เทพสุทธวาสะทรงทราบพระทัยในจิตใจของเจ้าชาย จึงทรงแปลงกายเป็นพรานป่าทันที ทรงถือธนูและสวมเสื้อคลุมของพระภิกษุ
“ท่านกล้าสวมผ้าผืนนี้ได้อย่างไร เป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธเจ้าโบราณ” พระสิทธัตถะตรัสแก่พระองค์ “นั่นมิใช่การดูหมิ่นผ้าผืนนี้หรือ”
“การสวมผ้าผืนนี้ ข้าพระองค์สามารถเข้าไปฆ่ากวางได้” พรานป่ากล่าวต่อ
“ท่านใช้ผ้าผืนนี้ฆ่าสัตว์ ข้าจะใช้มันช่วยชีวิตพวกมัน เรามาเปลี่ยนผ้ากันเถอะ ท่านต้องให้ผ้าผืนนี้แก่ข้า และข้าจะมอบผ้าพระราชทานให้เจ้า ใช่ไหม”
นายพรานรีบรับคำแลกเปลี่ยนนี้ แล้วกลับคืนสู่ร่างอันศักดิ์สิทธิ์ เสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์แห่งพรหม พร้อมนำพระบรมสารีริกธาตุอันล้ำค่าเหล่านี้มาด้วย สิทธัตถะถอดเครื่องประดับทั้งหมดออก โกนหัว แต่งกายเหมือนคนโดดเดี่ยว พูดอย่างมีความสุขว่า:
บัดนี้ข้าพเจ้าได้แปรสภาพเป็นฤๅษีมูนีอย่างแท้จริงแล้ว นับแต่นี้ไป นามนั้นจะเป็นนามของข้าพเจ้า
เจ้าชายผู้นี้ไม่อาจละทิ้งนายของตนไว้ลำพังในทะเลทรายนี้ได้ เขาร้องไห้ ร่ำไห้ และกราบลงแทบพระบาทของเจ้าชาย เจ้าชายผู้นี้กล่าวกับเจ้าชายว่า
ในโลกนี้ ร่างกายย่อมไม่ยอมตามจังหวะหัวใจ หรือหัวใจย่อมไม่ยอมตามร่างกาย ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า จันทกาผู้ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าได้ติดตามข้าพเจ้าทั้งกายและใจ ชนทั้งหลายยึดติดรอยเท้าของคนรวยและหลีกหนีจากคนจน ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่ติดตามข้าพเจ้ามาในทะเลทรายนี้ หลังจากที่ข้าพเจ้าจากราชบัลลังก์ไปแล้ว จงนำแก้วมณีที่ยังเหลืออยู่ไปถวายพระราชบิดาของข้าพเจ้า โดยรับรองว่าหากข้าพเจ้าเข้าสู่ความสันโดษเช่นนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดขืนและละทิ้งหน้าที่ต่อพระองค์ แม้แต่การได้ไปเกิดในสวรรค์และได้เสพสุขสำราญทั้งปวงก็มิใช่ เพื่อความรอดพ้นของสรรพชีวิต ข้าพเจ้าขอเสนอให้ผู้ดำเนินชีวิตในความมืดมนแห่งความผิดพลาด ข้าพเจ้าขอนำผู้ที่หลงผิดกลับคืนสู่วิถีทางที่ถูกต้อง และสุดท้ายจะปลดปล่อยพวกเขาทั้งหมดจากวังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิด และขจัดต้นตอแห่งความทุกข์โศก
ท่านจะบอกกับยโสธราว่า ในโลกนี้ความรักทั้งมวลล้วนถูกทดสอบด้วยการแยกทาง ข้าพเจ้าจะละทิ้งนางและบำเพ็ญตบะ ไม่ใช่เพื่อทำให้เธอเศร้าโศก แต่เพื่อตัดรากเหง้าแห่งความทุกข์ทั้งปวงของพวกเรา
ท้ายที่สุด ท่านจะแจ้งให้หญิงสาวทุกคนในวังของข้าพเจ้าและข้าราชบริพารของข้าพเจ้าทราบว่า ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำลายตาข่ายแห่งการเกิดใหม่ชั่วนิรันดร์ และบรรลุพระพุทธะ
ทันใดนั้น พระจันทกะผู้ซื่อสัตย์ก็จูบพระบาทของพระอาจารย์ พระกันตกะเลียพระบาทด้วยลิ้น น้ำตาเอ่อล้นรินไหลรินจากพระเนตร ทั้งสองจึงกลับคืนสู่เส้นทางแห่งการกลับคืนด้วยความเศร้าโศก
* กองทัพมารา
เมื่อเห็นการเตรียมการอันแปลกประหลาดนี้ ยักษ์มารผู้พิทักษ์สถานที่นั้น จึงเตือนสหายของตนซึ่งมีชื่อว่าตาแดง ให้รีบวิ่งไปเตือนมาร เทพแห่งกามาโลกาว่า พระศากยมุนี พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ ซึ่งเดินตามรอยพระพุทธเจ้าในอดีต กำลังเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ครั้งสำคัญ และได้ตั้งปณิธานที่จะโค่นล้มอาณาจักรของพระองค์ ทูตนั้นจึงออกเดินทางอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ และรายงานสิ่งที่เพิ่งได้เห็นให้มารฟัง ปิศาจได้ฟังรายงานเรื่องตาแดงแล้ว จึงออกประกาศเรียกเหล่าเทพเทวาในกามาโลกามารวมกัน และกระตุ้นให้พวกเขาต่อสู้กับพระสิทธัตถะอย่างกล้าหาญ ซึ่งประทับอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ และใกล้จะบรรลุพระโพธิญาณแล้ว
มารจึงระดมพลและสั่งให้เตรียมพร้อมเข้าโจมตี ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนักสำหรับตามนุษย์! ยักษ์จินนีและปีศาจนับล้านๆ พันล้านตัว ที่มีรูปลักษณ์น่าเกรงขามและหลากหลายใบหน้า แผ่ขยายความหวาดกลัวและความหวาดผวา นักรบผู้น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้มีอาวุธ บางคนมีธนู ง้าว ขวาน บางคนมีหอก หอกแหลมคมประดับเพชร ศีรษะ มือ เท้า และร่างกายทั้งหมด ปลุกความกลัวที่ไม่อาจต้านทานได้ เปลวเพลิงพุ่งพล่านออกมาจากศีรษะและท้อง พวกมันคำรามคำรามอย่างน่าเกรงขาม
หลายตนปรากฏตัวพร้อมหัวที่ลุกเป็นไฟ หน้าอกที่ลุกเป็นไฟ ร้องเสียงโหยหวน อาเจียนเป็นความโกรธและคำสาปแช่งอันน่ารังเกียจ ถือสากหนักและกระบองขนาดมหึมา
จะว่าอย่างไรกับสายตาของพวกเขา? ดวงตาที่น่ากลัวของพวกเขา บางครั้งจ้องมองขึ้น บางครั้งจ้องมองลง เปล่งประกายดุจงูพิษสีดำ? รอยยิ้มดุจนรกเผยให้เห็นฟันที่แหลมคมยาวของพวกเขา ลิ้นที่ห้อยลง มีเกล็ด หรือม้วนเป็นเกลียว ล้วนมีรูปร่างที่หลากหลายที่สุด
บางคนมีงูพันรอบคอ หรือกินสัตว์เลื้อยคลานที่เปื้อนเลือดเป็นชิ้นๆ เหมือนกับที่ "ครุฑ" จิกกิน "นาค" บนผิวน้ำ
พวกมันถูกพบเห็นกำลังดูดกลืนแขนขาที่ซีดเซียวของเหยื่อมนุษย์ ดื่มเลือดที่ยังเดือดพล่านจากถ้วย และกินเครื่องในของเหยื่อ ปีศาจตนอื่นๆ ดุจสิงโตผู้เกรี้ยวกราด มีดวงตาสีเขียวเป็นประกาย บางครั้งยื่นออกมาจากเบ้าตา บางครั้งหดกลับเข้าไปในหัวและปล่อยเปลวไฟออกมาเมื่อเปลือกตาเปิดออก พวกมันบินอยู่บนภูเขาไฟและดูเหมือนกำลังลุกไหม้อยู่ บนโลก พวกมันฉีกต้นไม้ทั้งต้นและถือไว้ในมือ หูของพวกมันมีลักษณะเหมือนหอยนางรม แจกัน ตั้งตรงหรือห้อยลงมาเหมือนแพะ ช้าง หรือหมู โครงกระดูกที่เดินได้นั้นมาพร้อมกับสัตว์ประหลาดพุงพลุ้ยที่ดูคล้ายกับโรคหยอดตา น่ากลัวจริงๆ! ในบรรดาสัตว์ประหลาดเหล่านี้ มีหลายตัวที่ถือเท้าและมือที่ถูกตัดขาดห้อยลงมาจากไหล่ หรือแม้แต่เอามือกุมหัวไว้ มีบางตัวที่ดูเหมือนถูกถลกหนังทั้งเป็นหรือเปื้อนเลือดเป็นหย่อมใหญ่ ฟองสีขาวพุ่งออกมาจากปาก พวกมันกินโลหะที่แข็งที่สุด เช่น ทองแดงและเหล็ก ผีมีเพียงกระดูกที่ลอกเอาเนื้อและหนังออก สิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจเหล่านี้มีใบหน้าเหมือนหมู ลา หมูป่า ม้า วัว แพะ แรด ควาย จิ้งจอก กระต่าย สิงโต เสือ หมาป่า หมี ลิง เสือดาว แมวป่า และสุนัข
* การตรัสรู้
หลังจากชัยชนะครั้งสุดท้ายนี้ พระศากยมุนีได้เข้าสู่สมาธิภาวนาแล้ว ได้ผ่านพ้นสภาวะนามธรรม (dhyana) สี่ระดับ ได้แก่ อิสรภาพอันบริสุทธิ์และเปี่ยมสุข; การยืนยันในความดี; ความปิติยินดีในการขจัดความชั่วร้ายทั้งปวง; การหลุดพ้นจากความสุขทั้งปวง ความทุกข์ทั้งปวง และความคิดทั้งปวง กล่าวคือ ความไม่รู้สึกตัว ในยามแรกของค่ำคืนอันน่าจดจำนี้ ร่างกายของพระองค์ได้บรรลุถึงความสมบูรณ์แห่งพลังเหนือโลก พระองค์จึงสามารถทวีคูณได้ตามต้องการ แล้วกลับคืนสู่ความเป็นหนึ่งเดียว หายลับไปในอากาศหรือในเบื้องลึกของแผ่นดิน ข้ามภูเขา โขดหิน กำแพง จมลงสู่ดิน สู่อ้อมอกของน้ำ บินผ่านห้วงอวกาศดุจควัน ดุจแสงตะวัน บดขยี้ร่างกายที่แข็งที่สุดให้เป็นผงด้วยการสัมผัสด้วยมือ ขยายขนาดตามความพอใจ พระองค์ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะทุกชนิดที่ทำด้วยทองคำ ดิน และงาช้างได้ในพริบตา พระองค์ทรงได้รับพลังในการอ่านความลับแห่งมโนธรรม รับรู้ความคิดของผู้อื่น กรรมทั้งมวลของพระองค์และของสรรพสัตว์ทั้งปวงล้วนปรากฏเบื้องหน้าพระองค์ จนกระทั่งการกระทำทั้งปวงของสรรพสัตว์ทั้งปวง ตลอดชั่วกาลนานและตลอดอดีตกาลอันยากจะเข้าใจ ปรากฏชัดในรายละเอียดอันเล็กที่สุดเบื้องหน้าพระเนตรอันสว่างไสวของพระองค์ พระองค์ทรงเห็นกาลเวลาอันแม่นยำของการเกิด การตาย ถิ่นฐาน อาชีพ การกระทำทั้งปวง แม้แต่สิ่งเล็กน้อยที่สุดของสรรพสัตว์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ หูของพระองค์ซึ่งนับแต่นั้นเป็นต้นมามีญาณหยั่งรู้อันลึกลับ ได้ยินเสียงทั้งปวงที่เปล่งออกมาจากนรกและสวรรค์ เสียงร้องของสัตว์และคำพูดของมนุษย์ โดยไม่แยกแยะความใกล้หรือระยะห่าง เสียงเล่าลือของเมืองและจัตุรัส เสียงเครื่องดนตรี กลอง และขลุ่ย เสียงร้องเพลง เสียงหัวเราะและคร่ำครวญ เสียงสนทนาของชายหญิงและเด็ก เสียงที่สรรพสัตว์ทุกชนชั้นในจักรวาลเปล่งออกมา
ครั้นใกล้ค่ำ พระเนตรของพระองค์ซึ่งบรรลุถึงอำนาจสูงสุดแล้ว ทรงสามารถโอบล้อมโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลทั้งปวง เพ่งพินิจพิจารณาผู้ตาย ผู้เกิด ท้องฟ้า ผืนดิน และที่พำนักอันมืดมิดในนรก ในบรรดาสัตว์เหล่านี้ บางตัวดำเนินไปในวิถีแห่งความชั่ว บางตัวดำเนินไปในวิถีแห่งหน้าที่ สายตาของพระองค์ฉายชัดแจ่มแจ้งถึงความผิด ความผิด และคุณธรรมทั้งปวง เหล่าอบายมุขตกนรก บางตัวกลับชาติมาเกิดเป็นอสูร เหล่าภูตผีที่หิวโหยพเนจร ณ ที่แห่งนี้ เหล่าเทพยดาได้อยู่อาศัยอย่างรุ่งโรจน์ จนกระทั่งเมื่อความสุขของพวกมันหมดสิ้นลง พวกมันก็จะกลับคืนสู่โลกมนุษย์ สัตว์เหล่านี้ล้วนมีความแตกต่างกันทั้งในด้านความงามและรูปร่าง ในด้านความถูกต้องหรือความชั่วร้ายของชีวิต ปรากฏแก่พระองค์อย่างชัดเจน ปราศจากเงาแห่งความสับสน บุรุษผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่บนหอคอยสูง จ้องมองฝูงชนที่พลุกพล่านอยู่แทบเท้าในลานกว้าง
เมื่อมองย้อนกลับไปถึงผลที่ตามมา เขาตระหนักว่าสุดท้ายแล้ว ความเป็นอยู่คือต้นตอของความโชคร้าย และมีเพียงการทำลายล้างนิพพานในทางปฏิบัติเท่านั้นที่จะยุติความชั่วร้ายของเราได้ เขาได้บรรลุถึงจุดสูงสุดแห่งการตรัสรู้ พระองค์คือพระพุทธเจ้า
ในขณะนั้น ผืนดินและสวรรค์ พระราชวังของมารและพรหม สวรรค์ของเหล่าเทพทั้งปวง ต่างสว่างไสวด้วยรัศมีอันอัศจรรย์ ส่องประกายเจิดจ้าดุจแสงเหนือธรรมชาติ ส่องทะลุความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์ที่สะสมอยู่ระหว่างสายโซ่แห่งขุนเขาเหล็ก ฝนปรอยลงมาจากฟ้ารดผืนดิน สายลมอ่อนๆ พัดพาความสดชื่นอันเป็นประโยชน์ ทันใดนั้น สวรรค์ก็ก้องกังวานไปด้วยพระกรุณาของเหล่าเทพ ดุจดังสายธารแห่งสวรรค์ ดอกไม้หอม อัญมณี อัญมณี น้ำหอม และธูปหอม โปรยปรายลงมาจากห้องเก็บเครื่องหอมอันบริสุทธิ์ แผ่นดินโลกยินดีถึงหกครั้ง จักรวาลทั้งหมดต่างเฉลิมฉลอง ทุกคนเห็นว่าความปรารถนาของตนได้รับการตอบสนอง คนป่วยได้รับการรักษา คนหิวก็อิ่ม คนตาบอดก็เห็นแสงสว่าง คนหูหนวกก็ได้ยิน คนง่อยเดินได้ คนจนก็ได้รับความช่วยเหลือ คนผอมก็อ้วนขึ้น นักโทษก็เห็นโซ่ตรวนหลุดออกไป คนบาปก็ถูกดึงออกมาจากคุกใต้ดินอันเจ็บปวด แม้แต่สัตว์ก็ไม่กลัวอีกต่อไป และวิญญาณที่อดอยากก็พอใจ
![]() |
* สารบัญ
บทที่ ๑ กำเนิดและวัยเยาว์๑. ปฐมกาลของพระพุทธเจ้า ๒. ต้นกำเนิดของตระกูลศากยะ ๒. เดินทางกลับจากสวนลุมพินีสู่พระราชวัง ๒. พราหมณ์ดูดวงเจ้าชาย มรณะของมายา ๒. พระมารดาบุญธรรมของพระศากยมุนี ถวายพระพรที่เจดีย์ ๒. มหรสพและการศึกษา ๒. การเลือกตั้ง การทัศนศึกษาในชนบท พระราชวังทั้งสามแห่ง ๓. ๙. การเจรจาและการเตรียมการก่อนแต่งงาน ยโสธร การแข่งขันยิงปืน ช้าง ๒. ๑๐. การแต่งงาน ชีวิตในฮาเร็ม ๓. ๑๑. เทพสุทธวาสาทรงตักเตือนพระพุทธเจ้า ความฝันของพระเจ้าสุทธวาทน์ ๒. เทพสุทธวาสาทรงปรากฏแก่พระพุทธเจ้าในรูปลักษณ์ต่างๆ ในรูปลักษณ์ของชายชรา การเผชิญหน้ากับคนป่วย การเห็นศพ การเผชิญหน้ากับนักพรตโดยบังเอิญ
บทที่ ๒ การหนีออกจากพระราชวังและการตรัสรู้: I. ความฝันแห่งยโสธรา — การหนีออกจากพระราชวัง — II. ฤๅษี — III. การกลับมาของนายทหารยศสองนาย — IV. การอภิปรายและการเดินทางเชิงหลักคำสอน บทสัมภาษณ์พระอลาระ — V. หกปีแห่งการบำเพ็ญตบะและความสันโดษ — VI. การละศีลอด การอาบน้ำ — VII. การเดินทัพสู่สถานที่แห่งการตรัสรู้ — VIII. มารผู้ล่อลวงและกองทัพของพระองค์ — IX. ธิดาของมาร — X. การต่อสู้ครั้งสุดท้ายและชัยชนะ — XI. การตรัสรู้
บทที่ III. เทศนา ช่วงที่หนึ่ง: I. วันหลังการตรัสรู้ การประกาศมรรคอันสูงส่ง ความปิติยินดี พ่อค้าสองนายและมหาราชทั้งสี่ — II. การล่อลวงครั้งที่สอง คำเตือนของพระพรหม
— III. จุดเริ่มต้นของการเทศนา การเดินทางสู่พาราณสี ความผิดหวังครั้งแรก
— IV. เบนาเรส. คำเทศนาในสวนกวาง การกลับใจใหม่ของชาวริชชี่
— วี. ยาษฎาออกจากศตวรรษ — VI ปุรณะและนราทติดตามพระพุทธเจ้า — ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. การออกเดินทาง ตอนของการเดินทาง
— VIII. การกลับใจของสามพี่น้องกัสยปะและอุปสนะหลานชาย — ทรงเครื่อง ชาวพุทธองค์แรก (Venouvana) —
X. ตำนานพระมหากัสสปะปฐมสังฆราชแห่งพระพุทธศาสนา. — สิบเอ็ด สารีบุตรและโมคกัลยาณะ. — สิบสอง ตำนานพ่อค้า 500 คน — สิบสาม ศากยมุนีเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ — ที่สิบสี่ การเสด็จเยือนของพระเจ้าสุทโธทนะ — ที่สิบห้า การกลับใจของอุบาลีและเจ้าชาย 500 องค์ — เจ้าพระยา. ราหุลและตำนาน
— XVII การกลับใจของพี่พระพุทธเจ้า
— XVIII. พระเทวทัตและพระอานนท์ พระญาติทั้งสองของพระพุทธเจ้า — สิบเก้า การสถาปนาเจตวันบอนเซอร์รี่
— XX ลูกสะใภ้ของสุทัตตา สภาพของสตรี
— XXI ปลาร้อยหัว
— XXII การกลับใจของฤคุปต์
บทที่ ๔ พระธรรมเทศนา กลางสมัย:I. พุทธศาสนกิจของพระพุทธเจ้า — II. การเดินทางครั้งที่สองสู่กบิลพัสดุ์ ปราชญ์รับอุปนิสัยเหมือนพระภิกษุ — III. พระพุทธเจ้าเปลี่ยนใจสัตว์และมนุษย์ — IV. พยายามทำลายชีวิตพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าฝึกช้างเมา เทวทัตพยายามปลิดชีพพระองค์ — V. ต้นกำเนิดของอมีต คำเชิญของนกแก้ว ห่านป่าเปลี่ยนใจ ควายป่าดุร้าย สุนัขเผือก — VI. พระพุทธเจ้าสำแดงฤทธานุภาพ — VII. คำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการทำบุญตักบาตร ความสุข ความทุกข์ และความกตัญญู — VIII. พระพุทธเจ้าสั่งสอนและปฏิรูปสังคมทุกชนชั้น — IX. พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเทศนาเรื่องอสูรแห่งสวรรค์และนรก ยักษิณีหริติ บุตรแห่งนางมาร การปลดปล่อยวิญญาณที่อดอยาก การแจกจ่ายอาหารแก่พระเปรต การเทศนาในสวรรค์ชั้นดาวฤกษ์ กิ่งต้นหลิวและน้ำศักดิ์สิทธิ์ — X. พระพุทธเจ้าคุ้มครองผู้ศรัทธา — XI. หน้าที่ของกษัตริย์ — XII. การสิ้นพระชนม์ของสุทโธทนะ — XIII. อนุรุททและภัทรกะ
บทที่ 5. จบพระธรรมเทศนา การสิ้นพระชนม์ของพระพุทธเจ้า: I. พระพุทธเจ้าทรงสถาปนาพระอนุชา — การประทับอยู่ในสวรรค์ของพระอินทร์ — II. พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ — III. การเดินทางสู่ไวศาลี — IV. สู่กุสินารา สถานที่ปรินิพพานของพระองค์ — V. อัครสาวก ผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา — VI. อำลาพระพุทธเจ้า — อาหารมื้อสุดท้าย — VII. ธรรมเทศนาสุดท้าย พินัยกรรม — VIII. การสิ้นพระชนม์ของพระพุทธเจ้า — IX. พระพุทธเจ้าและพระมารดา — X. งานศพ — XI. การประชุมและพระสังฆปริณายก







ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น